ตอนที่ 452 คืนดี (5)

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนเนินดินลูกน้อยลูกหนึ่งบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ของเขาอูเปี๋ย

เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา คือเฉียวเวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ใต้เท้าเจ้าสำนัก อาต๋าเอ่อร์และเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์

สือชีอยู่ที่โรงเตี๊ยม

สี่มนุษย์สองเดรัจฉานประหนึ่งสัตว์ยักษ์ที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด เบิ่งดวงตาแสนอันตรายจับจ้องกระโจมหลายหลังที่ตั้งอยู่ใต้ผืนนภายามรัตติกาลอย่างไม่วางตา กระโจมตรงที่แห่งนี้เพิ่งจะตั้งขึ้นมาไม่นาน ดูท่าทางแล้วคงเป็นพวกคนเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่งย้ายมา

แต่ละปีชนเผ่าเร่ร่อนที่ทำอาชีพเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้าจะย้ายหลักแหล่งไปหลายที่ตามแต่ฤดูกาล ด้วยเหตุนี้การที่มีกระโจมใหม่มาตั้งแถบนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนแปลกใจอะไร หากไม่ใช่ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักพาพวกเขามายังที่แห่งนี้ ต่อให้พวกเขาเดินทางผ่านก็คงคิดไม่ถึงว่าด้านในจะมีคนเยี่ยหลัวที่พวกเขาต้องการตัวพักอยู่

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่” เฉียวเวยถาม

ใต้เท้าเจ้าสักแค่นเสียงดังเหอะตอบว่า “ข้าต้องแน่ใจสิ! ไม่แน่ใจข้าจะพาเจ้ามาทำอะไร”

เขาหยุดชะงัก สายตากวาดมองรอบหนึ่ง แล้วหันไปมองเจ้าตัวน้อยทั้งสองบนพื้นอย่างรังเกียจ “เหตุใดจึงมีแค่สองตัว อีกตัวหนึ่งเล่า”

ทุกคนมุมปากกระตุก นี่เกือบจะผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว ท่านเพิ่งจะสังเกตเห็นหรือ สายตาช่างไม่มีผู้ใดเทียบได้จริงๆ!

หลังจากต้าไป๋ถูกโยนลงไปในคูเมือง จวบจนกระทั่งเดินทางจากมาก็ยังไม่พบร่องรอยของมัน โอกาสที่มันยังรอดมีไม่มาก ก่อนเดินทางออกจากเมืองผู เฉียวเวยจึงไหว้วานให้เจ้าเมืองผูงมศพของต้าไป๋ขึ้นมาจากแม่น้ำ ไม่ว่าอย่างไรต้าไป๋ก็เป็นพรรคพวกของพวกเขา หากเป็นก็ต้องเห็นตัวเพียงพอน หากตายก็ต้องเห็นศพ

ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวประการใด

บางทีการไม่ได้ข่าวก็คือข่าวดีแล้ว

“กระโจมมากมายขนาดนี้ หลังไหนถึงเป็นของเจ้าหมอนั่นเล่า” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างสับสน

ใต้เท้าเจ้าสำนักชี้กระโจมที่สามทางฝั่งขวามือ “หลังนั้น เขาบาดเจ็บหนักมาก สตรีนางนั้นกับชางจิวจึงออกไปซื้อยาให้เขา คืนนี้คงไม่กลับมา พวกเราเพียงต้องรีบจัดการเจ้าหมอนั่นให้เสร็จก่อนฟ้าสางก็พอ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองมาอย่างแปลกใจ “เหตุใดท่านจึงรู้ว่าพวกเขาไปซื้อยา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากขึ้นอย่างหยิ่งยโส “ข้าย่อมมีวิธีของข้า”

“วิธีอันใด” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นตายก็ไม่เข้าใจ

เฉียวเวยกลอกตาใส่ใต้เท้าเจ้าสำนัก ไม่พบหน้ากันไม่กี่วัน เจ้าหมอนี่ไปเรียนวิธียั่วให้คนอยากรู้มาหรืออย่างไร

“ไม่ใช่ว่าซื้อตัวตระกูลอวี้มาแล้วให้ตระกูลอวี้ช่วยสืบข่าวให้หรือไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วน้อยๆ อันหล่อเหลาอย่างไม่พอใจ “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็รู้หรือ”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เดายากนักหรือไร”

ตระกูลอวี้เป็นเจ้าถิ่นของเขาอูเปี๋ย คนนอกคนใดจะหลบซ่อนจากสายตาของพวกเขาได้

ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปาก “ข้ายกผลสองภพให้เชียวนะ จะขอแค่ข้อมูลของพวกเจ้าคงไม่ได้ใช่หรือไม่เล่า นั่นออกจะไม่คุ้มเกินไปแล้ว!”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าแลกผลสองภพไปกี่ผลกันแน่” เฉียวเวยถามเสียงเย็นยะเยือก

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอม “…สองผล”

เฉียวเวยฟาดฝ่ามือลงบนกะโหลกของเขา เจ้าเด็กล้างผลาญคนนี้! แค่ข่าวกระจิดกระจ้อยกลับใช้ผลสองภพไปตั้งสองผล! รู้หรือไม่ว่าผลสองภพที่บ้านถูกคนเยี่ยหลัวพวกนั้นขโมยไปจนเกลี้ยงแล้ว แม้แต่สองผลนี้ในมือเขา เขาก็ยังเอาไปผลาญข้างนอกจนหมดอีก!

ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกตบจนเกือบสมองกระจาย เขาหันไปมองพี่สะใภ้บ้านตนเองอย่างเคืองแค้น

เฉียวเวยว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “มองอะไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักผินหน้าหนีอย่างคับแค้น!

ต่อจากนั้นเฉียวเวยก็ให้ใต้เท้าเจ้าสำนักเอากู่ขับขานราตรีออกมา แต่ละคน (ตัว) แบ่งกันคนละตัว แมลงกู่ชนิดนี้ขอเพียงสัมผัสถูกผิวหนังของคนก็จะเข้าไปในตัวคนผู้นั้นได้ทันที พวกเขามีคนมากขนาดนี้ ต้องมีสักคนที่ขว้างโดนสิ

หลังจากแบ่งแมลงกู่กันแล้ว พวกเขาก็ให้อาต๋าเอ่อร์เป็นคนนำ เริ่มลอบเข้าไปในกระโจม

ตอนนี้เลยเที่ยงคืนแล้ว คนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายต่างเข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่มีผู้ใดรู้ตัวว่าพวกเขาลอบเข้ามาใกล้ มีครอบครัวของคนเลี้ยงสัตว์ที่เลี้ยงสุนัขไว้ มันหูตั้งขึ้นมาอย่างระแวดระวัง แต่ไม่ทันที่สุนัขตัวนั้นจะได้เห่าก็ถูกเสี่ยวไป๋ขู่จนหดหัวกลับไปในรังสุนัข

คืนดึกคนสงัด แม้แต่สายลมก็หยุดพัด รอบด้านเงียบจนเหลือแต่เสียงลมหายใจของพวกเขา

อาต๋าเอ่อร์ส่งสัญญาณมือ เพื่อปลอดภัยไว้ก่อนพวกเขาจึงจะรมยาสลบคนเลี้ยงสัตว์เหล่านี้เป็นอย่างแรก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยล้วงควันยาสลบหลายแท่งออกมาจากในอกเสื้ออย่างคล่องแคล่วชำนาญ เขาแบ่งกับอาต๋าเอ่อร์คนละสามแท่ง แยกย้ายกันไปรมกระโจมของคนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลาย

ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองคนก็กลับไปที่ประตูของกระโจมหลังที่สาม

ถึงจะบอกว่าอยู่หน้าประตู แต่ความจริงยังห่างอยู่อีกสิบก้าว

ในหมู่พวกเขามีเพียงเฉียวเวยที่เคยประมือกับเขามาก่อน ประสบการณ์ที่ถูกเล่นงานจนน่าอนาถในวันนั้นยังประหนึ่งเห็นอยู่ตรงหน้า เพียงนึกถึงก็ทำให้คนขนลุกซู่

เฉียวเวยยืนนิ่งไม่ขยับ

ใต้เท้าเจ้าสำนักบุ้ยปากใส่นาง เข้าไปสิ ยืนนิ่งทำอะไรอยู่

เฉียวเวยเหลือบมองเขา เจ้าก็เข้าไปสิ เหลือบมองข้าทำอะไร ไม่ใช่ข้าที่อยากจะวิ่งมายัดแมลงกู่ใส่ร่างเขาสักหน่อย!

ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตามองอย่างกรุ่นโกรธ เขากัดฟันกรอดแล้วหันไปมองอาต๋าเอ่อร์

อาต๋าเอ่อร์สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจยกมือกุมหน้าผาก หันไปมองด้านข้าง…

เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์สลายตัวไวปานสายฟ้าแลบ!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”

ทำตัวไร้คุณธรรมน้ำมิตรเช่นนี้จะดีจริงหรือ

เฉียวเวยยักคิ้วหลิ่วตา หนก่อนเขาล้มป่วยจนกำลังภายในเหลือเพียงห้าส่วน แล้วยังถูกธนูจันทร์โลหิตยิงไปหนึ่งหน คิดว่าตอนนี้กำลังภายในคงไม่ถึงสองส่วนแล้ว เจ้าเข้าไปจะต้องจัดการเขาในกระบวนท่าเดียวได้แน่

ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นด้วยอย่างที่สุด จอมยุทธ์เยี่ยนผู้กล้า! จอมยุทธ์เยี่ยนยอดเยี่ยมที่สุด! จอมยุทธ์เยี่ยนรีบบุกเข้าไปเร็ว!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่มีที่ให้ระบายโทสะหนนี้ เหตุใดข้าต้องมาพบกับพวกไม่เอาไหนอย่างพวกเจ้าสองคนด้วย

สุดท้ายเพราะไม่เคยเห็นพลังของว่าที่ราชันอสูรกับตาตนเอง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงปลอบตนเองว่าบางทีอาจเป็นเพราะใครบางคนอ่อนแอเกินไป ไม่ใช่เพราะว่าที่ราชันอสูรคนนั้นแข็งแกร่งเกินไปหรอก

พอคิดเช่นนี้ เขาก็ตัดสินใจสวมถุงมือ หยิบกู่ขับขานราตรีออกมาแล้วเดินเข้าไปในกระโจม

พวกเขาแลกสายตากันเสร็จก็ตามเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ว่าที่ราชันอสูรคนนั้นบาดเจ็บหนักจริงๆ มิเช่นนั้นด้วยกำลังภายในของเขา ต่อให้ซุ่มซ่อนดีอีกเท่าใด ก็คงถูกอีกฝ่ายล่วงรู้นานแล้ว

ทุกคนเริ่มคิดในแง่ดีเหมือนกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างห้ามไม่ได้ ในเมื่อบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ บางทีคืนนี้พวกเขาอาจจะทำสำเร็จจริงๆ ก็ได้

ทว่าความคิดนี้แตกสลายไปทันทีที่ก้าวเท้าก้าวที่สาม

ฟู่!

ฟู่!

ฟู่!

เสียงลมหายใจหนักหน่วงและรุนแรงพัดออกมาจากด้านในกระโจมอย่างต่อเนื่อง ในค่ำคืนที่เงียบสงบจนไม่มีแม้แต่สายลม มันฟังดูใกล้และชัดเจนเป็นพิเศษจนราวกับว่า…ลมหายใจนี้ดังอยู่ข้างหู

ในใจของทุกคนเคร่งเครียดอย่างไร้สาหตุ ต่อจากนั้นความหนาวยะเยือกก็พุ่งจากใต้เท้าลามขึ้นไปถึงกระหม่อมของทุกคน

ก้าวเท้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยุดชะงัก เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เสียงลมหายใจยังคงดังลอยมาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงแต่ละหนเหมือนดังอยู่ริมหู จนเขาไม่กล้าแม้แต่จะหันมองด้านหลัง ด้วยกลัวว่าคนผู้นั้นจะยืนอยู่ด้านหลังของตนเอง

ความรู้สึกเช่นนี้…น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ

เขาเพิ่งจะยืนอยู่หน้ากระโจมของอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าหากต่อกรกับเขาซึ่งหน้าจะน่าหวาดกลัวถึงเพียงใด

เวลานี้เขาพลันนับถือความกล้าของเฉียวเวยแล้ว นางกล้ามาเป็นหนที่สอง ไม่กล้าก็คงโง่!

ไม่ว่าอย่างไรก็มาแล้ว จะหนีเตลิดไปเช่นนี้ไม่ได้!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบังคับให้ตัวเองสงบสติ เขาพลิกมือหยิบใบมีดบางเฉียบแผ่นหนึ่งออกมากรีดประตูกระโจมอย่างเงียบเชียบ

เขาแหวกม่านประตู ลังเลครู่หนึ่งก็ทำใจกล้ามุดเข้าไป

ทุกคนเห็นเขาเข้าไปแล้วก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปด้วย

กระโจมหลังไม่ใหญ่ มองเข้าไปครั้งเดียวก็เห็นบุรุษที่นอนอยู่บนพรมหนา เขาสวมอาภรณ์สีดำทั้งตัว สวมหน้ากากสีดำ บนร่างห่มผ้าห่มผ้าฝ้ายอยู่ครึ่งตัว ภายในห้องจุดเตาถ่านจึงไม่ทำให้คนรู้สึกหนาว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสันหลังของทุกคนจึงขนลุกซู่พร้อมกันโดยไม่ได้นัด

สมควรขว้างแมลงกู่ได้แล้ว

แต่ดันไม่มีใครกล้าโยนออกไปสักคน

คนทั้งกลุ่มยืนอึ้งงันอยู่เช่นนั้น

ทันใดนั้นเองบุรุษบนเตียงก็ลืมตาขึ้น

หัวใจของทุกคนเต้นกระตุกจังหวะหนึ่งพร้อมกัน!

บุรุษคนนั้นมองมาทางด้านนี้ หน้ากากบดบังมิดชิดจนแม้แต่ดวงตาทั้งสองข้างก็ยังเห็นไม่ชัด เห็นเพียงประกายตาดุจอสูรสองดวงผ่านจุดที่มีการแกะสลักน้อยนิดบนหน้ากาก

อากาศราวกับถูกแช่แข็ง

ชั่วพริบตาต่อมา…

เสี่ยวไป๋ก็กินแมลงกู่เข้าไป

จูเอ๋อร์บีบแมลงกู่จนตาย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโยนแมลงกู่ใส่ร่างของอาต๋าเอ่อร์

อาต๋าเอ่อร์โยนแมลงกู่…ใส่ร่างของตนเอง

เฉียวเวยก้าวไปข้างหน้าก้าวเล็กๆ “พวกเจ้าเหตุใดจึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่แค่นักรบมรณะคนเดียวหรอกหรือ เขาไม่ใช่ราชันอสูรจริงๆ สักหน่อย! แล้วเขาก็ยังบาดเจ็บอยู่ด้วย! พวกเราคนมากขนาดนี้ร่วมมือกันยังจะขว้างใส่เขาไม่สำเร็จอีกหรือ ยังเป็นลูกผู้ชายกันอยู่หรือไม่ เป็นลูกผู้ชายก็ตามข้าไปลุยด้วยกัน!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกพี่สะใภ้ของตนเองปลุกขวัญกำลังใจจนฮึกเหิม เขายืดอกก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่กลัวเกรง “พูดถูกต้องแล้ว! ลุยด้วยกัน! เขาร้ายกาจอีกเท่าใดก็เป็นเรื่องในอดีตเท่านั้น! ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก! ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราสักนิด! ข้านับหนึ่ง สอง สาม ทุกคนก็ขว้างแมลงกู่ในมือออกไป! ต้องมีสักตัวที่ขว้างถูกเขา! หนึ่ง สอง สาม!”

มีเพียงเขาคนเดียวที่ขว้างออกไป

เมื่อเขาหันหลังกลับมามอง

เวรเอ๊ย คนเล่า หนีไปกันหมดแล้วหรือ

คนทั้งกลุ่มวิ่งเตลิดตึงตังหายเข้าไปในรัตติกาล คนที่วิ่งเร็วที่สุด หนีมาไกลที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือเฉียวเวย…

——————————————–