ตอนที่ 433-1 ล่องูออกจากถ้ำ (3)
เฉียวเวยรู้สึกว่าการคาดเดานี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป สตรีที่ใสซื่อใจดีเช่นนั้นจะเป็นสายลับได้จริงๆ หรือ
เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้นะ แต่หากไม่ใช่นางแล้วยังจะมีใครที่เข้าเงื่อนไขทุกข้อเช่นนี้อีกหรือ
คนที่รู้ว่ามีธนูจันทร์โลหิตคันที่สองอยู่ คนที่เข้าใกล้เจาหมิงได้โดยที่ไม่ถูกเจาหมิงสงสัย สายตาคู่นั้นที่ทำให้นางรู้สึกว่าคุ้นตา…
เมื่อนำทุกอย่างมารวมกัน ความสงสัยในตัวนางก็ยิ่งฝังลึกลงไปถึงกระดูก ทำอย่างไรก็แยกกันไม่ออกอีก
กริชของเฉียวเวยจ่ออยู่ที่ลำคอของฟู่เสวี่ยเยียน “เจ้าไม่ใช่คนบงการ แต่เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดตัวฉกาจที่สุด ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจอย่างที่สุด หมิงเยี่ยก็ชอบเจ้าจากใจจริง กระทั่งคนเช่นนี้เจ้ายังสามารถหักหลังได้ เจ้าไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่! ข้าจะเห็นแก่เลือดเนื้อเชื้อไขในตัวเจ้า วันนี้ข้าจะไม่สังการเจ้า แต่นับแต่นี้ไป อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีก!”
ส่วนอีกด้านหนึ่ง บนถนนที่กว้างขวาง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับชางจิวฟาดฟันกันมาอย่างดุเดือด
ช่วงนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยวรยุทธก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เดิมทีเขาไม่ใช่คู่ฝีมือของชางจิว แต่คืนนี้เขากลับทำชางจิวบาดเจ็บอย่างหนักได้อย่างคาดไม่ถึง แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ดูไม่ได้ไปกว่ากันสักเท่าไร แขนซ้ายถูกชางจิวฟันให้แผลหนึ่ง ทะลุเนื้อลงไปจนเห็นกระดูก แต่ก็เพราะแผลนี้ทำให้เขามีโอกาสเขาสู่ประชิดตัวกับชางจิว
เขาถนัดใช้อาวุธลับ จึงมักทำให้คนอื่นมองข้ามวรยุทธของเขาไป ชางจิวก็เช่นกัน เขารู้สึกว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นเพียงคนหัวทึบที่ต้องอาศัยแต่อาวุธในการต่อสู้ วรยุทธยามต่อสู้ระยะประชิดน่ากลัวว่ากระทั่งนักรบมรณะขั้นต่ำที่สุดก็ยังสู้ไม่ได้ เขาจึงฟันดาบนั้นลงไปอย่างไม่มีลังเลสักนิด และไม่กังวลว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะลอบโจมตีตนได้
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาทำได้สำเร็จ ดาบของเขาฟันเข้าใส่แขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างจัง!
แต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ในขณะที่เขาถูกทำร้ายจนสาหัสเช่นนั้น เยี่ยนเฟยจเวี๋ยกลับใช้มือขวาคว้าดาบเขาเอาไว้ จังหวะที่เลือดสดๆ ทะลักออกมานั้น เขาพลันตะลึงค้าง แต่แขนซ้ายของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้แผลฉกรรจ์ไปแล้ว เขาจึงไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะสามารถใช้แขนซ้ายทำอะไรตนได้อีก เขายังคงโจมตีใส่แขนขวาที่บาดเจ็บเล็กน้อยของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ในตอนนั้นเอง มือซ้ายที่เจ็บจนสั่นสะท้านของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยชักกริชชาดออกมาแล้วใช้แทงทะลุอกชางจิวทันที
กริชของเขาแทงได้เฉียดฉิวยิ่งนัก ตำแหน่งที่แทงอยู่ห่างจากหัวใจไปไม่ถึงครึ่งชุ่น หากเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมือสั่นไปแม้เพียงเล็กน้อย เขาคงตายคาที่ไปแล้ว
คนหัวทึบอย่างเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงขั้นเรียนรู้ที่จะใช้กลยุทธ์แล้วหรือ ชางจิวไม่เคยคาดคิดถึผลลัพธ์เช่นนี้มาก่อน
จีหมิงซิวกลับไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอาจไม่ใช่คนที่วรยุทธ์สูงส่งที่สุด แต่เป็นคนที่สู้ยิบตาที่สุดนั้นแน่นอน ในขณะที่เขารู้ว่าตนไม่มีทางถือไพ่เหนือกว่าได้นั้น เขาก็จะไม่เปิดโอกาสแม้เพียงเล็กน้อยให้คู่ต่อสู้แน่นอน
ก็เพราะความดื้อด้านอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ ไม่รู้ทำยอดฝีมือแห่งยุทธภพตกใจจนพ่ายแพ้ไปแล้วกี่คน
คืนนี้กระทั่งชางจิวก็ยังสั่นสะท้านไปด้วย
หากยังสู้กันต่อไป ด้วยความสามารถของชางจิว อาจจะไม่ถึงขั้นแพ้ แต่ชางจิวไม่ได้ตั้งใจเอาชีวิตมาแลก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับตั้งใจเช่นนั้น
การสู้แค่ตายของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำให้ชางจิวเกิดความคิดที่จะล่าถอยขึ้นมา เขามีความคิดว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ดี หรือจะหาจังหวะถอนตัวออกไปตอนไหนดี
สุดท้ายชางจิวเลือกที่จะทำอย่างหลัง หลังจากปะทะกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยในกระบวนท่าสุดท้ายเสร็จ เขาก็หาจังหวะกระโดดขึ้นชายคาไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดจะใช้วิชาตัวเบากระโดดตามขึ้นไป แต่กลับถูกจีหมิงซิวห้ามไว้
จีหมิงซิวมองแผ่นหลังที่ราวกับหนีเอาชีวิตรอดของชางจิวแล้วเอ่ยว่า “อย่าไปไล่หมาจนตรอก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดฟันกรอด “ประมาทตาเฒ่านั่นเกินไปแล้ว!”
“ไม่ถือว่าประมาทหรอก” โดนแทงเข้าไปเช่นนั้น วรยุทธ์ไม่ถดถอยไปสักสามปีห้าปีนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เด็กขาด
จีหมิงซิวหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสกัดจุดชีพจรตรงแขนซ้ายแล้วเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “บาดแผลเท่านี้ ไม่เป็นอะไรหรอก”
จีหมิงซิวโยนยาสมานแผลให้ขวดหนึ่ง “ทายาหน่อยแล้วกัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบรับคำหนึ่ง เปิดจุกฝาขวดออก กลิ่นหอมของใบสะระแหน่ลอยคลุ้งออกมา แสบจมูกจนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงกับจามออกมาแรงๆ “กลิ่นยานี้ช่างแรงนัก!”
จีหมิงซิวบอกว่า “แรงนั้นก็จริงอยู่ แต่ยาให้ผลดีนัก บิดาของเสี่ยวเวยนำมาด้วยจากชนเผ่าลึกลับ” จีหมิงซิวบอกออกไปอย่างนั้น แต่พอพูดจบไม่รู้เพราะเหตุใด เขาหันมองไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ขอบเขตตามด้วยขมวดคิ้วมุ่น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทายาเสร็จ ปากขวดยาก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด เขาจึงไม่คืนให้จีหมิงซิวแต่เอาเก็บเข้าอกเสื้อแทน “ไปกันเถิด ไปไล่ตามสตรีแซ่ฟู่นั่นแล้วเอาธนูจันทร์โลหิตกลับมากัน”
พูดจบเขาก็เดินนำไปสองก้าว แต่พอเห็นจีหมิงซิวไม่ตามมาจึงหันไปถามด้วยความงุนงงว่า “มีอะไรหรือ”
จีหมิงซิวนิ่งใคร่ครวญ “เมื่อครู้เจ้าบอกว่ากลิ่นยาแสบจมูก”
“อื้อ แล้วอย่างไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม
“ข้าเลยคิดอะไรได้เรื่องหนึ่ง” จีหมิงซิวบอก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตั้งใจรอฟัง เรื่องที่ทำให้เขาใคร่ครวญอย่างเคร่งขรึมเช่นนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน
จีหมิงซิวกลับไม่พูดอะไร หมุนตัวเดินเร็วๆ ไปตามทางที่มาทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฉงนสงสัยไปหมด “เอ๊ะ? ทำไมกัน เจ้าไม่ตามสตรีแซ่ฟู่นั่นไปแล้วหรือ”
จีหมิงซิวเร่งรุดกับบ้านตระกูลจีโดยไม่มีหยุดพักทันที จึงบังเอิญเจอกับเฉียวเวยที่กำลังอยู่ในอาการเร่งร้อนเข้าอย่างจัง
เฉียวเวยบอกว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า!”
จีหมิงซิวบอกว่า “ข้าก็เช่นกัน”
ทั้งสองชะงักไป ชั่วจังหวะนั่นทั้งสองตกใจที่ได้รู้ว่าเรื่องที่ตนจะพูดน่ากลัวว่าจะเป็นเรื่องเดียวกับอีกฝ่าย พวกเขาจึงไม่รีบบอกกล่าวต่อกันในตอนนี้ เร่งรุดกลับบ้านชิงเหลียนกันไปโดยเร็วที่สุด
ตอนไปถึงบ้านชิงเหลียน เรื่องที่พวกเขาเป็นกังวลก็ยังเกิดขึ้นแล้ว
องครักษ์ในเรือนยังอยู่กันครบหมด แต่ท่านน้ากับจิ่งอวิ๋นและวั่งซูหายไปแล้ว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่อยู่แล้ว…
เฉียวเวยเข้าไปในห้องด้วยอาการอึ้งงัน มองเตียงที่เหลือหลิวเกอร์นอนอยู่คนเดียว มือนางค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัด “ท่าน…คาดเดาจากอะไรว่าเป็นนาง”
—————————