ตอนที่ 2,945 : พลังอำนาจแห่งกฏ!
พอเห็นว่าชายวัยกลางคนที่ปราดร่างมาขวางทางพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เอาไว้เตรียมจะเปิดฉากสังหาร หวงเจียหลงที่เดิมแลดูอัธยาศัยดีต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย ตะคอกคำใส่ชายวัยกลางคนเสียงเย็น
“หาที่ตาย ข้าว่าเป็นเจ้า!”
และนั่นคือวาจาตะคอกเสียงเย็นของหวงเจียหลง
“หืม!?”
เสียงตะคอกเยียบเย็นของหวงเจียหลง ก็ทำให้ชายวัยกลางคนที่คิดลงมือตกใจอยู่บ้าง ขณะเดียวกันมันก็เผลอหันไปมองหวงเจียหลงโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นชายวัยกลางคนก็รู้สึกว่าหน้าตาของหวงเจียหลงแลดูคุ้นๆอยู่บ้าง ราวกับเคยพบเจออีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน หากแต่มันยังไม่อาจนึกออกว่าเคยเห็นหวงเจียหลงที่ไหน
“ผู้เฒ่าเฟิง”
ขณะเดียวกันหวงเจียหลงก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบคล้ายกล่าวลอยๆ
“เจ้าเมืองน้อย”
ทว่าแทบจะทันทีที่เสียงของหวงเจียหลงดังจบคำ เสียงชราฟังดูน่ากลัวหนึ่งก็คล้ายจะดังก้องมาจากทุกทิศทาง และทันใดนั้น ด้านหลังหวงเจียหลงก็ปรากฏชายชราผู้หนึ่งที่ทำราวกับจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า!
เป็นชายชรารูปร่างผ่ายผอมแลดูบอบบางเกินต้านลม มาในชุดคลุมสีดำ
ใบหน้าชายชราด้วยความผอมนั้นทำให้แก้มซูบตอบ เห็นเค้าโรงกระดูกชัดเจน ภายใต้แสงจันทร์สลัวกอปรกับชุดสีดำสนิท พาลให้คนแลดูเหมือนภูตผีอยู่บ้าง
วูบ วูบ
เห็นชายชราที่ความเร็วสูงจนเหมือนจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศธาตุ ไม่เพียงแต่สีหน้าชายวัยกลางคนที่ปิดขวางเส้นทางด้านหน้าจะแปรเปลี่ยนไป แต่สีหน้าชายหนุ่มอีกคนที่เลือกจะมาปิดทางไว้ด้านหลังพวกต้วนหลิงเทียนเองก็เปลี่ยนไปทันที
“ท่าน…ท่าน…ท่านคือผู้เฒ่าซูเฟิงงั้นหรือ!?”
ทันใดนั้นชายหนุ่มที่มาพร้อมชายวัยกลางคน และเลือกจะมาดักหลัง ปิดทางถอยพวกต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ก็กล่าวถามออกมาเสียงสั่น ลูกตามันตอนนี้ยังหดหยีแทบปิด
“เจ้ารู้จักข้า?”
ได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังกล่าว ชายชราก็หันไปมองถามมันทันที
“ผู้เฒ่าซูเฟิง ท่านอาจารย์ของข้าคือ ตงอวี่ ขอรับ”
ชายหนุ่มกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาเจอชายชราในลักษณะนี้ได้
ชายชราคนนี้ก็เคยเป็นผู้ฝึกตนพเนจรเหมือนมัน
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่มีชื่อเสียงในประเทศฝูชิวนัก เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักชนชั้นยอดฝีมือผู้หนึ่ง ทว่านั่นก็เป็นอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ไม่แน่อาจทะลวงถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้วก็เป็นได้
ตอนที่มันยังเล็กเป็นเด็กน้อยมันเคยเจอชายชราผู้นี้ครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นสหายของอาจารย์มัน!
“ตงอวี่?”
ได้ยินคำของชายหนุ่ม คิ้วชายชราขดย่นเป็นปม จากนั้นก็เริ่มคลายตัว “เจ้า…หรือจะเป็นเด็กน้อยที่วิ่งเปลือยตูดเล่นซนไปทั่วเขาผู้นั้น?”
“เหมือนเจ้าจะเรียกว่า…หูเลี่ย?”
ชายชราที่นึกอะไรขึ้นได้ ก็กล่าวถามออกไป
“แหะๆ ไม่คิดเลยว่าผู้เฒ่าซูเฟิงจะยังจดจำข้าน้อยได้ ข้าหูเลี่ยเองขอรับ”
ในขณะที่ชายหนุ่มนามหูเลี่ยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เหลือบไปมองชายหนุ่มปราดหนึ่ง ค่อยหันไปมองถามชายชราอย่างกล้าๆกลัวๆ “ผู้เฒ่าซูเฟิงข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านเลือกจะเข้าร่วมกับจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น…”
“เช่นนั้น คุณชายผู้นี้ก็คือ…?”
จังหวะนี้ชายหนุ่มเริ่มคาดเดาตัวตนของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าชายชราได้แล้ว
“เจ้าเมืองน้อย ของเมืองตู้อวิ๋น”
ซูเฟิงกล่าว
หากเป็นชาวบ้านมาพูดคำว่าเจ้าเมืองน้อยของเมืองตู้อวิ๋น มันอาจสับสนเพราะหวงเฟยเหยี่ยนมีลูกชายหลายคน ทว่าสำหรับซูเฟิงแล้ว มีเจ้าเมืองน้อยแค่คนเดียวเท่านั้น และนั่นคือคนที่มีแนวโน้มว่าจะได้เป็นเจ้าเมืองตู้อวิ๋นคนต่อไปมากที่สุด!
และคนผู้นั้นก็คือ บุตรชายคนที่ 4 ของหวงเฟยเหยี่ยน หวงเจียหลง!
“ซูเฟิง?”
ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนที่หยุดขวางทางด้านหน้าพวกต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มตอบสนองเรื่องราว มองไปยังหวงเจียหลงอีกครั้งหน้ามันก็เปลี่ยนสีไปอย่างมาก “เจ้า…เจ้าคือลูกชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเจียหลง?”
“หากข้าเดาไม่ผิด…เจ้าก็คือพี่ชายคนโตของพระสนมหลันสินะ?”
หวงเจียหลงเหลือบมองชายวัยกลางคนปราดหนึ่ง “ข้าได้ยินมาว่าลูกชายของเจ้าถูกฆ่าตายนอกเมือง แต่เจ้าหาตัวฆาตกรไม่พบ…”
“ดูเหมือนตอนนี้ไม่เพียงเจ้าจะระบุตัวฆาตกรได้แล้ว แต่ยังเป็นน้องต้วนที่มากับข้าสินะ?”
กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็มองจ้องชายวัยกลางคนเขม็ง
“เจ้าเมืองน้อย ในเมื่อท่านรู้ดีว่าน้องสาวข้าเป็นผู้ใด…เช่นนั้นขอให้ท่านเห็นแก่หน้าน้องสาวข้าสักครา อย่าได้ยุ่งเรื่องราวความแค้นระหว่างข้ากับชายหนุ่มผู้นี้เลยเถอะ!”
ชายวัยกลางคนกล่าวถึงจุดนี้ก็เหลือบไปมองชายชรานามซูเฟิงด้านหลังหวงเจียหลงอย่างหวั่นใจ เพราะมันรู้ดีว่าหากชายชราคิดสอดมือ มันก็คงไม่มีปัญญาแตะแม้แต่ผมสักเส้นของต้วนหลิงเทียนแน่นอน
“ฮ่าๆๆๆ…!!”
ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน หวงเจียหลงพลันระเบิดเสียงหัวร่อออกมาด้วยความขบขัน “หลี่เวย…ข้าเกรงว่ากระทั่งน้องสาวเจ้าเอง ตอนนี้ก็คงไม่คิดจะล้างแค้นให้ลูกชายของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”
“กระทั่งหากฝ่าบาทล่วงรู้ว่าเจ้าคิดฆ่าน้องต้วน ก็คงไม่คิดปล่อยให้เจ้าลงมือสำเร็จกระมัง?”
หลังหัวเราะจบ หวงเจียหลงก็กล่าวเสียดสีออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
และที่ไฉนหวงเจียหลงถึงรู้เรื่องพวกนี้ เป็นเพระชายชราที่อยู่เบื้องหลังได้กล่าวส่งเสียงผ่านพลังบอกตัวตนของหูเลี่ยให้มันรู้
หูเลี่ยเป็นผู้ฝึกตนพเนจร!
นอกจากนี้ชายชรายังกล่าวอีกว่า หูเลี่ยมาที่นี่เพราะได้รับการจ้างวานจากหลี่เวยเท่านั้น เรียกว่าเป็นผู้ช่วยที่หลี่เวยใช้เงินจ้างมาช่วยเหลือ
มีน้องสาวเป็นถึงนางสนมเอก แต่กลับต้องไปจ้างคนนอกให้มาช่วยเหลือ…
เห็นได้ชัดว่ากระทั่งสนมเอกก็ไม่คิดจะร่วมหัวจมท้ายไปกับหลี่เวย ไม่คิดโดดลงโคลนปลักนี้!
“เจ้าเมืองน้อย ขอเพียงท่านปล่อยให้ข้าฆ่าเจ้าหนุ่มนั่นล้างแค้นให้ลูกข้า ตัวข้าหลี่เวยยินดีถวายตัวรับใช้จวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋น ให้ท่านใช้งานดั่งม้าลา…”
หลี่เวยสูดอากาศเข้าลึกๆ มองกล่าววกับหวงเจียหลงด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง หากทว่ามันยังพูดไม่ทันจบคำ ไร้ซึ่งการแจ้งเตือนใดๆ…
ฟุ่บ!
เป็นหลี่เวยเลือกจะปะทุพลังชั่วชีวิต พุ่งร่างออกไปปานจุดระเบิด จี้ตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูงสุด!
หากทว่าทันทีที่หลี่เวยเคลื่อนไหว ชายชราที่อยู่ด้านหลังหวงเจียหลงก็ลงมือตอบสนองในฉับพลัน อาศัยแค่พลิกฝ่ามือเบาๆคราหนึ่ง ก็ปรากฏพลังไร้สภาพร้ายกาจสะกดร่างหลี่เวยเอาไว้ไม่ให้กระดิกกระเดี้ยวไปไหนได้
ทั้ง 2 ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!
ชายชรานั้น เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว
หากทว่าหลี่เวยก็แค่ขุนนางอมตะ 6 ผสานเท่านั้น!
“หาที่ตาย!!”
หลังเห็นชายชราใช้พลังหยุดร่างหลี่เวยเอาไว้ หวงเจียหลงก็พึ่งตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงเหี้ยม “ผู้เฒ่าเฟิง ฆ่ามันเสีย!”
“ทราบแล้วเจ้าเมืองน้อย!”
สิ้นคำกล่าวของหวงเจียหลง ชายชราก็ลงมืออีกครั้ง สีหน้าหลี่เวยก็เริ่มเปลี่ยนไป หากแต่สีหน้ามันยังไม่ทันได้เปลี่ยนไปดีด้วยซ้ำ ก็ปรากฏพลังสุดไพศาลขุมหนึ่งบีบรัดร่างมันจากทุกทิศทาง สุดท้ายคนก็ถูกบดบี้กลับกลายเป็นก้อนเนื้อโลหิตเลอะเลือนก้อนหนึ่ง…
เมื่อหลี่เวยตายตก สีหน้าหูเลี่ยก็เปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที และพอเห็นหวงเจียหลงหันกลับมามองที่มัน ใจมันก็เต้นตุ้มๆต่อมๆไปไม่เป็นจังหวะ จนเมื่อได้ยินคำพูดของหวงเจียหลงมันก็พอหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของสหายผู้เฒ่าเฟิง เช่นนั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครา”
นั่นคือวาจาของงหวงเจียหลง
“ทว่า…”
หวงเจียหลงมองหูเลี่ยด้วยสายตาลึกล้ำ เอ่ยออกเสียงเรียบต่อว่า “แต่เจ้าก็ถือว่าได้สร้างความไม่พอใจให้กับน้องชายข้าในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว แม้โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นไม่อาจหลีกเลี่ยง…เจ้าก็สมควรจ่าค่าทำขวัญอันใดให้น้องต้วนใช่หรือไม่?”
ได้ยินวาจาดังกล่าว สีหน้าหูเลี่ยก็เปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ดทันที สุดท้ายมันก็ได้แต่สะบัดมือเรียกวัตถุคล้ายเพชรสีดำเม็ดหนึ่งออกมา เพชรสีดำเม็ดนี้ยังแลดูเก่าเก็บนัก
จากนั้นมันก็ส่งเพชรสีดำเม็ดดังกล่าวไปให้ต้วนหลิงเทียน “คุณชายต้วน…ข้ามันแค่คนจรหาเช้ากินค่ำ ไร้สมบัติล้ำค่าใดๆติดตัว…มีก็แต่ศิลาประหลาดก้อนนี้เท่านั้น ที่ข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน และต่อให้เป็นยยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศก็มิอาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน”
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้เหมือนกันว่าศิลาก้อนนี้เป็นวัตถุเลิศล้ำอันใด แต่ข้าเชื่อว่าหากกระทั่งยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศยังไม่อาจสร้างแม้แต่รอยขีดข่วนให้มันได้ เช่นนั้นมันก็สมควรมีค่าไม่น้อย”
“ข้าจึงได้แต่มอบมันให้คุณชายต้วนแล้ว…หวังว่าคุณชายต้วนจะเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ติดใจเอาความผู้น้อยอีก”
ได้ยินวาจาดังกลาวของหูเลี่ย เห็นได้ชัดว่าคิดใช้สมบัติประหลาดหลีกเลี่ยงเภทภัย
“หืม?”
พอเห็นหูเลี่ยหยิบก้อนศิลาสีดำออกมา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าวัตถุชิ้นนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
แต่เขาไม่ทันได้นึกจริงจังว่ามันคืออะไร ก็มีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นในร่างเขาเสียก่อน
“หืม!? นี่มัน…ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 นี่นา!?”
เสียงชราดังกล่าวก็คือเสียงของเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 ในร่างต้วนหลิงเทียน “ไอ้หนู นี่เจ้าไปได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มาแต่ที่ใดกัน?”
ฟังจากคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลแล้ว เห็นชัดว่าเพราะอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงศิลาสีดำรูปร่างเหมือนเพชรในมือต้วนหลิงเทียน จึงตื่นจากห้วงนิทรา
“นี่คือ…ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 รึ?”
พอได้ยินเสียงของเพลิงเทพโกลาหล ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้แล้ว ว่าไฉนเขาถึงได้รู้สึกคุ้นๆก้อนศิลาสีดำประหลาดนี้อยู่บ้าง
เพราะตอนที่เขาได้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ทั้ง 2 ชิ้นมาครอง มันก็ให้ความรู้สึกเดียวกันนี้นี่เอง
ในบรรดาทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ทั้ง 2 ชิ้นที่เขาได้มานั้น ชิ้นหนึ่งเป็นเซี่ยเจี๋ย อา 3 ของเค่อเอ๋อจากดินแดนแห่งทวยเทพมอบให้มา ส่วนอีก 1 ชิ้นนั้นเป็นเขาไปพบเจอมันที่ระนาบโลกียะอย่างระนาบเซียนที่เป็นบ้านเกิดของเขาในชีวิตนี้
ต่อมาทั้งคู่ก็ได้หลอมรวมผสานกัน กลับกลายเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ในร่างเขา
“เจ้าหนู หากทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ในร่างเจ้าตื่นขึ้นเมื่อใด พอมันดูดกลืนทองเทพสุดลี้ลับขั้น 1 ชิ้นนี้ไป วันหน้าเจ้าก็แค่ต้องหาทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 เช่นนี้ให้พบอีกสักชิ้น ถึงตอนนั้นมันจะพัฒนากลับกลายเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้!”
เสียงของเพลิงเทพโกลาหลยังคงดังในใจเขาสืบต่อ “น่าเสียดายที่เจ้ามิมีวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีคุณสมบัติของไฟและทองอยู่ในมือ…หาไม่แล้วด้วยข้าหรือทองเทพสุดลี้ลับที่พัฒนาเป็นขั้นที่ 3 ได้ ก็จักช่วยให้เจ้าเข้าถึงกฏแห่งไฟและทอง ผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชานั่นได้ในเวลาอันสั้น”
“กฏแห่งไฟ? กฏแห่งทอง?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ตกใจ เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “นั่นมันคืออะไรหรือ?”
“หึ! ในระนาบเทวโลกนั้น มีเพียงแต่ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมแห่งกฏเกณฑ์แล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถเรียกตัวเองว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้…อย่างไรเสียในระนาบเทวโลกนั้น คิดจะหยั่งรู้ถึงสัจธรรมแห่งกฏเกณฑ์ฟ้าดินให้ได้เร็วไว ก็มีแต่ต้องอาศัยวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชขึ้นไปเป็นใบเบิกทาง หาไม่แล้วอาศัยความเข้าใจของตัวเอง คงยากนักที่จะเข้าถึงกฏได้ในเวลาอันสั้น…”
“ทั้งหมดนี้เนื่องเพราะวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา ที่มิใช่วรยุทธ์กับเวทญ์พลังสั่วๆ ยอมแฝงเร้นไปด้วยกฏเกณฑ์…และหากเจ้าสามารถแตกฉานวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีกฏเกณฑ์แฝงเร้นเอาไว้ ย่อมแตกต่างจากแตกฉานวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับขุนนางที่ไร้กฏเกณฑ์แฝงเร้นอย่างสิ้นเชิง…เพราะอย่างแรกนั้นเจ้าจักเข้าใจถึงสัจธรรมแห่งกฏ ส่วนอย่างหลังนั้น ก็แค่ถือว่ามีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังใช้เพิ่มพลังต่อสู้เล็กๆน้อยๆเท่านั้น…”
วาจาของเพลิงเทพโกลาหลครานี้ เสมือนได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้ต้วนหลิงเทียนอย่างแท้จริง
“สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ยามใดที่เข้าถึงกฏ ไม่ว่าจะกฏอันใด และแม้จะเป็นเพียงแค่กฏขั้นเบื้องต้นและความหมายเดียว หากแต่เมื่อนำไปใช้ประยุกต์ร่วมกับการต่อสู้แล้วล่ะก็ ก็มากพอจะสยบผู้ฝึกตนในขอบเขตเดียวกันที่ไม่เข้าใจกฏ หรือกระทั่งผู้ฝึกตนที่เหนือกว่าไม่กี่ขั้นแต่ไม่เข้าใจกฏได้อย่างง่ายดาย…”
“เช่นนั้นพลังฝีมือที่แท้จริงของผู้ฝึกตนในระนาบเทวโลกนั้น ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในกฏเป็นหลัก ระดับบ่มเพาะอันใดนั้น ขอเพียงมีเวลากับทรัพยากรล้นเหลือ ต่อให้เป็นหมูก็บรรลุจักรพรรดิอมตะได้! และวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาอันมีกฏแฝงเร้นที่ข้าเอ่ยถึงก่อนหน้า ก็เสมือนประตูสู่พลังความเข้มแข็งที่แท้จริง!!”
…