ตอนที่ 434-1 ล่องูออกจากถ้ำ (4)
ข่าวที่เด็กน้อยทั้งสองคนถูกจับตัวไปส่งมาถึงหอหลิงจืออย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากเฮ่อหลันชิงส่งทหารสอดแนมกองหนึ่งออกไป นางกับเฉียวเจิงก็รีบเร่งเดินทางมายังตระกูลจี
คนเป็นบิดามารดายามได้ยินข่าวนี้ หัวใจคงแทบแหลกสลาย พวกเขาเป็นห่วงว่าเฉียวเวยจะรับไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉียวเจิง แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าเขาก็เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว รอให้บุตรสาวโถมเข้ามาเปล่งเสียงร้องไห้ในอ้อมแขนเขาเพียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเข้ามาในบ้านชิงเหลียน บุตรสาวยังไม่ทันน้ำตาร่วงแม้แต่หยดเดียว เขาก็น้ำตาพรั่งพรูออกมาก่อนแล้ว…
เฮ่อหลันชิงโอบสามีของตนเข้ามาปลอบประโลมอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ปลอบเฉียวเจิงให้สงบได้
หลังจากนั้นเฉียวเจิงก็ถามเรื่องของคนผู้นั้น แม้จะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาระหว่างทางแล้ว แต่เฉียวเจิงก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่นิดๆ “เป็นนางไปได้เช่นไร…”
แม้จะยังไม่ทันได้พบอีกฝ่าย แต่เขามักจะได้ยินบุตรสาวเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง จากสิ่งที่บอกเล่าผ่านมาทางตัวอักษรไม่รู้สึกว่านางเป็นคนเลวร้ายแม้แต่น้อย
เฉียวเวยงงงวยมากกว่าเขาอีก บทสรุปที่ออกมานี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดคิดของทุกคน เพราะระหว่างที่อยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายไม่แสดงพิรุธที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความเสแสร้งหลอกลวงออกมาแม้แต่น้อย ความไร้เดียงสา ฉลาดเฉลียวซุกซนและความดีงามนั่นเหมือนจะสลักลึกอยู่ในกระดูกของนาง
หากทุกสิ่งนี้ล้วนปั้นแต่งขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นคนผู้นี้ก็ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อนางหลอกลวงได้แม้กระทั่งหมิงซิว
ต้องทราบว่าบุรุษผู้นี้มีดวงตาเฉียบคมอย่างแท้จริง คนที่หลอกเขาได้…มีไม่มากนัก
เหมือนจะรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกพิกล!
เฉียวเวยเท้าคาง ขมวดคิ้ว
“ก่อนหน้านี้นางไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาสักนิดเลยจริงๆ หรือ” เฮ่อหลันชิงถาม
เฉียวเวยครุ่นคิดอย่างละเอียด “ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ แต่พอตอนนี้รู้ว่าเป็นนางแล้ว ลองย้อนกลับไปคิดอีกหน ก็มีพิรุธอยู่ไม่น้อย”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ก็ได้ ทุกครั้งที่คนลึกลับหรือธนูจันทร์โลหิตปรากฏขึ้น นางล้วนอยู่บริเวณใกล้ๆ
มีอยู่หนหนึ่งคนลึกลับขโมยตำราลับไปจากการครอบครองของราชครู เฉียวเวยกราบทูลฮ่องเต้ให้ปิดวังหลวงทั้งหมด หนนั้นพระสนมอานเฟยเรียกยิ่นอ๋องให้ไปหา จากนั้นก็หลอกให้ยิ่นอ๋องพกชุดแต่งงานที่ใส่ตำราลับไว้ด้านในออกจากวัง แต่การตรวจตราของวังหลวงเข้มงวดมากจริงๆ ยิ่นอ๋องเองก็จนหนทาง แต่แล้วเขาก็บังเอิญไปพบนางเข้า หลังจากนั้นยิ่นอ๋องจึงฉวยโอกาสล่อหลอกให้นางนำตำราลับออกไป
ตอนนั้นพวกเขายังนึกแค้นใจแทนนาง แต่ตอนนี้ดูแล้วยิ่นอ๋องหลอกใช้นางเสียที่ไหนเล่า เห็นชัดๆ ว่านางสมคบคิดกับพระสนมอานเฟยหลอกใช้ยิ่นอ๋องต่างหาก
หนที่สองตอนราชครูตื่นขึ้นมาหนนั้น นางคาดไว้แล้วว่าพวกเขาจะไปหาราชครูเพื่อร้องขอตำราลับ หรือต่อให้พวกเขาไม่ร้องขอก็ไม่เป็นไร สรุปก็คือไม่ว่าอย่างไรนางก็จะให้ราชครูเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่ดี นางข่มขู่ราชครูให้มอบตำราลับปลอมให้พวกเขา
ตอนพวกเขาออกจากวัง นางก็นอนหลับอยู่ในรถม้าของพวกเขา
ตอนนี้เมื่อลองนึกดูทั้งหมดล้วนเป็นพิรุธ แต่ในยามนั้นเหตุไฉนจึงไม่เคยนึกสงสัยนางเลย
ส่วนหนที่สามตอนพระสนมอานเฟยถูกเปิดโปงแล้วเอาธนูจันทร์โลหิตหนีเอาชีวิตรอดออกมา พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าพนะสนมอานเฟยคือคนลึกลับที่ยิงเฉียวเวยจนบาดเจ็บคนนั้น ดังนั้นพอเห็นธนูอยู่ในมือของพระสนมอานเฟยจึงไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก
ตอนพระสนมอานเฟยกำลังจะยิงยิ่นอ๋องบาดเจ็บ นางกระโจนเข้าไปตะครุบพระสนมอานเฟยจนลงไปกองกับพื้น
ทุกคนต่างคิดว่าการปรากฏตัวของนางเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ใครจะไปคิดเล่าว่าธนูคันนั้นเป็นสิ่งที่นางเอามาส่งให้พระสนมอานเฟยเองกับมือ
ฉินปิงอวี่เคยบอกว่าสายลับเช่นพวกเขาไม่ทราบว่านายท่านของตนเองคือผู้ใด ยามมีภารกิจจะมีคนบางคนนำตราสัญลักษณ์เดินทางมาพบกับตนเอง พระสนมอานเฟยเองก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง
ไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไม่ทราบตัวตนของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงหลอกใช้ยิ่นอ๋องอย่างไม่กลัวตาย แล้วยังหวิดจะยิงยิ่นอ๋องถึงแก่ความตายอีกด้วย
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น พวกเขาคงเริ่มสงสัยอีกฝ่ายนานแล้ว แต่ดันเป็นนาง…
คนที่ไร้เดียงสาและจิตใจงดงามเช่นนั้น เหตุไฉนจึงเป็นนางไปได้…
พิรุธของฟู่เสวี่ยเยียนน้อยกว่านางมากนัก แต่จีหมิงซิวเห็นเพียงครั้งเดียวก็จับตาดูฟู่เสวี่ยเยียนทันที
เฉียวเวยไม่รู้จะพูดว่าเป็นเพราะสายเลือดเล่นตลกหรือเพราะนางปิดบังเก่งเกินไปดี
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาสวมอาภรณ์ตัวโคร่งสีขาวทั้งตัว แสงจันทร์เย็นยะเยือกตกกระทบชายอาภรณ์ของเขา เขายืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น คนคล้ายกับถูกไอเย็นยะเยือกสายหนึ่งห้อมล้อมอยู่
นางมักจะคิดเสมอว่าตนเป็นคนคนนั้นที่ต่อต้านครอบครัวมากที่สุดแต่ก็ปรารถนาครอบครัวมากที่สุด ยามนี้เมื่อคิดดูแล้วความจริงคนคนนั้นคือเขาต่างหาก
การทรยศของคนผู้นั้น การหายตัวไปของลูกน้อยทั้งสองคงทำให้เขาโกรธเกรี้ยวและเสียใจมากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
ทว่าเขากลับไม่พูดอันใดสักคำ ไม่ว่าสิ่งใดล้วนเก็บไว้ในใจ…
“นายท่าน!”
ระหว่างที่กำลังขบคิด หมิงอันก็เดินเข้ามาพร้อมกับเหงื่อที่โชกเต็มศีรษะ เขาคำนับคนในห้อง จากนั้นจึงเดินไปหยุดด้านหลังของจีหมิงซิว หอบแฮ่กรายงานว่า “นายท่าน ตรวจนับเรียบร้อยแล้วขอรับ”
จีหมิงซิวส่งสัญญาณบอกให้เขาพูดต่อไป
หมิงอันรายงานสิ่งที่ ‘สูญหาย’ ไปจากบ้านชิงเหลียน หากไม่นับใต้เท้าเจ้าสำนักกับอาต๋าเอ่อร์ ก็มีคนหายไปทั้งหมดเจ็ดคน จิ่งอวิ๋น วั่งซู องค์ชายสาม ท่านน้า เฉี่ยวหลิง ซิ่วฉินกับฟู่เสวี่ยเยียน
สิ่งของหายไปสองสิ่งคือหีบร้อยสมบัติของวั่งซูกับผลสองภพที่เฮ่อหลันชิงนำติดมาจากชนเผ่าลึกลับ
แล้วก็มีสัตว์หายไปสี่ตัว
เฉียวเวยทุบโต๊ะ “ภูตผีบุกหมู่บ้านยังไม่กวาดปล้นไปเกลี้ยงเท่านี้!”
ไม่นานนัก องครักษ์ที่เดินทางไปสืบข่าวที่จวนยิ่นอ๋องก็กลับมา ยิ่นอ๋องเองก็ไม่อยู่เหมือนกัน
แม้แต่ยิ่นอ๋องก็พาไปด้วย ดูท่าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปจากต้าเหลียง
ดวงตาของเฉียวเวยกลอกไปมา “แล้วคุณหนูทั้งสามคนเล่า”
องครักษ์ตอบว่า “พวกนาง…ได้ยินมาว่าพวกนางมักจะไม่อยู่เป็นประจำอยู่แล้วขอรับ”
ความหมายที่จะสื่อก็คือแม่ชีน้อยทั้งสามคนก็หายไปด้วย ส่วนพวกนางจะถูกพาไปด้วยกันหรือว่าหลบไปอยู่ที่ซอกมุมไหนด้วยความซุกซนของตนเองก็ยังไม่อาจทราบได้
เฉียวเวยเขียนจดหมายส่งไปที่เผ่าเกาเย่ว์
โดยที่เฉียวเจิงเป็นคนเขียนแทน
ช่วยไม่ได้ ตัวอักษรไก่เขี่ยของเฉียวเวยนั่น แม้แต่หลิวเกอร์ยังใกล้จะเขียนได้ดีกว่านางแล้ว
ไม่นานอาต๋าเอ่อร์ก็อุ้มใต้เท้าเจ้าสำนักที่หมดสติกลับมา
พริบตาที่เห็นเจ้าซื่อบื้อคนนี้ เฉียวเวยก็รู้สึกได้ว่าหัวไหล่ที่เกร็งเครียดของจีหมิงซิวผ่อนคลายลงเล็กน้อย
อาต๋าเอ่อร์เล่าเหตุการณ์ที่เจ้าซื่อบื้อปีนกำแพงหนีแล้วพบกับฟู่เสวี่ยเยียนให้ฟัง “…นางไม่ได้จับตัวเจ้าสำนักกลับไป”
“แล้วอย่างไร ไม่จับตัวกลับไปอีกแล้วข้าต้องขอบคุณนางหรือ ให้ข้าไปโขกศีรษะให้นางดีหรือไม่” ยามนี้เฉียวเวยไม่เหลือความรู้สึกดีๆ ให้ฟู่เสวี่ยเยียนแม้แต่น้อยอีกต่อไปแล้ว เมื่อเจ้ามอบความจริงใจให้ใครคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการทรยศของอีกฝ่าย ความรู้สึกที่อยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายเช่นนั้น คนที่ไม่เคยพบย่อมไม่เข้าใจ
นางดีต่อคนผู้นั้นเพราะนางเป็นครอบครัวของหมิงซิว
แต่กับฟู่เสวี่ยเยียน นางถือว่าอีกฝ่ายเป็นสหายจริงๆ
อาต๋าเอ่อร์เห็นแววตาเย็นชานั่นของเฉียวเวยก็ไม่กล้าช่วยพูดแทนฮูหยินของเจ้าสำนักของตนแล้ว
—————————