ตอนที่ 446-2 ครอบครัวพร้อมหน้า (1)
เขาพูดได้ครึ่งหนึ่งก็ตระหนักได้กะทันหันว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ เขาลอบหยิกตนเองหนึ่งที จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่พบจิ่งอวิ๋นที่ตลาดนัดเมื่อสามวันก่อนออกมาอย่างตรงไปตรงมาชัดเจนทุกละเอียด แน่นอนว่าละการพูดถึงแผนการน้อยๆ ในใจของตนเองไป “…เขาน่าจะอยากหาทุนรอนเพื่อเดินทางกลับบ้านกระมังจึงวิ่งไปขายผลไม้ ข้าเห็นเขาไร้ที่พึ่งน่าสงสารจึงคิดจะพาเขาไปด้วยกัน! ข้าถามเขาว่าพ่อแม่เป็นใคร เขาก็ไม่ยอมพูด หากเขาบอก ข้าจะต้องพาเขากลับไปส่งตั้งนานแล้วอย่างแน่นอน!”
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่ลักพาตัวเด็กที่มีพ่อแม่หรอก ตอนนั้นเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กกำพร้าจริงๆ
เฉียวเวยเห็นท่าทางโง่เง่าเช่นนั้นของเขาก็รู้ทันทีว่าสติปัญญาระดับเขาคงลักพาตัวบุตรชายของตนไม่ได้ นอกเสียจากบุตรชายของตนยินยอมเดินทางไปกับเขาเอง
ส่วนเหตุใดจึงยินยอมเดินทางไปกับเขา ตอนนี้เฉียวเวยยังคิดไปไม่ถึงเรื่องหนีออกจากบ้าน
ในสมองของนางเต็มไปด้วยประโยคที่ว่า ‘เขาน่าจะอยากหาทุนรอนเพื่อเดินทางกลับบ้านกระมังจึงวิ่งไปขายผลไม้’
เมื่อคิดว่าบุตรชายต้องไปขายผลไม้ที่ตลาดนัดเพื่อหาเงิน หัวใจของนางก็…เจ็บปวดจนแทบวางวาย
นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งข่มอารมณ์เอาไว้ “เจ้าบอกว่ามีคนกำลังตามหาเขา ผู้ใด”
ชายหนุ่มวาดมือวาดไม้ประกอบ “ตาเฒ่าคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเทาทั้งตัว สูงประมาณนี้ ผอมประมาณนี้ ถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง”
เฉียวเวยแววตาเย็นชาขึ้นทันควัน ชางจิว!
ชายหนุ่มถูกความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเฉียวเวยอย่างกะทันหันทำเอาขวัญผวา สตรีนางนี้เหตุใดจึงเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วราวกับพลิกหน้าหนังสือ เมื่อครู่ตอนอยู่กับเจ้าตัวน้อยคนนั้นยังคิดว่านางเป็นสตรีอ่อนหวานดุจสายน้ำอยู่เลย ตอนนี้สีหน้ากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทำคนขวัญหายแทบตายแล้วรู้หรือไม่
“ยังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของคุณชายเลย” เฉียวเวยเอ่ยปากถามพลางข่มจิตสังหารสายนั้นบนใบหน้าลงไป
ขวัญที่มีอยู่น้อยนิดของชายหนุ่มยังสั่นระริกๆ อยู่ พอเห็นนางจู่ๆ เปลี่ยนน้ำเสียงมาพูดดีด้วยก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ขวัญน้อยๆ ที่สั่นระริกอยู่แล้วกลับยิ่งสั่นสะท้านแรงกว่าเดิม “ข้ามีนามว่าจู มีนามว่าจูสือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ที่แท้ก็คุณชายจูนี่เอง คุณชายจูช่วยลูกชายของข้าไว้ ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณท่านอย่างไรดี ข้าได้ยินมาว่าแต่เดิมคุณชายจูต้องการจะเดินทางไปค้าขายที่เขาอูเปี๋ยใช่หรือไม่”
“เอ่อ เรื่องนี้…” เมื่อคืนวานเขาบอกสามีภรรยาเฒ่าคู่นั้นไว้เช่นนี้จริงๆ แต่เช้าวันนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็เปลี่ยนใจอีกแล้ว เพราะไม่มีเด็กน้อยกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแล้ว เขาจะไปเมืองหลวงอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เฉียวเวยพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ “บังเอิญจริง พวกข้าก็จะไปเขาอูเปี๋ยเช่นกัน หากคุณชายจูไม่รังเกียจ มิสู้ไปด้วยกันกับพวกข้าดีหรือไม่ สามีของข้าเจ็บป่วยอยู่ ตอนนี้จึงยังมาขอบคุณคุณชายไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาจะต้องอยากมากล่าวขอบคุณคุณชายด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
จูสืออยากจะร่ำไห้แล้ว บิดาของเด็กน้อยก็ยังอยู่ด้วยหรือ นี่เขาไปทำเวรทำกรรมไว้กับผู้ใดกัน ลักพาตัวเด็กน้อยมาคนหนึ่งแต่ดันลักพาตัวผู้อื่นจนมาส่งถึงมือบิดามารดาเสียได้
เขาเลือกหนทางทำมาค้าขายผิดแล้วใช่หรือไม่ ปล่อยเขาไปเถิดนะ
หากรอจนบิดาของเด็กน้อยหายดีแล้วอยากตีเขาให้ตายขึ้นมา เขาอยากหนีก็ไม่ทันกาลแล้ว…
“พวกเจ้า ไปเอารถม้าของคุณชายจูมา”
เฉียวเวยสั่งคำเดียว องครักษ์ทั้งหลายก็ไปนำรถม้าของคุณชายจูมาไวปานสายฟ้าแลบ รถม้าของคุณชายจูเปียกน้ำจนชื้นราขึ้น เฉียวเวยทนให้คุณชายผู้มีพระคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สกปรกย่ำแย่เช่นนี้ไม่ได้ จึงจัดเก็บรถม้าคันที่สามซึ่งใช้บรรทุกข้าวของแล้วยกให้คุณชายจูด้วยความหวังดี แล้วยังตระเตรียมองครักษ์ร่างกำยำคนหนึ่งมาเป็นสารถีให้อีกด้วย
คุณชายจูยิ่งอยากร้องไห้มากกว่าเดิม
แต่เดิมเขาคิดว่าจะขับรถของตนเองต่ออยู่ท้ายขบวน แล้วฉวยโอกาสที่คนไม่ทันระวังแอบแผ่นหนี แต่ตอนนี้…แม้แต่จะหนีเขาก็หนีไม่ได้แล้ว…
…
ไม่นานฝั่งราชครูก็รู้เรื่องที่จิ่งอวิ๋นปรากฎตัวแล้ว เขาส่งศิษย์เอกมาถามเฉียวเวยว่าจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางหรือไม่
เฉียวเวยคิดในใจ มีอันใดต้องเปลี่ยน หาลูกพบแล้ว แต่คนร้ายตัวเอ้ยังไม่ได้จัดการ ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้แล้วยังคิดจะลอยนวลไปอย่างนั้นหรือ ไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ!
หากไม่จับเจ้าสารเลวสองสามคนนั้นมาถลกหนังสักชั้น ก็ผิดต่อลูกชายลูกสาวที่ต้องทนทุกข์ทุกมานหนนี้น่ะสิ!
นางเชื่อว่าต่อให้หมิงซิวฟื้นขึ้นมาก็คงเลือกอย่างเดียวกับนาง
เมื่อจัดการงานในมือเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็กลับไปที่รถม้าของตนเอง
บนรถม้าสัตว์ตัวจ้อยสองตัวได้กลับมาพบหน้ากันแล้ว หนึ่งวันไม่พบหน้าประหนึ่งพรากจากกันสามปี นี่ผ่านไปห้าวันแล้ว นี่ก็เท่ากับพรากจากกันมาหลายปี!
สัตว์ทั้งสองตัวมอบอ้อมกอดแห่งรักให้กันด้วยความยินดีปรีดา
จูเอ๋อร์ส่งน้ำตาลก้อนน้อยที่หมดอายุแล้วก้อนหนึ่งให้เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋ก็มอบนมแผ่นน้อยที่กินเหลือชิ้นหนึ่งให้จูเอ๋อร์
สัตว์ตัวน้อยทั้งสองต่างดีใจ (รังเกียจ) มาก ยัดของขวัญชิ้นน้อยของอีกฝ่ายเข้าปาก จากนั้นจึงชนหมัดกัน
มิตรภาพของผองสัตว์ยั้งยืนยง!
ตอนที่เฉียวเวยขึ้นมานั่งบนรถม้า สัตวตัวจ้อยก็ต่างกลอกตาใส่อีกฝ่ายไม่หยุดเพราะรังเกียจของขวัญของอีกฝ่าย วั่งซูกอดเนยแข็งถาดน้อยพลางเคี้ยวหงุบหงับ กินจนแก้มตุ่ยเหมือนกระรอกอ้วนน้อยน่ารักตัวหนึ่ง
ข้างกายนางมีบิดากับพี่ชายนอนหลับอยู่
รถม้าทั้งคันมีแต่เสียงนางเคี้ยวของกิน กร้วมๆ! กร้วมๆ!
เฉียวเวยหัวเราะ นางมองวั่งซูแล้วมองสองพ่อลูกในตัวรถ ในที่สุดก็รู้สึกว่าหัวใจที่ทุกข์ทรมานมาเนิ่นนานเริ่มดีขึ้นแล้ว
“ท่านพี่ ท่านกินสิ่งนี้หรือไม่”
วั่งซูหยิบเนยแข็งกุหลาบชิ้นหนึ่งขึ้นมายัดใส่ปากของพี่ชาย แต่พี่ชายไม่กิน นางจึงเอาออกมากินเอง
เฉียวเวยนั่งลงติดกับจิ่งอวิ๋น นี่เพิ่งจะฟ้าสว่างไม่นานเองนะ เหตุไฉนจึงนอนหลับอีกแล้วเล่า
เฉียวเวยทาบมือบนหน้าผากของจิ่งอวิ๋นพบว่าตัวไม่ร้อนจึงค่อยวางใจลงหน่อย นางหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากในหีบใต้ม้านั่งมาผลัดเปลี่ยนให้จิ่งอวิ๋น
ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ นางก็พบว่ามือน้อยของเขามีแผลที่เกิดจากความหนาวกัด หัวใจของนางเจ็บแปลบ
ยามนี้ยังไม่ทันเข้าช่วงที่หนาวที่สุด เขาถูกดูแลย่ำแย่ขนาดไหนกันจึงได้หนาวจนมือเป็นเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ” วั่งซูหันมามองมารดา
เฉียวเวยป้ายขอบตาที่แดงระเรื่อ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนเช่นปกติ “มือของพี่ชายเจ้าถูกความหนาวกัดเป็นแผล แม่จะทายาให้เขาสักหน่อย”
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ หันไปมองมือของพี่ชาย มือของพี่ชายอ้วนเหมือนนางแล้ว แล้วยังมีรอยเขียวๆ ม่วงๆ แตกระแหงอีกต่างหาก
“ท่านพี่ เจ็บหรือไม่” นางถามเสียงเบา
เฉียวเวยลูบศีรษะของนาง “พี่ชายหลับอยู่”
วั่งซูขานตอบ “อ้อ”
เฉียวเวยเปิดล่วมยาแล้วหยิบยาชั้นดีสำหรับรักษาอาการถูกความเย็นกัดออกมาจากกล่อง ปลายนิ้วแต้มนิดๆ บนมือน้อยของจิ่งอวิ๋นให้ทั่วกัน
ทุกครั้งที่ป้ายลงไป หัวใจของนางก็เจ็บปวดตามไปด้วย
วั่งซูอดทนกับท้องที่เพิ่งอิ่มไปครึ่งเดียว นางวางของกินในมือลง นี่เป็นเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเป็นไปได้ การกินคือชีวิตของเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ ไม่ให้เจ้าอ้วนตัวน้อยคนนี้กินก็เท่ากับจะเอาชีวิตของนาง
นางเขยิบเข้ามาอย่างระมัดระวัง
เฉียวเวยคิดว่านางกำลังมองตนเองทายาให้จิ่งอวิ๋นอยู่ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะฟุบหมอบลงไป ยู่ปากน้อยๆ ที่ยังมีเศษขนมติดอยู่แล้วเป่าลมเบาๆ ใส่มือน้อยที่ทายาแล้วของจิ่งอวิ๋น “ฟู่ๆ ไม่เจ็บแล้วนะ”
——————————————–