ตอนที่ 424 ยิ่นอ๋องตาสว่าง
ฮ่องเต้มองหน้าหรงเฟยอย่างเยือกเย็น รวมถึงยิ่นอ๋องกับราชันอสูรที่อยู่ในผ้าป่านอย่างแน่นหนาบนหลังยิ่นอ๋องด้วย แน่นอนว่าเพราะห่อเอาไว้อย่างมิดชิดจึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าเป็นราชันอสูร แต่เท้าสองข้างที่โผล่พ้นผ้าป่านออกมาที่ดูออกชัดว่าเป็นรองเท้าบุรุษ ทำให้สีหน้าฮ่องเต้ดูไม่พอใจมากทีเดียว
หรงเฟยกับยิ่นอ๋องพากันอึ้งงันอยู่กับที่ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเขาเคยคิดว่าหากช้ากว่านี้อีกนิด จีหมิงซิวอาจจะตามมาทัน แต่กลับไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะพาฮ่องเต้มาที่นี่ด้วย
ชั่วแวบนั้นเอง ยิ่นอ๋องได้รู้ตัวว่าตนถูกวางกับดักไว้เสียแล้ว
เรื่องโลงศพเอย เครื่องประดับหยกเอย ยิ่นอ๋องเอย ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งล่อใจให้เขาไปถามหาความจริงกับหรงเฟยเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เขาไปเจอหรงเฟย การที่เขาจะเกลี้ยกล่อมให้หรงเฟยไปจากวังหลวงก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
และในตอนนั้นค่อยเชิญให้ฮ่องเต้มาที่นี่ มาจับพวกเขาให้ได้คาหนังคาเขา พวกเขาย่อมบ่ายเบี่ยงไม่ถูกอย่างแน่นอน
ไฟโทสะของยิ่นอ๋องพลันพุ่งทะลุขึ้นสมอง “จีหมิงซิว เจ้ามันชั่วช้านักนะ!”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีเอาสองมือไพล่หลัง ถอนหายใจด้วยความสมน้ำหน้า “ท่านอ๋องอย่าได้กล่าวให้ไม่น่าฟังเช่นนั้นเลย ข้าแค่เพียงบังเอิญผ่านมาทางนี้ ไปเดินเล่นกับฮ่องเต้ในอุทยานมารอบหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงบังเอิญเช่นนี้ มาเจอท่านอ๋องกับพระสนมหรงเฟยเสียได้ นี่ท่านอ๋องกับพระสนมจะไปที่ใดกันหรือ”
ไปที่ใดเจ้าไม่รู้หรือ
สายตายิ่นอ๋องดูดุดันจนแทบอยากจะเอามีดแทงจีหมิงซิวให้ตัวพรุน!
บอกไม่ถูกว่าแท้จริงแล้วตนโกรธที่จีหมิงซิววางแผนเล่นงานตน หรือโกรธที่ตนไม่มีวันฉลาดสู้จีหมิงซิวได้กันแน่ สรุปก็คือทุกครั้งที่ต้องอยู่คนละฟากกับจีหมิงซิว ไม่มีครั้งใดเลยที่เขาเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่าจะเป็นในใจของเสด็จพ่อ หรือความรักของเฉียวซื่อก็ตาม
อย่างเช่นเวลานี้ กระทั่งเรื่องสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อหรงเฟยก็ยังถูกจีหมิงซิวเข้ามาก่อกวน
เช่นนี้จะให้เขาไม่หัวร้อนได้อย่างไร ไม่อารมณ์เสียได้อย่างไร
“ฝ่าบาท…โปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน เมื่อครู่หม่อมฉัน…”
หรงเฟยหมายจะแก้ตัวให้ตนเอง แต่เมื่อเจอกับสายตาเยือกเย็นและดุดันของฮ่องเต้แล้ว ก็รู้สึกคล้ายมีอะไรมาจุกที่คอจนพูดไม่ออก
ฮ่องเต้หยุดมองนิ่งที่ใบหน้าของหรงเฟย หรงเฟยถูกมองจนใจไม่ดี ฮ่องเต้ค่อยๆ ก้าวเข้าไปแต่กลับไปหยุดอยู่ตรงหน้ายิ่นอ๋องแทน
ยิ่นอ๋องเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “เสด็จพ่อ…”
ฮ่องเต้ยื่นมือออกไปจะจับห่อผ้าป่านที่อยู่บนหลังเขา เขาขยับหลบตามสัญชาตญาณทันที
ฮ่องเต้กวาดสายตาดุๆ มองเขา เขาก้มหน้าลง ไม่กล้าพยายามหลบเลี่ยงอีก
ฮ่องเต้เปิดมุมหนึ่งของห่อผ้าขึ้น เผยให้เห็นศีรษะที่มีหน้ากากสวมอยู่ คนผู้นี้ตัวเย็นเฉียบและแข็งกระด้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นศพที่ถูกแช่แข็งไปแล้ว ในวังหลวงอย่าว่าแต่ศพของบุรุษเลย กระทั่งศพของแมลงสักตัวก็ยังไม่มีให้เห็น แต่ตรงหน้ากลับเป็นถึงคนตัวใหญ่เช่นนี้
“เขาเป็นใคร” ฝ่าบาทถามเสียงขรึม
“เขาคือ…” ในหัวยิ่นอ๋องตีกันวุ่นวายไปหมด ไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบคำถามฮ่องเต้อย่างไรให้ไม่เป็นที่สงสัย
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นในจังหวะนั้นว่า “ฝ่าบาท คนผู้นี้ดูคุ้นตาอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้จัก?” ฮ่องเต้ท่าทางงุนงง
จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “กระหม่อมเคยเห็นภาพเหมือนเขามาก่อน ถึงจะไม่มั่นใจนักแต่กระหม่อมมีคนหนึ่งที่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นี้เป็นแน่ ไม่สู้ให้เขามายืนยันสักนิด ดูสิว่าใช่นักฆ่าที่บุกเข้ามาในวังเมื่อวันนั้นดีหรือไม่”
“ผู้ใดกัน” ฮ่องเต้ถาม
“ศิษย์เอกของตำหนักราชครูพ่ะย่ะค่ะ” จีหมิงซิวตอบ
บนหน้ายิ่นอ๋องและหรงเฟยมีแววร้อนรนขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ศิษย์เอกมีฝูกงกงเชิญเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลายวันนี้เขาปวดใจอยู่กับการตายของนักรบมรณะชั้นเลิศทั้งหกคนนั้นไม่หาย เมื่อรู้ว่ามีโอกาสหาคนรับผิดแทน ไม่ต้องบอกเลยว่าเขาจะลิงโลดเพียงใด เขาไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้เอ่ยถาม สองตาเบิกกว้างพร้อมร้องออกมาด้วยความตกใจทันที “ราชันอสูร?”
“ราชันอสูรเป็นใครอีกเล่า” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ศิษย์เอกเล่าความเป็นมาของราชันอสูรรวมถึงเรื่องที่วันนั้นเขาเกือบสังหารเฉียวเวยให้ทุกคนฟังรอบหนึ่ง แน่นอนว่าที่เขาโกรธหาใช่ตอนที่เฉียวเวยเกือบถูกสังหารไม่ แต่เป็นตอนที่ศิษย์มรณะของตำหนักราชครูต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยคมมีดของศิษย์มรณะกระบี่ยาวเหล่านั้น
แล้วศิษย์มรณะกระบี่ยาวเหล่านั้นเป็นลูกน้องของใครกันเล่า
สายตาอาฆาตแค้นของศิษย์เอกกวาดมองไปทางหรงเฟยกับราชันอสูร
“ข้าล่ะสงสัยนัก นักฆ่าในวันนั้นมาอยู่กับพวกเจ้าได้อย่างไร หรงเฟย เจ้าเป็นคนเอาศพของเขาไปซ่อนไว้ในตำหนักกานลั่วใช่หรือไม่!”
ฮ่องเต้กริ้วอย่างหนัก
“อาจจะเป็นผู้อื่นไปซ่อนไว้ ไม่เกี่ยวข้องกับหรงเฟยก็เป็นได้ พระสนมหรงเฟยแค่บังเอิญไปพบเข้า ด้วยกลัวว่าฝ่าบาทจะเข้าใจผิดถึงได้ให้ยิ่นอ๋องขนย้ายศพออกไป” ศิษย์เอกเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปอีกเล็กน้อย
หากเป็นอย่างที่ศิษย์เอกบอกจริง การที่หรงเฟยพบศพที่ไม่รู้ที่มาที่ไปในตำหนักกานลั่ว สิ่งแรกที่นางควรจะทำคือรายงานต่อฮ่องเต้ถึงจะถูก ไม่มีทางลักลอบเรียกยิ่นอ๋องเข้ามาแล้วให้ยิ่นอ๋องลักลอบขนย้ายศพออกไปแน่นอน
อะไรที่เรียกว่ากระโดดลงแม่น้ำฮวงโหแล้วก็ยังไม่พ้นมลทินนั้นเป็นเช่นนี้เอง
“กับแค่ศพคนคนหนึ่งจะหวงแหนเพียงนี้ พระสนมหรงเฟยช่างผูกพันกับราชันอสูรอย่างลึกซึ้งโดยแท้จริง!” ศิษย์เอกสุมไฟเข้าไปอีก
สีหน้าฮ่องเต้ดำคล้ำจนดูไม่ได้เข้าไปใหญ่
“ฝ่าบาท!” ราชองครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางเหมือนคนตกใจจนเสียขวัญ เอ่ยด้วยสีหน้าซีดขาวว่า “พวกเราไปพบโลงศพหลังหนึ่งแถวๆ วังเย็นเก่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูกงกงกำลังคิดอยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องอัปมงคล อย่าได้เอาเรื่องอัปมงคลเช่นนี้เข้ามาในตำหนักกานลั่ว แต่พอหางตาเหลือบไปเห็นราชันอสูรที่อยู่ด้านหลังยิ่นอ๋องก็คิดขึ้นได้ว่าต่อให้อัปมงคลแค่ไหนก็คงสู้เรื่องนี้ไม่ได้
ฮ่องเต้ยกมือขึ้น
องครักษ์ผู้นั้นกับสหายองครักษ์ยกโลงศพนั้นเข้ามา
ชั่วแวบนั้นที่ได้เห็นโลงศพ หรงเฟยรู้สึกว้าวุ่นไปหมด!
ส่วนอาการของยิ่นอ๋องก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ใบหน้าหล่อเหลาขาวซีดจนไร้สีเลือด กระทั่ง “ก้อนน้ำแข็ง” ขนาดมหึมาที่ตนแบกอยู่บนหลังก็ไร้ความรู้สึกไปโดยสิ้นเชิง
“เปิดออก” ฮ่องเต้เอ่ย
องครักษ์สองคนจะเปิดโลงออก หรงเฟยรีบโผเข้าไปบังโลงศพนั้นไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าหวั่นวิตกว่า “ฝ่าบาท ของสิ่งนี้ไออัปมงคลรุนแรง พระองค์อย่าทอดพระเนตรเลยจะดีกว่า”
จีหมิงซิวยิ้มเยาะ “ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสมังกร คนเป็นโอรสมังกรจะกลัวแค่ไออัปมงคลพวกนี้ได้อย่างไร”
ความสามารถในการโกหกตาใสเช่นนี้ไม่มีใครเกินเขาอีกแล้ว
“หรงเฟยเจ้าหลบไป” ฮ่องเต้เอ่ยสั่งเสียงเย็น
หรงเฟยไม่ยอม จับโลงศพนั้นไว้เป็นตายก็ไม่ยอมปล่อย
ฝ่าบาทจึงหันไปสั่งยิ่นอ๋อง “ยังไม่รีบมาเอาตัวเสด็จแม่เจ้าออกไปอีก!”
ยิ่นอ๋องดึงตัวหรงเฟยขึ้นมา
องครักษ์ถึงได้เปิดโลงศพขึ้น ด้านในมีโครงกระดูกเด็กทารกอยู่โครงหนึ่ง จะบอกว่าเป็นทารกก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คนที่มีประสบการณ์พิสูจน์ซากศพแค่ดูก็บอกได้แล้วว่าจริงๆ แล้วนี่เป็นซากโครงกระดูกของตัวอ่อนที่ใกล้จะลืมตาดูโลก
จีหมิงซิวหยิบผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมา “เนื้อผ้าชนิดนี้เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อครั้งพระสนมหรงเฟยถูกขับไปอยู่วังเย็นได้ไม่นานแล้ว ดูท่าโลงศพนี้คงถูกฝังมาหลายปีมาแล้ว”
เมื่อตอนนั้นที่หรงเฟยถูกขับไปอยู่วังเย็น หากนางตั้งครรภ์บุตรของฮ่องเต้จริงจะต้องมีคนไปรายงานต่อฮ่องเต้แล้ว นอกเสียจากนางตั้งท้องกับคนอื่นที่ไม่อาจให้ฝ่าบาททรงทราบได้!
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฝ่าบาทยังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือ
เมื่อคิดได้ว่าตนถูกคนชั่วสวมเขามาให้นานปีเพียงนี้ สีหน้าฮ่องเต้ก็พลันเขียวคล้ำ “ข้าสงสารที่ข้าเข้าใจเจ้าผิด…แต่เจ้าจงใจให้เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด!”
จงใจให้ตนถูกขับไปอยู่วังเย็น เพื่อจะได้เสพสุขกับชายชู้ของตน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฝ่าบาทก็รู้สึกสะอิดสะเอียนคล้ายกลืนแมลงนับร้อยตัวลงไป “ทหาร! จับตัวหรงเฟยให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ยิ่นอ๋องพลันหน้าถอดสี “เสด็จพ่อ!”
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไร้ปราณีว่า “เจ้าลูกทรพีนี่อีกคน มาจับตัวเขาไว้ด้วย!”
ราชองครักษ์จะเข้าไปจับพวกเขาสองคนทันที หรงเฟยเลยรีบคว้ามือยิ่นอ๋องออกวิ่งไปทางห้องของตน
พอเข้าไปในห้องแล้ว นางก็รีบเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอาธนูเล่มหนึ่งออกมา
พอดีว่าในตอนนั้นราชองครักษ์สองคนตามมาถึงพอดี หรงเฟยง้างคันธนูแล้วยิงใส่องครักษ์ผู้นั้น ร่างกายขององครักษ์คล้ายถูกพลังมหาศาลยิงทะลุไป เลือดออกเจ็ดทวารจนล้มลงที่ตรงนั้น
ยิ่นอ๋องมององครักษ์แล้วมองธนูในมือหรงเฟย หลังจากอึ้งงันไปพักหนึ่งสีหน้าเขาก็พลันชะงักค้าง “ธนูจันทร์โลหิต?”
“ไปเร็ว!” หรงเฟยดึงมือยิ่นอ๋องแต่กลับดึงไม่ไป “เจ้าเป็นอะไร มัวชักช้าอะไรอยู่”
ยิ่นอ๋องไม่รู้ว่าควรผิดหวังหรือควรตกใจดี “วันนั้นคนที่ยิงธนูใส่เฉียวซื่อจนบาดเจ็บ…เป็นท่านจริงๆ”
ขนตาหรงเฟยสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางบ่ายเบี่ยงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ พูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “อย่ามัวยืนนิ่งอยู่สิ รีบไปเร็วเข้า!”
ยิ่นอ๋องปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างเย็นชา
หรงเฟยมองยิ่นอ๋องด้วยความตกใจ ก่อนที่สีหน้าจะค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น “เจ้าจะไม่ไปใช่หรือไม่”
ยิ่นอ๋องยากจะปิดบังความผิดหวังในใจ “ท่านคิดจะพาข้าไปด้วยใจจริงหรือเพราะอยากให้ข้าช่วยเอาศพราชันอสูรไปด้วยกันแน่”
หรงเฟยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อน ที่หน้าประตูมีองครักษ์กรูกันเข้ามาหลายคน หรงเฟยหันขวับไป ง้างธนูออก พลังที่ราวกับลมพายุพุ่งทะยานเขาไปหาคนเหล่านั้นทันที องครักษ์ทนรับกำลังภายในมหาศาลเช่นนี้ไม่ไหว เลยพากันกลิ้งตลบออกไป
หรงเฟยหันมาหายิ่นอ๋องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในสายตานางไม่เหลือความอบอุ่นอ่อนโยนอีกแล้ว นางยื่นมือไปจับศพที่อยู่ข้างหลังยิ่นอ๋อง
ยิ่นอ๋องไม่คิดว่านางจะทำเช่นนี้จึงตกตะลึงงันไปแวบหนึ่ง แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนฝึกวรยุทธ์ เขาจึงเบี่ยงหลบมือของหรงเฟยไปอย่างรวดเร็ว
หรงเฟยมองยิ่นอ๋องอย่างเย็นชา “อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ”
ในอกยิ่นอ๋องมีความเจ็บปวดเข้ารุกราน
หรงเฟยง้างธนูจันทร์โลหิตเล็งตรงไปที่ยิ่นอ๋อง
ความศรัทธาในใจส่วนลึกของยิ่นอ๋องพลันพังทลายในบัดดล
“ท่านแม่” ที่เขาเฝ้ารักและเคารพมานานหลายปี สุดท้ายแล้วกลับหันมาเล่นงานเขาเพื่อซากศพเพียงศพเดียว
เขากำหมัดแน่น สองตาค่อยๆ แดงก่ำ
ไม่มีใครอาจเข้าใจความรู้สึกในเวลานี้ของเขา เทียบกันแล้วความรู้สึกนี้ยังหนักหนาและเจ็บปวดกว่าการถูกฮ่องเต้เมินเฉยเป็นร้อยรอบพันรอบและถูกแส้ฟาดที่ในคุกเป็นหมื่นครั้งเสียอีก
“เพราะเหตุใด”
น้ำตาเขาเอ่อขึ้นมากลิ้งกลอกอยู่ในดวงตา
สายตาของหรงเฟยมีประกายน้ำให้เห็นบางๆ แต่พอกัดฟัน นางก็ยังผ่อนนิ้วที่ง้างสายธนูเอาไว้อยู่ดี
ชั่วขณะที่ขุมพลังมหาศาลกำลังจะพุ่งออกจากสายธนูนั้น เงาคนที่ผอมบางเงาหนึ่งก็โผเข้ามาจนพาให้หรงเฟยล้มกลิ้งไปกับพื้น
หรงเฟยยิงพลาดไป
ฮองเฮาเยี่ยหลัวใช้กำลังเกือบทั้งหมดที่มี ล้มกลิ้งจนร่างแทบแหลกสลาย
หรงเฟยเดือดจัด ผลักนางออกไป เล็งตรงไปที่หน้าอกนางแล้วง้างธนูออก