ตอนที่ 422-1 ความลับของหรงเฟย
สตรีเช่นหรงเฟยนี้ หากบอกว่าไม่มีความลับคงเป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นเช่นนักรบมรณะ เช่นราชันอสูร แล้วยังมียิ่นอ๋องอีก ซึ่งเป็นความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ทั้งสิ้น แต่สัญชาตญาณบอกเฉียวเวยว่า ความลับที่รัชทายาทเอ่ยถึงนั้นไม่ใช่เรื่องหนึ่งเรื่องใดที่นางเอ่ยถึงข้างต้น
จะเป็นเรื่องใดกันนะ
จะว่าไปแล้ว คุณชายชั้นสูงที่ไม่เล่าเรียนวรยุทธ์อย่างรัชทายาทนี้ จะล่วงรู้ความลับอันใดที่ยิ่งใหญ่ได้หรือ อย่าได้เป็นเรื่องปกิณกะจิ๊บจ๊อยอย่างพวกเด็กเล่นพ่อแม่ลูกกันเชียวนะ
“เหตุใดถึงไม่ตามมา”
รัชทายาทเดินไปหลายก้าวแล้ว พอเห็นเฉียวเวยไม่เดินตามมาเลยหันไปมองเฉียวเวยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าไม่อยากรู้หรือ”
เฉียวเวยมองประเมินอีกฝ่ายขึ้นลงทีหนึ่ง รัชทายาทที่เกือบสำลักลูกชิ้นตาย เหตุใดจู่ๆ ท่าทางถึงเปลี่ยนไปได้
“เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่มองข้า” รัชทายาทถูกมองจนรู้สึกอึดอัด จึงเอ่ยด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
เฉียวเวยเดินเข้าไปช้าๆ หรี่ตาเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า วันนี้ท่านดูแปลกๆ เจ้าคงไม่ได้ถูกหรงเฟยควบคุมไว้อยู่กระมัง นี่ตั้งใจล่อข้าไปยังสถานที่บางแห่งเพื่อหลอกให้ข้าไปติดกับใช่รึไม่”
รัชทาบาทเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไม่อยากฟังก็แล้วแต่เจ้า!”
เฉียวเวยดึงแขนเสื้อเขาไว้ “เอ้ย ข้าไม่ได้ไม่อยากฟังนะ! เพียงแต่ว่าท่านต้องเล่าที่นี่! ข้าไม่เข้ารกเข้าพงไปกับท่านซี้ซั้วหรอกนะ!”
รัชทายาทไม่สนใจนาง หมุนตัวเดินไปทันที
เฉียวเวยดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ แขนเสื้อเขาก็ปริขาด
เฉียวเวยมองแขนเสื้อที่ขาดออกมาครึ่งหนึ่ง ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว—
รัชทายาทแขนเสื้อขาด…
แขนเสื้อขาด…
เสื้อขาด…
รัชทายาทดึงแขนเสื้อตัวเองกลับมา เดินหน้าบึ้งออกไปทางวังตะวันออก
เฉียวเวยก้าวขาตามไปขวางเขาเอาไว้ “ท่านอย่าเพิ่งไปสิ ท่านพาข้ามาถึงนี่แล้ว หากไม่บอกข้ามา จะไม่อัดอั้นใจตายหรือ ที่ข้าสงสัยเจ้าหาใช่เพราะไม่มีเหตุผล สตรีนางนั้นร้ายกาจกว่าที่ท่านคิดเป็นร้อยเท่าพันเท่า เสด็จพ่อของท่านก็ไม่รู้บุญพาวาสนาส่งอย่างไร ถึงไม่ถูกนางควบคุมไว้ได้ แต่เจ้านั้นไม่แน่หรอก!”
บนหน้ารัชทายาทมีหลากหลายอารมณ์แวบผ่าน
“ช่างเถิด ข้าไม่บอกแล้ว!”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าสำนักเฉียวที่ไม่มีทางลงบ้างแล้ว
ที่บ้านหากรวมอีตาทึ่มเข้าไปด้วยนางก็เลี้ยงเด็กไว้ถึงสี่คน นางยังจะจัดการรัชทายาทตัวแสบสักคนไม่ได้เชียวหรือ!
เฉียวเวยก็เดินลิ่วๆ ไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจบ้าง
รัชทายาทมองดูแผ่นหลังของเฉียวเวยแล้วคิดว่าเฉียวเวยไม่ได้กำลังล่อเขาเล่น
แน่นอนว่าเฉียวเวยกำลังหลอกเขา แต่เฉียวเวยจะไม่ใจร้อน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ใครร้อนรนก่อนคนนั้นเป็นคนแพ้
ประลองยุทธ์ประลองความรู้นางไม่เก่ง แต่หากเป็นเรื่องวัดใจแล้ว นางยังห่างจากคนพวกนี้อีกหลายขุม
เฉียวเวยเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ หักเลี้ยวไม่มีลังเลสักนิด นิ้วมือของรัชทายาทที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น ในที่สุดก็ยอมประนีประนอม “ก็ได้ ข้าจะบอกให้ฟังที่นี่”
สายตาของเฉียวเวยมีแววขบขันปรากฏให้เห็น หลังจากกดมุมปากที่พยายามยกตัวขึ้นลงแล้ว เฉียวเวยก็หันกลับไปด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน มองอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์ “ไปคุยกันตรงนู้น”
นางชี้ไปยังสวนผลไม้ที่อยู่แถวนั้น ฝูงหลิงเพิ่งพาคนเข้าไปค้นมาหมาดๆ คงไม่กลับมาหาที่นี่อีกในช่วงเวลาอันนั้นนี้
ทั้งสองเข้าไปในสวนผลไม้ ก่อนจะหยุดลงใต้ต้นส้มที่มีใบดกหน้า รัชทายาทมีใบหน้าหล่อเหลาที่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง รูปร่างผอมบาง ทั้งยังไม่ค่อยเข้าใจโลก เฉียวเวยมองเขาเป็นเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาตลอด แต่เวลานี้พอมายืนอยู่ใต้ต้นส้ม ศีรษะเขากับเลยขึ้นไปถึงใบไม้ด้านบน เฉียวเวยถึงได้รู้ว่า อันที่จริงรูปร่างเขาสูงใหญ่มากทีเดียว
รูปลักษณ์ของเขาได้ฮ่องเต้มาสามถึงห้าส่วน ส่วนอื่นๆ ที่เหลือน่าจะคล้ายคลึงกับฮองเฮาผู้นั้นที่ล่วงลับไปแล้ว
รัชทายาทขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงเอาแต่จับจ้องข้า”
เฉียวเวยส่งเสียงหึ “ก็แค่มองเฉยๆ ไม่ได้หมายปองเจ้าเสียหน่อย จะเดือดร้อนไปไย”
รัชทายาทถูกตอกกลับเสียจนสูดได้แต่อากาศเย็นๆ
เฉียวเวยกลับมาเข้าเรื่อง “ว่ามาเถิด หรงเฟยมีความลับอะไรกันแน่ ทางที่ดีท่านอย่าได้เอาเรื่องกระจิ๊บกระจ๊อยมาหลอกข้าจะดีที่สุด มิเช่นนั้นหมัดของข้าก็หนักเอาเรื่องอยู่นะ!”
รัชทายาทเหลือบมองเฉียวเวยอย่างหมดคำจะพูด สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาจะไม่ถือสาหาความกับสตรี จากนั้นก็เล่าความลับเมื่อในอดีตให้อีกฝ่ายฟังช้าๆ
ในตอนนั้น อดีตฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ ปรองดองและให้เกียรติซึ่งกันและกันกับฮ่องเต้
แต่ฮ่องเต้อย่างไรก็คือฮ่องเต้ จะให้เขาเป็นเหมือนบุรุษชาวบ้านที่มีเพียงเราสองไปตลอดชีวิตนั้นเห็นชัดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแต่ว่าฮองเฮาเป็นภรรยาที่เขาแต่งงานด้วยอย่างถูกต้องตามประเพณี ซ้ำยังรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงย่อมปฏิบัติต่อฮองเฮาไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป ในวังหลวงเคยเกิดเหตุสตรีทะเลาะวิวาทด้วยความหึงหวงมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งเมื่อเรื่องเกี่ยวโยงถึงฮองเฮา ก็เป็นต้องถูกฮ่องเต้หาทางสยบเอาไว้ทุกครั้งไป
เมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยครั้งเข้า สตรีในวังหลวงก็เริ่มมองออกว่าตำแหน่งหงส์แห่งวังหลวงของฮองเฮานี้ไม่อาจสั่นคลอนได้ ดังนั้นทุกคนจึงล้มเลิกความพยายามไป
ในตอนนั้นฮ่องเต้จะพักค้างอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งชีเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่จะไปหานางสนมคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มากครั้งนัก จนกระทั่ง…มีหรงเฟยเข้ามา
หรงเฟยเมื่อสมัยยังสาวก็นับว่าเป็นสตรีที่งามหมดจดคนหนึ่ง แต่เมื่อมาอยู่ในวังหลวง สิ่งที่ไม่เคยขาดที่สุดก็คือหญิงงาม ครั้งแรกที่ฮ่องเต้สังเกตเห็นหรงเฟยก็เมื่อในงานฉลองวันเกิดของฮองเฮา
ฮ่องเต้อยากจัดงานฉลองในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงตั้งใจนำขุนนางทั้งบุ้นและบู๋ไปยังสนามล่าสัตว์ ปล่อยจิ้งจอกเงินภูผาหิมะเข้าไปหนึ่งตัว แล้วประกาศว่าหากผู้ใดจับจิ้งจอกเงินตัวนั้นมาให้ฮองเฮาได้ จะได้รับรางวัลเป็นทองคำหมื่นตำลึงและที่นาชั้นดีอีกพันไร่
ดูจากความใจใหญ่ของฮ่องเต้แล้ว ในตอนนั้นเขาโปรดปรานฮองเฮามากจริงๆ
เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊พากันออกตัว ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้รางวัลก้อนนั้น แต่ยิ่งพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความพยายามมากเท่าไร ก็ยิ่งได้ใจฮ่องเต้มากขึ้นเท่านั้น เหล่าขุนนางบุ๋นที่แสนเจ้าเล่ห์นั้นไม่มีทางปล่อยโอกาสประจบเอาใจนี้ไปแน่นอน
นางสนมที่เกิดในตระกูลขุนศึกก็พากันลิงโลดอยากลอง ฮ่องเต้เห็นดีด้วย เพื่อเป็นการฉลองให้ฮองเฮา ย่อมมีคนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น
ฮ่องเต้เองก็ออกไปเช่นกัน
ในตอนนั้นฮ่องเต้ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ การออกล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่การฆ่าฟัน ก็แค่จิ้งจอกตัวน้อยแสนเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่ฮ่องเต้ประเมินความอันตรายในสนามล่าสัตว์ผิดไป เขาไม่เจอจิ้งจอกเงิน แต่กลับเจอเสือร้ายตัวหนึ่งแทน เสือร้ายตัวนั้นกระโจนเข้าใส่จนเขาตกจากหลังม้า
ฮ่องเต้ตกม้าจนขาหักอยู่ตรงนั้น องครักษ์ที่อยู่ละแวกนั้นได้ยินเสียงเลยรีบเข้ามาหา แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เสือดุตัวนั้นแสยะเขี้ยวยิงฟันกำลังจะเข้าไปขย้ำฮ่องเต้!
ในตอนนั้นจะว่าเร็วก็เร็วจะว่าช้าก็ช้า มีธนูส่งไอเย็นดอกหนึ่งพุ่งเข้าเสียบที่ตัวเสือร้ายตัวนั้นอย่างแม่นยำ เสือร้ายจึงถูกพลังมหาศาลนั้นอัดเข้าจนล้มกลิ้งไปกับพื้น
เสือร้ายถูกทำให้โกรธถึงขีดสุด มันกระโจนเข้าไปหาคนที่ยิงใส่มัน พอดีว่าในตอนนั้นองครักษ์มาถึงพอดี จึงช่วยกันสยบเสือร้ายตัวนั้นเอาไว้ได้
คนที่ช่วยฮ่องเต้เอาไว้นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือหรงเฟย
หรงเฟยในเวลานั้นยังไม่ได้เป็นเฟย เป็นเพียงกุ้ยเหรินตัวเล็กนางหนึ่ง นางนั่งอยู่บนหลังม้า ท่าทางองอาจอย่างวีรสตรี ทำให้ฮ่องเต้ที่เคยเห็นแต่สตรีผัดหน้าสะสวยถึงกับตาเป็นประกายทันที
หลังจากเกิดเรื่องนั้นหรงเฟยก็ได้รับความโปรดปราน ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ได้ขึ้นตำแหน่งถึงสามขั้นจนกลายเป็นหรงเจาอี๋
หนึ่งปีให้หลัง หรงเจาอี๋ให้กำเนิดยิ่นอ๋อง และได้แต่งตั้งขึ้นเป็นหรงเฟย สนมตำแหน่งเฟยขั้นสอง
ฐานะของหรงเฟยมั่นคงขึ้นในวังหลัง แน่นอนว่าไม่ว่านางจะมั่นคงอย่างไร แต่ก็ยังไม่อาจเหิมเกริมกับฮองเฮาได้ ในใจฮ่องเต้ ฮองเฮายังคงเป็นประมุขแห่งวังหลังแต่เพียงผู้เดียว
ตอนยิ่นอ๋องอายุสามสี่ขวบ รัชทายาทเพิ่งถือกำเนิด เรื่องราวข้างต้นล้วนเป็นสิ่งที่รัชทายาทได้ยินจากปากคนในวังคนอื่นๆ ทั้งสิ้น ถึงจะไม่แน่ว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ก็ไม่ห่างจากนี้นัก
เท่าที่เฉียวเวยรู้จักหรงเฟย เสือดุเมื่อตอนนั้นแปดส่วนน่าจะเป็นหรงเฟยที่ไล่ต้อนมาก็เพื่อดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้
ความสัมพันธ์ระหว่างหรงเฟยกับฮองเฮา รัชทายาทไม่เอ่ยถึงให้มากนัก