ตอนที่ 2963 : ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 !****?

ได้ยินคำพูดของหวงเจียหลง เจ้าของร้านหินดิบเล็กๆแห่งนี้ก็อดชักสีหน้าสลดออกมาไม่ได้ เพราะรู้ดีว่ายามนี้มันอดรับประทานหมูแล้ว…

อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้กำไรมากมายดั่งคาด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำไร ธุรกิจก็เป็นแบบนี้…

หลังจับจ่ายผลึกอมตะระดับสูงไปกว่าพันชิ้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับหินดิบที่ต้องการมาครอบครอง แต่เขาไม่คิดจะเปิดมันตรงนี้ เลือกที่จะเก็บเอาไว้ในแหวนพื้นที่ทันที

“อั้ยน้องต้วน ไฉนไม่เปิดมันตรงนี้เลยล่า?”

หวงเจียหลงกล่าวถามด้ววยรอยยิ้ม

“กลับไปค่อยเปิดดีกว่า…เกิดได้อุปกรณ์อมตะจอมราชันมาอีกชิ้นจะให้ทำอย่างไร หรือท่านกลัวคนทั้งย่านจะไม่รู้?”

ต้วนหลิงเทียนยิ้ม

“เหอะๆ น้องต้วน…นี่ท่านเห็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเป็นหัวผักกาดรึไง?”

หวงเจียหลงหน้าเหวอไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะกังวลด้วยสาเหตุนี้ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกล่าวสืบต่อว่า “น้องต้วน ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง กระบี่อมตะจอมราชันที่เจ้าพึ่งเปิดได้มานั่นน่ะ นับเป็นอุปกรณ์อมตะจอมราชันชิ้นแรกที่ได้จากหินดิบในรอบหลายหมื่นปีของประเทศตันจี้!”

“อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน?”

เมื่อเจ้าของร้านค้าหินดิบเล็กๆได้ยินบทสนทนาของต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลง ลูกตามันก็หดเล็กลงทันใด

มันเองก็พึ่งได้ยินมาว่าร้านใหญ่ไม่ไกลจากตรงนี้ มีคนเปิดหินดิบได้กระบี่อมตะจอมราชันไปครอง และเจ้าของยังมีความเกี่ยวพันกับเผ่าพยัคฆ์เหิน

และหินดิบที่มีกระบี่อมตะจอมราชันนั่น ก็อยู่ในร้านหินดิบร้านหนึ่งขององค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้นี่เอง

“กระบี่อมตะจอมราชัน…เป็นเจ้าหนุ่มทั้ง 2 นั่นพบเจอหรือ…”

จนเมื่อพวกต้วนหลิงเทียนเดินออกจากร้านไปได้สักพัก เจ้าของร้านค้าหินดิบเล็กๆค่อยได้สติ อดกล่าวพึมพำออกมาเบาๆด้วยความอิจฉาไม่ได้

“น้องต้วน ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปเดินเล่นด้านในกันต่อเถอะ”

หลังออกจากร้านหินดิบเล็กๆมาแล้ว หวงเจียยหลงที่หันรีหันขวางพักหนึ่ง ก็เอ่ยชวนต้วนหลิงเทียนไปเดินเล่นในย่านซีฟางต่อ

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนคิดจะกลับไปจัดการเปิดหินดิบรับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินตอนนี้เลย แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ดังนั้นจึงไปเดินเล่นในย่านซีฟางกับหวงเจียหลงต่อสักพัก จนเมื่อกองผลึกอมตะในแหวนพื้นที่ของหวงเจียหลงเริ่มหดหายสู่ความเวิงว้างอันไกลโพ้น ทั้งคู่ก็พากันกลับ

หลังจากกลับมาถึงพระราชวังหลวง และลุถึงบ้านลานในวังที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็รีบกลับเข้าห้องหับ เปิดใช้ค่ายกลปิดกั้นในห้อง และนำหินดิบที่สมควรมีปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นแรกที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวบอกออกมาทันที

‘ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นแรกงั้นหรือ? ไม่รู้…ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร’

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มป่นทำลายหินดิบทันที จากนั้นก็ใช้พลังหอบหิ้วซากธุลีที่ร่วงกราว และดูชมสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในด้วยความสนใจ

และในระหว่างนั้นสำนึกเทวะของเขาก็แผ่ออกไปเช่นกัน

ครู่ต่อมาทั้งสายตาและสำนึกเทวะเขา ก็พบเห็นเป็นกระดองเต๋าอันจิ๋วอันหนึ่ง และยังพบอีกด้วยว่าบนกระดองเต่าเล็กๆดังกล่าว ยังมีลวดลายยิบย่อยแลดูสลับซับซ้อนมากมาย และกระดองเต่าอันจิ๋วที่ว่ายังเยียบเย็นเป็นอย่างมาก

“หืม?”

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตรวจสอบกระดองเต่าชิ้นจิ๋วไปได้สักพัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง

นั่นเพราะเขาพบว่ากระดองเต่าดังกล่าวอยู่ๆก็เปล่งแสงรัศมีสีเหลืองออกมา จากนั้นก็ปรากฏแสงสีทองสลัวๆหนึ่งไปปกคลุม หากทว่ากลับถูกแสงสีเหลืองทำลายลงในชั่วพริบตา!

“เพลิงเทพดูท่าสายตาท่านจะฝ้าฟางแล้ว…นี่มันปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 1 กับผีอันใด! มันเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 ต่างหาก!!”

เสียงทองเทพสุดลี้ลับโพล่งดังขึ้นในใจต้วนหลิงเทียนอย่างแตกตื่น และแม้จะเป็นการกล่าวคำกับเพลิงเทพโกลาหล แต่ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะใจสะท้าน!

ปะ…ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3!?

เทพแห่งธาตุทั้ง 5 นั้น หากคิดจะยกระดับพัฒนาขึ้นไปสักขั้น ต้องผ่านกระบวนการมากมาย อีกทั้งยังยากเย็นไม่ใช่น้อยหากจะบรรลุถึงขั้นที่ 3 เรื่องนี้ดูจากการพัฒนาของเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 ก็เห็นได้ชัดเจน

กระทั่งทองเทพสุดลี้ลับที่เขาได้มาก่อน จนป่านนี้ยังอยู่แค่ขั้นที่ 2 เท่านั้น!

ทว่ากระดองเต๋าอันจิ๋วในมือของเขา กลับเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3?

“เหอะๆ ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าที่แท้มันจะเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3…แต่ในเมื่อมันก็บรรลุถึงขั้นที่ 3 แล้วไฉนกลิ่นอายพลังของมันถึงได้อ่อนจางบางเบาลงถึงขั้นนี้ได้เล่า?”

เสียงเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้นอีกครั้ง ยังฟังดูคล้ายทอดถอนใจไม่น้อย

“เจ้าหนู รีบหยดเลือดลงไปที่มันเร็ว พวกเราจะช่วยหลอมรวมมันเข้ากับเลือดเนื้อเจ้าเอง…ด้วยมีพวกเราช่วยเหลือเจ้าไม่ต้องกลัวว่ามันจะสามารถปฏิเสธเจ้าได้”

เพลิงเทพโกลาหลกล่าวออกมาอีกครั้ง และยังเป็นการคุยกับต้วนหลิงเทียน

เมื่อเสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เล็กจิกปลายนิ้วของเขาเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มหยดเลือดลงบนกระดองเต๋าอันจิ๋วที่ว่า

เมื่อหยดเลือดของเขาร่วงตกกระทบกลายเป็นบุปผาโลหิตเล็กๆบนกระดองเต่าได้ไม่ทันไร หยดเลือดของเขาก็คล้ายจะแตกตัววิ่งพล่านไปตามเส้นสายลวดลายยิบย่อยบนกระดองเต่าดังกล่าว

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีพลัง 2 ขุมพวยพุ่งออกจากร่างของเขา แผ่ปกคลุมไปยังกระดองเต่าอันจิ๋วทันที

ครู่ต่อมาก็ปรากฏแสงสีเหลืองเรืองสว่างขึ้นมาคล้ายต่อต้านแสงสีเทากับแสงสีทองอย่างไม่ยินยอม

หากท่าเรื่องราวดำเนินไปได้ไม่ทันไร แสงสีเหลืองก็คล้ายอ่อนระโหยโรยแรง ถูกแสงพลังสีทองกับเทาหลอมกลืนให้ผสานกลับกลายเป็นแสง 3 สีสัน จากนั้นก็เริ่มหวนกลับเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างพร้อมเพรียง

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับฉากเรื่องราเบื้องหน้า เพราะกระดองเต่าอันจิ๋วดังกล่าว คล้ายกำลังละลายเป็นของเหลว สุดท้ายก็ซึมหายไปในฝ่ามือของเขา!

ราวกับมันไม่เคยปรากฏมาก่อน!

“มันเข้าไปในร่างข้าแล้ว?”

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ใช้สำนึกเทวะส่องภายในร่างเขาทันที สุดท้ายจึงพบว่ากระดองเต๋าอันจิ๋วได้ไปฝังตัวอยู่ที่ต้นแขนขวาเขา

กระดองเต่าที่ฝังตัวในต้นแขนเขา ยังเกาะติดกับกระดูกแนบแน่น หากกสังเกตให้ดีจะพบว่ามันเหมือนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับกระดูกต้นแขนเขาไปแล้ว

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนยังพบอีกว่า ชีพจรสวรรค์ 99 สายในร่างของเขาตอนนี้ กำลังถ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเข้าสู่กระดองเต่าอันจิ๋วที่ว่าอย่างไม่หยุดยั้ง

หากกล่าวให้ถูกต้อง สมควรเป็นกระดองเต่าอันจิ๋วนี่กำลังสูบกลืนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาอย่างตะกละตะกราม!!

ในกระบวนการดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ชัดเจนว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขากำลังลดลงอย่างฮวบฮาบ!

หลังเรื่องราวดำเนินไปราวๆ 1 เค่อ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขาก้พร่องไปเกือบสองในสิบส่วนแล้ว

“มัน…กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง เพราะหากมันยังดูดกลืนพังของเขาด้วยอัตราเร็วขนาดนี้ไม่หยุด คงไม่ถึงวันมีหวังพลังในร่างเขาได้ถูกกระดองเต๋าเล็กจิ๋วนั่นสูบจนแห้งเหือดแน่!

“เจ้าหนูไม่ต้องตกใจไป เจ้านี่มันไร้ร่างต้นมาเป็นระยะเวลานานจึงค่อนข้างหิวโหยอดอยากอยู่บ้าง…มันคงดูดกลืนพลังเจ้าไปไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง”

เสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังไขข้อสงสัยให้ต้วนหลิงเทียนพอดี “ไม่กี่วันหลังจากนี้เจ้าก็ให้ความร่วมมือกับมันหน่อย ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินและขัดเกลาเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดป้อนให้มันกินเสีย…มีเจ้าช่วยมันอีกแรง ไม่นานเดี๋ยวมันก็ตื่นเอง”

“ตื่น?”

พอได้ยินคำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นสองตาเขาก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที

อีกแค่ไม่กี่วัน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 ก็จะตื่นแล้วงั้นเหรอ?

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิดฟุ้งซ่านใดๆสืบต่อ เร่งโคจรดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะพลังทันที หากแต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ผลึกเทพแต่อย่างใด

อาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะในเวลาไม่กี่วัน เขาไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกเทพแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้บ่มเพาะสั่งสมพลังให้ตัวเอง แต่เสมือนทำอาหารให้กระดองเต่าอันจิ๋วนี่รับประทาน…

และจากความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินในห้องหับ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกเทพเลย แค่เท่านี้ก็สามารถเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้กระดองเต่าอันจิ๋วนี่รับประทานได้มากเกินพอ

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง เพื่อป้อนให้กระดองเต่าดูดซับอย่างตั้งใจในห้องหับ ไม่สนใจเรื่องราวใดๆภายนอกแม้แต่น้อย

ส่วนด้านนอกนั้น ไม่ทันถึงวันเมื่อข่าวเรื่องกระบี่อมตะจอมราชันแพร่กระจายออกไป ก็สร้างความแตกตื่นฮือฮาครั้งใหญ่ในเมืองหลวงประเทศตันจี้

ตราบใดที่ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตราชาอมตะที่อยู่ในเมืองหลวงของประเทศตันจี้หรือกระทั่งในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่มีใครสามารถนั่งเฉยอยู่ได้ ต่างเร่งรุดมารวมตัวกันที่บริเวณใกล้ๆพระราชวังหลวงกันยกใหญ่ จับตาดูวังที่พวกไป๋กังพักอาศัยไม่วางตา

อย่างไรก็ตามแม้จะรับทราบว่ากำลังถูกยนยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะมากมายจับตา แต่ไป๋กังก็แลดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ กระทั่งเห็นว่าทุกคนสมควรมา

กันมากพอสมควรแล้ว ยังออกมากล่าวประกาศให้เหล่ายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่มาซุ่มจับตาดูอยู่ได้ยินกันถ้วนหน้า

“สหายทั้งหลาย ข้ารู้ดีว่าพวกท่านมาด้วยสาเหตุอันใด แต่กระบี่อมตะจอมราชันนั่น ข้าได้นำไปซุกซ่อนไว้อย่างดีเรียบร้อยแล้ว…บางทีหนึ่งในพวกท่านอาจหามันพบ แต่ผู้ที่จะพบมันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ที่ฆ่าข้า…”

“ข้าคิดว่าคงไม่มีพวกท่านคนใดอยากฆ่าข้าโดยไม่ได้รับกระบี่อมตะจอมราชัน แถมยังต้องถูกเผ่าพยัคฆ์เหินตามล่ากระมัง?”

วาจาปลอดโปร่งงเสียงดังฟังชัดที่ไป๋กังประกาศออกมา ทำให้เหล่ายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่มาซุ่มจับตาดูอยู่เต็มพระราชวังหลวงหน้าเหวอไปตามๆกัน หลายคนยังรู้สึกไปไม่เป็นอยู่บ้าง…

“เจ้าไป๋กังนั่นมันเอากระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนไว้แล้วจริงๆหรือ…ใช่มันกำลังหลอกพวกเราอยู่หรือไม่ ที่แท้อาจเป็นมันที่เก็บไว้กับตัว?”

“กระต่ายยังมี 3 โพรง เจ้าคิดว่าหากเจ้าตกอยู่ในสภานการณ์เดียวกันกับมัน เจ้ายังจะกล้าพกกระบี่อมตะจอมราชันไว้กับตัวไม่คิดหาทางหนีทีไล่อันใดไหม? หรือเจ้าเบื่อชีวิตแล้ว?”

“แม้จริงเท็จยากล่วงรู้ แต่ที่รู้คือยามนี้ความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นเป็นทบเท่าทวี…แล้วยังจะมีผู้ใดคิดแบกรับความเสี่ยง? สุดท้ายแล้วการเข่นฆ่ามันตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายอำนาจของเผ่าพยัคฆ์เหินแม้แต่น้อย…”

“มิผิด ยิ่งสถานการณ์มาลงเอยอีหร็อบนี้ ยิ่งไม่มีผู้ใดอยากเป็นนกตัวแรก…น่าเสียดายที่ข้ารู้ข่าวนี้ช้าเกินไป ไม่ทันได้ลงมือก่อนที่เจ้าไป๋กังนั่นมันจะเอากระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อน”

ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตราชาอมตะมากมายยินดีที่จะเสี่ยง แต่ตอนนี้พวกมันก็ไม่อาจแบกรับความเสี่ยงอย่างไร้จำเป็นเพื่อกระบี่อมตะจอมราชันที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนได้…แต่พวกมันก็ไม่คิดจะถอนตัวกลับไปโดยง่าย!

ดังนั้นแม้จะผ่านไปอีกเป็นวันหลังไป๋กังประกาศเรื่องราว แต่ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะทั้งหลายก็ยังไม่แยกย้ายจากไปไหน เพียงซุ่มจับตามองความเคลื่อนไหวของไป๋กังอย่างไม่คลาดสายตา หมายฉกฉวยโอกาสใดๆที่อาจจะปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา

3 วันต่อมา…

วันนี้ยังเป็นวันใกล้วันงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้มากที่สุด

นั่นเพราะพรุ่งนี้ทางตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้ ก็จะจัดการประมูลแล้ว

“ในที่สุดมันก็หยุดเสียที…”

ภายในห้องหับแห่งหนึ่ง หลังสัมผัสได้ว่ากระดองเต่าอันจิ๋วที่หลอมรวมเข้ากับกระดูกต้นแขน บัดนี้ได้เลิกดูดซับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันเขาก็เลิกบ่มเพาะพลังแล้วลืมตาขึ้นมา

“อ๋า…ทองเทพสุดลี้ลับ? ยังมีเพลิงเทพโกลาหลด้วย…หว๋า เพลิงเทพโกลาหลอยู่ในขั้นที่ 3 แล้วด้วย!!”

ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะลืมตามาได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงเล็กแหลมปานเสียงของเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งดังขึ้นเบาๆในร่างของเขา

เป็นเสียงของเด็กน้อย ที่ราวกับพึ่งจะหัดพูดได้คล่องปาก!

“อู้ว ชีพจรสวรรค์ 99 สายด้วยล่ะ! ร่างต้นยอดไปเลย ร่างต้นยอดที่สุด! เฮ่ พวกเจ้าทั้ง 2 รีบออกไปจากร่างต้นเร็วๆ ข้าอยากได้ร่างต้นผู้นี้!!”

เสียงของเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดังขึ้นอีกครั้ง และเท่าที่ฟังดูแล้ว คล้ายมันจะพึงพอใจร่างกายต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันยังกล่าวทำนองคิดขับไล่เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับออกไป เพื่อจะได้อยู่ในร่างเขาแค่คนเดียว

“โฮ่…เจ้าหนูนี่นับว่าห้าวหาญไม่เบา! ถึงกับกล้าหาเรื่องกับพวกเราทั้งคู่พร้อมกัน…ทารกน้อยเอย หากข้าไม่ทำให้เจ้าทรมานสักหน่อย เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าเจ้ากำลังหาเรื่องกับผู้ใดอยู่…”

เสียงของเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้น ฟังแล้วยังดูคล้ายสนุกสนานไม่น้อย “ทองเทพสุดลี้ลับ ดูเหมือนเราท่านจำต้องผนึกกำลังกันอีกครา…”

“ข้าก็ว่างั้น”

สิ้นเสียงชราที่แลคล้ายสนุกสนาน เสียงขรึมของทองเทพสุดลี้ลับก็ดังขึ้น

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่ส่องภายในชมดูเรื่องราวภายในร่าง ก็พบว่าปรากฏพลังสีเทาพวยพุ่งออกมาจากเพลิงเทพโกลาหล พร้อมพลังสีทองที่แผ่ซ่านออกมาจากทองเทพสุดลี้ลับ กำลังม้วนผสานดั่งมังกรคู่ผกผันพุ่งไปยังกระดูกต้นแขนด้านขวาของเขา

กล่าวให้ชัดพวกมันพุ่งไปยังกระดองเต๋าเล็กจิ๋วที่ผสานหลอมรวมกับกระดูกต้นแขนขวาของเขา

และเมื่อพลังที่รวมผสานพัวพันไปดั่งมังกรคู่ผกผันกำลังจะพุ่งเข้าสู่กระดองเต่าเล็กจิ๋วนั่น เขาก็เห็นว่ากระดองเต่าเล็กจิ๋วได้เปล่งพลังสีเหลืองออกมาปกคลุมไว้ทั่วตัวกระดอง ลวดลายบนกระดองยังเรืองสว่าขึ้นมาเจิดจ้า

จากนั้นมวลพลังแสงมหาศาลขุมหนึ่งก็เริ่มหลั่งไหลทะลักออกจากกระดองจิ๋ว พุ่งไปต้านทานรับมือพลังแสงสีเทากับทองของเพลิงเทพโกลาหลแทองเทพสุดลี้ลับบอย่างห้าวหาญ!

หากทว่าผ่านไปสักพัก…

“โอ๊ย! โอ๊ย! หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ามันจะไร้ขีดจำกัดล่างเกินไปแล้ว! ถึงพวกเจ้าจคิดจะสู้กับข้าเพื่อร่างต้น แต่ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าต้องเข้ามาทีละคนหรือไง? ทำไมมารุมรังแกข้าคนเดียวล่ะ! เจ้าพวกหน้าไม่อาย! อ๊าว พอได้แล้ว!!”

แม้จะไม่รู้ว่าการรบเร้าของพลังสามสายเป็นอย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกำลังเจ็บปวดทรมานไม่น้อย เสียเล็กแหลมร่ำร้องเจื้อยแจ้วออกมาบอกให้หยุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่ลืมก่นด่าเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับไม่ขาดปาก