ตอนที่ 453-2 ความกลัวของราชันอสูร มาถึงเยี่ยหลัว
เฉียวเวยก็ไม่ทราบว่าตนเองขายความน่าสงสารสำเร็จหรือไม่ นางคว้าข้อมือของเจ้าซื่อบื้อกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แล้วตะโกนเรียกอาต๋าเอ่อร์ เผ่นหนีลงจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านการ ‘ลงแรง’ หนนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยถึงการลอบสังหารราชันอสูรอีก มีชีวิตรอดกลับมาได้ก็โชคดีเป็นล้นพ้นแล้ว เรื่องการสังหารราชันอสูรยกให้นายน้อยไปเถิด! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้จริงๆ !
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตา “ล้วนต้องโทษพวกเจ้า หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าวิ่งหนีไวปานนั้น ข้าก็คงจะ…”
เฉียวเวยหัวเราะเหอะๆ “เจ้าจะทำอย่างไรกับเขา เจ้าก็ขว้างไปแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็ลองเป่าขขลุ่ยดูสิ!”
“ข้า…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึก เขาตกใจจนลืมไปอย่างสิ้นเชิง…
เวลานั้นวิ่งหนีแทบจะไม่ทัน ผู้ใดยังจะมีเวลาไปทำสิ่งอื่นกันเล่า อีกอย่างหนึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองขว้างไปโดนหรือไม่…หากขว้างไม่โดนขึ้นมา เขาก็เสียเวลาหาขลุ่ยโดยเปล่าประโยชน์น่ะสิ
คนทั้งกลุ่มออกไปอย่างฮึกเหิม แต่กลับมาอย่างเศร้าซึม กล่าวได้ว่าสภาพอเนจอนาถยิ่งนัก
เฉียวเวยกลับถึงห้องก็โถมเข้าไปในอ้อมกอดของสามีเพื่อหาการปลอบโยน
อัครมหาเสนาบดีเลิกคิ้ว “หืม ตอนนี้รู้แล้วหรือว่าราชันอสูรไม่ได้สังหารง่ายดายเช่นนั้น”
บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ให้นางไป นางก็ไม่ฟัง คราวนี้เป็นอย่างไรเล่ากลัวจนสภาพดูไม่ได้แล้ว
แม้ปากของจีหมิงซิวจะดุว่า แต่หัวใจกลับอ่อนยวบจนแทบจะไม่ไหว เขากอดนางแน่น ปลายนิ้วสางเส้นผมยาวของนางอย่างพิถีพิถัน น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยว่า “ดูสิทำภรรยาของข้าตกใจกลัวหมดแล้ว หนหน้าจับเขามามัดแล้วให้เจ้าซ้อมเล่นดีหรือไม่”
พอเฉียวเวยจินตนาการภาพราชันอสูรถูกมัดไว้กับเสา ส่วนตนเองกำลังเตะต่อยเขา หัวใจก็ได้รับการปลอบโยนในพริบตา ศีรษะถูไถซอกคอของเขา สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่สะอาดและน่าหลงใหลบนร่างเขา หัวใจดวงน้อยที่หวาดกลัวจนสั่นเทาในที่สุดก็กลับมาสงบ “ความจริง ข้าไม่ได้ถูกเจ้าหมอนั่นทำให้กลัวหรอกนะ”
นางเล่าเรื่องที่ภูเขาให้จีหมิงซิวฟัง
จีหมิงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “มองเห็นชัดหรือไม่ว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นเช่นไร”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง “มืดเกินไป มองสิ่งใดไม่ชัดทั้งสิ้น”
ทั้งที่นางไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไปและไม่ได้มองสักนิดเลยแท้ๆ!
“ท่านว่าคนผู้นั้นเป็นศัตรูหรือว่ามิตรกันแน่”
หากเป็นศัตรูล่ะก็ พวกเขาคงจะโชคร้ายแล้ว…
จีหมิงซิวหัวเราะ “กลัวแล้วหรือ”
“ผู้ใดกลัว” เฉียวเวยปากแข็ง “ข้าเพียงกลัวว่าจะพลาดทำร้ายคนดีๆ คนไหนบาดเจ็บเข้าก็เท่านั้น!”
จีหมิงซิวมองออกแต่ไม่พูด เขาหัวเราะเบาๆ โอบตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน กอดเอวบางอ้อนแอ้นของนางแนบแน่นแล้วบอกว่า “หากเขาเป็นศัตรู คืนนี้คงไม่ปล่อยพวกเจ้าหนีมา หากเป็นมิตร คืนนี้ก็คงไม่ปล่อยราชันอสูรคนนั้นหนีไป”
“คนแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ” เฉียวเวยเข้าใจทันที
จีหมิงซิวบีบปลายจมูกน้อยที่หนาวจนแดงระเรื่อของนาง “ไม่ต้องคิดแล้ว นี่เป็นถิ่นของเผ่าซยงหนีว์ พวกเราไม่ได้จะอยู่ที่นี่นาน วันพรุ่งนี้ก็จะจากไปแล้ว วันหน้าย่อมไม่ต้องพบพานกับเขาอีก”
เฉียวเวยพยักหน้าพลางหาท่าที่สบายตัวในอ้อมแขนของเขา
จีหมิงซิวจุมพิตหน้าผากของนาง “นอนเถิด”
เฉียวเวยฟังจบก็หลับตาลง
จีหมิงซิวเหน็บชายผ้าห่มให้นางจนเรียบร้อย ตอนนั้นเองสายตาก็กวาดมองไปพบว่าบนศีรษะของนางว่างเปล่า เขาพึมพำเสียงเบา “ปิ่นของเจ้าเล่า”
ปิ่นกล้วยไม้หยกเล่มนั้นเป็นมรดกจากมารดาบังเกิดเกล้าของเขา นางปักไว้ตลอด ตอนออกไปยังประดับไว้อยู่เลย
“หืม” เฉียวเวยสะลึมสะลือเผยอเปลือกตาขึ้นมา ระหกระเหินมาหนึ่งค่ำคืน นางเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเพราะตกใจกลัว ตอนนั้นจึงยังไม่รู้สึกง่วงทันทีก็เท่านั้น ตอนนี้พอหาความสบายใจพบในอ้อมแขนของเขาก็รู้สึกถึงความง่วงที่ข่มกลั้นมานานทันที
จีหมิงซิวเห็นนางพยายามจะฝืนปลุกตัวเองทว่าแม้แต่เปลือกตาก็ยังเปิดขึ้นมาอย่างยากเย็น จึงถอนหายใจเบาๆ “ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด”
วันต่อมาหลังจากเฉียวเวยตื่นก็พบว่าปิ่นของตนเองหายไปแล้ว จะต้องหล่นระหว่างทางที่หนีเอาชีวิตรอดเมื่อคืนเป็นแน่ แต่ไม่รู้ว่าร่วงตกที่ใดกัน นอกภูเขาหรือว่าบนภูเขา
ปิ่นเล่มนั้นเป็นมรดกจากองค์หญิงเจาหมิง เขาทะนุถนอมมันอย่างยิ่งมาตลอด แต่ตนเองกลับทำสิ่งสำคัญเช่นนี้หล่นหาย…
“แค่ปิ่นเล่มเดียวเท่านั้น หายก็หายไปเถิด หากเจ้าต้องการปิ่น จวนองค์หญิงยังมีอีกมากมาย”
จีหมิงซิวอมยิ้มบอก
เฉียวเวยรู้ว่าเขากลัวตนเองรู้สึกผิดจึงจงใจปลอบตนเองเช่นนี้ หากว่าเป็นปิ่นธรรมดาๆ เล่มหนึ่งจริง เขาจะนำมาเป็นของแทนใจมอบให้ตนเองได้อย่างไรกันเล่า
จะต้องเป็นของที่แม้แต่องค์หญิงก็ให้ความสำคัญมากเป็นแน่ เขาถึงทะนุถนอมมันถึงเพียงนั้น
…
คนทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยมาค่อนคืน นอนหลับจนตะวันสายโด่งกว่าจะตื่น หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ อูฐกับม้าก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว
สุดท้ายใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่ได้ถูกส่งตัวกลับแคว้น เหตุผลก็เพราะว่ากู่ขับขานราตรีตัวนั้นอาจจะขว้างถูกเป้าหมายก็เป็นได้ หนหน้าหากพบเจ้าหมอนั่นอีก เขาอาจจะมีประโยชน์!
แม้เหตุผลประการนี้จะพอฟังขึ้น แต่ความจริงแล้วสาเหตุที่จีหมิงซิวให้เขาอยู่ต่อก็เพื่อความสบายใจของตนเองเท่านั้น ไม่เก็บไว้ใกล้ๆ สายตา ผู้ใดจะรู้ว่าหนหน้าเขาจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นไปนั่งบนอูฐ!
ยามบ่ายคณะเดินทางก็ขี่อูฐ นั่งรถม้าเดินทางเข้าไปในทะเลทรายอย่างเอิกเกริก
พวกเขาไม่เพียงซื้ออุฐกับม้าชั้นดีที่สุดมา แต่ยังจ้างคนนำทางที่มีประสบการณ์ที่สุดด้วย ราชครูก็เหมือนรายงานพยากรณ์อากาศเดินได้คนหนึ่ง เขาดูดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีก็ทราบแล้วว่าวันพุ่งนี้สภาพอากาศจะเป็นเช่นไร จีหมิงซิวยิ่งเหมือนเข็มทิศธรรมชาติ เดินทางไหนคือทิศออกตกเหนือใต้เขาล้วนรู้กระจ่างแจ้ง เมื่อมีการเตรียมพร้อมที่ดีเลิศเช่นนี้ พวกเขาจึงเหมือนเล่นโกง เดินผ่านทะเลทรายมาอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
กองโจร ทรายดูด พายุทราย พวกเขาไม่พบเจอแม้แต่สิ่งเดียว แม้แต่ปัญหากระหายน้ำก็ยังถูกแก้อย่างสบายๆ ด้วยเจ้าตุ้ยนุ้ยที่มีความสามารถชี้นิ้วส่งๆ ก็ชี้เจอโอเอซิสทุกครั้ง
เฉียวเวย นี่ข้าหลงเข้ามาในทะเลทรายปลอมหรือเปล่า!
ชายขอบทะเลทรายเป็นที่ตั้งเมืองขนาดเล็กริมชายแดนของเยี่ยหลัว ในเมืองมีผู้คนที่เพิ่งเดินทางข้ามทะเลทรายมาไม่น้อย แต่ละคนๆ หน้าตามอมแมม ผิวดำคล้ำ ริมฝีปากแห้งผาก เสื้อผ้าขาดวิ่น พอสะบัดตัวทีก็มีทรายหล่นออกมาบนพื้นราวสองชั่ง!
แต่คณะเดินทางของเฉียวเวยกลุ่มนี้ เสื้อผ้างดงาม เส้นผมดำขลับ ผิวกระจ่างใสชุ่มน้ำ ใบหน้าแดงระเรื่อ ริมฝีปากแวววาว มีกำลังวังชาอย่างยิ่ง!
นี่พวกเขาเดินทางผ่านทะเลทรายแห่งเดียวกันมาจริงหรือ…
เมืองน้อยแห่งนี้ชื่อว่าเมืองหลงเฟิ่ง เป็นเมืองเล็กๆ ที่ดูโบราณอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง ถนนเป็นหินสีเทาที่เป็นหลุมเป็นบ่อ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเรียบง่ายและกาลเวลาอันยาวนานที่ลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
หลังจากเข้ามาในเมืองน้อยแล้ว ราชครูกับศิษย์เอกก็แยกทางกับคณะเดินทางของจีหมิงซิว ความจริงเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ตำหนักราชครูกับตระกูลจีมีความสัมพันธ์ตื้นเขิน ไม่ว่าโดยส่วนตัวแล้วทั้งสองฝ่ายจะคบค้าสมาคมกันเช่นไร แต่ฉากหน้าก็ยังต้องแสร้งเมินเฉยไม่สนใจจึงจะเป็นการดี
พวกเขาเดินทางไปตามถนนอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่งก็ก้าวเท้าเข้ามาหาพวกเขา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขวางหน้าเขาไว้อย่างระแวดระวัง
เขามองรถม้าที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นจึงประสานมือคำนับ แล้วใช้ภาษาฮั่นอันคล่องแคล่วเอ่ยอย่างมีมารยาทว่า “ขอเรียนถามด้านในรถม้าคือใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีกับจั๋วหม่าน้อยใช่หรือไม่ ท่านอ๋องของข้ารอคอยทั้งสองคนอยู่ในเมืองนานแล้ว”