WSSTH ตอนที่ 3,016 : โคตรตัวประหลาดทั้ง 2!
“นั่นเป็นร่างที่แท้จริงของมัน!”
หลังเห็นฉากประหลาดอย่างมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกคนปรากฏตัวออกมาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ตาแดงฉานปานก้อนโลหิตเข่นฆ่าชายชรา ชายวัยกลางคนที่ลอยร่างไม่ไกลเชวียจิงอวี่ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ร่างที่มีดวงตาสีเลือดเป็นแค่ร่างแยกของมันเท่านั้น…กล่าวให้ถูกคือร่างแฝดจากพลังแห่งกฏ!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยออกเสียงเข้ม
“ดูจากลักษณะร่างกายทั้งการลงมือของมัน…น่ากลัวว่ามันจะเข้าใจ กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด!”
ลูกตาของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ไม่ไกลก็หดหยีลง เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เท่าที่ข้ารู้มาในบรรดาความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย มีความลึกซึ้งที่เรียกว่า ‘ร่างแฝดแห่งความตาย’ อยู่”
“ร่างแฝดแห่งความตายนั้น สามารถสร้างร่างแฝดที่เหมือนกันกับตัวผู้เข้าใจความลึกซึ้งประการนี้ได้จนแทบแยกไม่ออก อีกทั้งพลังต่อสู้ไม่เว้นการป้องกันก็ไม่ต่างอะไรจากร่างจริง…”
“ที่สำคัญ ร่างแฝดแห่งความตายนั่น ยังสามารถใช้อุปกรณ์อมตะหรือสิ่งของใดๆที่ร่างต้นมีได้ กระทั่งยังใช้ความลึกซึ้งประการอื่นๆที่ร่างจริงเข้าใจได้อีกด้วย!”
“ร่างหลักนั้นสามารถเลือกที่จะต่อสู้เคียงข้างร่างแฝด หรืออาจจะซ่อนตัวในร่างแฝดแห่งความตาย และเฝ้ารอโอกาสออกกระบวนท่าสังหารในห้วงเวลาชี้ขาด!”
ชายหนุ่มกล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่ใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างกลางหาวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ซูว!
พร้อมกันนั้นเองร่างแฝดแห่งความตายที่สองตาแดงฉาน ก็หายเข้าไปในร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นราวกับไม่เคยปรากฏออกมาก่อน
พร้อมกันนั้นพลังเซียนอมตะทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้ถูกรั้งกลับเข้าร่างโดยสมบูรณ์ คนลอยร่างค้างกลางหาวด้วยสภาวะปานเมฆคล้อยลอยเอื่อย แลดูสบายๆไม่คล้าเหนื่อยแรงอะไร
“กฎแห่งความตาย?”
“กฏที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกเข้าถึง…กลับเป็นกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดเช่นนั้นหรือ? โอจ้าวสวรรค์ช่วย! กฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุดนั่นมิใช่อะไรที่จะเข้าใจได้โดยฝึกปรือวรุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาอันใด จำต้องพึ่งพาโชควาสนา ความบังเอิญในการผจญภัย ทั้งมรดก!”
“ท่ามกลางสวรรค์และโลก พลังแห่งกฏที่เข้าถึงได้ยากที่สุดกก็คือพลังแห่งกฏสูงสุดทั้ง 4…แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ ทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลับเข้าใจกฏแห่งความตายแล้ว อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการอย่าง ‘ความหมายแห่งความตาย’ กับ ‘ร่างแฝดแห่งความตาย’ ได้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!!”
“นรก! พรสวรรค์มันนับว่าสูงล้ำกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขุม! เพราะสุดท้ายกฏที่มันเข้าถึงก็คือกฏแห่งความตาย 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ตัวประหลาดเอ๊ย…สองโคตรตัวประหลาด!!”
…
เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ บัดนี้ก็กลับมารู้สึกตัวกันหมดแล้ว และพวกมันมต่างตื่นตระหนกกับความแข็งแกร่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยออกมาให้เห็นนัก!
ไม่มีใครคิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวขนาดนี้ ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก
จากนั้นทั้งหลายก็เริ่มหันมามองหน้าสบตากัน ก่อนที่จะเห็นแววตาระทมทั้งรอยยิ้มขื่นขมของกันและกัน
ในอดีตพวกมันรู้สึกว่าตัวเองก็คืออัจฉริยะยากพบพานอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พวกมันไม่กล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะอีกต่อไป กระทั่งความมั่นใจยังถูกทำร้ายอย่างแรง!
ต้วนหลิงเทียนอายุไม่ถึงร้อย เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ…
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการ…
ขวับ!
หลังฆ่าชายชราไปแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คว้าเกราะอมตะระดับราชามาเก็บไว้ และเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆอีก 5 คนก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวางแม้แต่น้อย
พวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้หากทะลึ่งลงมือขัดขวางอะไร ก็คงต้องตายอนาถเยี่ยงชายชราแน่แท้!
“ว่าแต่ผ้าคลุมที่มันใช้ก่อนหน้า…ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่เด่นเรื่องป้องกันมิใช่หรือไร? ด้วยมีพลังของผ้าคลุมนั่นแล้ว ไฉนมันยังต้องการเกราะอมตะระดับราชานั่นอีกเล่า?”
เชวียจิงอวี่อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา
“เหอะๆ”
แทบจะทันทีที่เชวียจิงอวี่บ่นจบคำ ชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลก็หัวเราะเยาะออกมา “ให้ขาถามเจ้าสักคำ หากเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน เจ้ากล้าควักมันออกมาใช้ง่ายๆหรือไม่?”
“มิผิด เนื่องเพราะที่นี่คือวังจอมราชันอมตะ หากพวกเรารอดกลับออกไปย่อมไม่อาจจดจำเรื่องราวใดๆได้ ดังนั้นมันจึงกล้านำอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันออกมาใช้ เพราะมันรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดสามารถเปิดโปงเรื่องนี้ได้ เรื่องที่มันครอบครองอุปกรณ์อมตะจอมราชันในที่สุดก็ต้องเลือนหายไป”
“จะว่าไปยังดีที่สถานที่แห่งนี้คือวังจอมราชันอมตะ หาไม่แล้วหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่พ้นต้องฆ่าปิดปากพวกเราหมดสิ้น”
“มันคงไม่กล้าฆ่าคนมั่วซั่วกระมัง…เกิดพวกเราตกตายกันหมด ไม่ใช่จะเร่งให้แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เปิดออกอีกครั้งรึไร สุดท้ายที่นี่ก็จะเปิดให้กลับออกไปหลังมีคนตายถึงกำหนดนี่นา?”
“จริง! หากคนตายครบกำหนดแล้ว ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าคนที่อยู่ในวังจอมราชันอมตะก็ต้องรีบกลับออกไป ไม่งั้นไม่ใช่จะถูกขังอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำไปอีกนานหรือไร?”
…
เห็นได้ชัดว่าทุกคนเดาได้ว่าไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงกล้าใช้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่นี่ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าหลิงเจวี๋อวิ๋นคงไม่คิดฆ่าคนไม่เลือกหน้าแน่นอน
“ตอนนี้ของรางวัลจากการผ่านบททดสอบแรกก็ถูก 2 คนนั่นเอาไปหมดแล้ว…พวกเราเล่า ต้องทำอย่างไรกันต่อไป?”
เชวียจิงอวี่หันไปมองรอบๆก็พบว่านอกเหนือจากห้องโถงทั้ง 10 แล้ว มองไปไกลๆก็แลเห็นแต่ความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด
คนอื่นๆก็เริ่มค้นหาไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบเช่นกัน หากแต่ไม่มีใครพบเบาะแสหรือวิธีออกไปจากที่นี่เลย
“รอก่อนเถอะ…ข้าว่าคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใด…”
สุดท้ายทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกัน
ขณะเดียวกันเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็พบอีกว่า หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายไปแล้ว อีกฝ่ายก็เหินร่างกลับไปยืนบนพื้นข้างๆต้วนหลิงเทียน
“แปลกยิ่ง ไฉนพวกมันถึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขเล่า…หรือตอนที่พวกมันเข้าไปคุยอะไรกันในห้องโถง พวกมันจะทำข้อตกลงอะไรกันไว้แล้ว?”
“อาจเป็นได้…”
“ให้ข้าเดา เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเหลือเกราะอมตะระดับราชาไว้ตัวหนึ่ง สิบในสิบไม่พ้นจงใจเหลือไว้ให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน!”
“พอพวกเจ้าพูดขึ้นมา ข้าว่ามันก็เข้าเค้าจริงๆ หาไม่แล้วด้วยพลังของต้วนหลิงเทียน ไฉนยังจะเหลือเกราะอมตะทิ้งไว้ตัวหนึ่งโดยไม่เอาไปทั้งหมด!”
“ข้ายังหวังว่าให้ทั้งคู่ต่อสู้ช่วงชิงกันเองอยู่เลย แต่ดูท่าในช่วงสั้นๆคงยากจะมีการปะทะกันแน่”
…
เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆได้แต่จับจ้องมองไปยยังต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยืนไม่ห่างกันอย่างสงบสุข ด้วยความรู้สึกยากบรรยาย
เรียกว่าทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงนั้น เสมือนเมฆดำสองก้อนที่ปกคลุมใจพวกมันเอาไว้ ทำให้พวกมันรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
“หลังจากนี้หากเป็นไปได้จำต้องแยกจากพวกมันให้เร็วที่สุด…หาไม่แล้วด้วยมีพวกมัน ยังจะเหลืออะไรตกถึงมือพวกเรา”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“ข้าเองก็หวังว่าจะมีโอกาสแยกตัวออกห่างพวกมัน…มิฉะนั้น ถึงจะรอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทั้งยังมีชีวิตได้จริง แต่คงไม่ได้รับอันใดในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้เลย”
…
ตอนนี้เชวียจิงอวี่และคนอื่นๆวาดหวังว่าจะมีโอกาสแยกทางจากพวกต้วนหลิงเทียนโดยเร็ว เพราะตราบใดที่มีพวกต้วนหลิงเทียนอยู่ เกิดมีสิ่งของดีๆที่พวกมันอยากได้ ก็ไม่พ้นต้องถูกทั้งคู่เอาไปหมดไม่มีเหลือ
หลังผ่านไปสักพักเมื่อทุกคนพบว่าไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็เริ่มหาเรื่องคุยกันฆ่าเวลา
“จะว่าไปแล้ว เท่าที่ข้ารู้มา ยอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครานี้ ยังมีอีก 7 คนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้ว”
ชายวัยกลางคนเปิดประเด็นขึ้นมา
“7 รึ? มากขนาดนั้นเชียว? เท่าที่ข้ารู้มีแค่ 5 คนเท่านั้นเอง!”
ชายหนุ่มอีกคนโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
…
ด้วยมีเรื่องให้พูดคุยกัน ทุกคนจึงรู้สึกเสมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ยังมีสุมาฉุนของตระกูลสุมานั่น มันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการแล้ว พลังฝีมือของมันนับว่าไม่ใช่ธรรมดา…ที่สำคัญว่ากันว่านอกจากความหมายแห่งลมแล้ว ความลึกซึ้งอีกประการที่มันเข้าใจก็คือ ‘ลมกรด’!”
“ลมกรด!? ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ขึ้นชื่อเรื่องโดดเด่นในด้านความเร็วน่ะรึ?! เห็นว่าไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความเร็วในการโจมตีให้ผู้ใช้ ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้ผู้ใช้ได้จมหู!”
“เดิมทีพวกที่เลือกจะตีความกฏแห่งลมก็มีวรยุทธ์หลักสายความเร็วอยู่แล้ว…สุมาฉุนนั่นเห็นว่าเชี่ยวชาญเรื่องกระบี่ไว กอปรกับท่าร่างพิสดารเป็นที่สุด ลองมันมีพลังของลมกรด เกรงว่าคงยากที่จะหาคนต่อกรกับมันได้ หากไม่ใช่คนที่เข้าใจความลึกซึ้ง 3 ประการ เรื่องจะฆ่ามันเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย!”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! สุมาฉุนนั่นด้วยมีความลึกซึ้งอย่างลมกรดของกฏแห่งลมหนุนเสริม ความเร็วของมันนับว่าไม่เป็นสองรองใครในบรรดายอดเซียนอมตะที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้เลย…และต่อให้มันเจอคนที่มันเอาชนะไม่ได้ มันก็เลือกที่จะหนีได้สบายๆ!”
“วรยุทธ์ใดในใต้หล้า ความเร็วนับเป็นที่สุด! ขอแค่มันเร็วเหนือการลงมือผู้อื่น มันก็เสมือนอยู่ในตำแหน่งคงกระพันแล้ว!”
…
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ฟังคนพวกนั้นสนทนากันอ่างออกรสด้วยสีหน้าสนใจ แต่พอพวกมันทุกคนเอ่ยถึงสุมาฉุนขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกไปเล็กน้อย
สุมาฉุน ด้วยความเร็วที่มี มันคงกระพันไร้พ่าย?
“ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือจะรู้จักสุมาฉุนอะไรที่พวกมันพูดถึงด้วย?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมักจะลอบมองต้วนหลิงเทียนอยู่บ่อยๆ พอเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนแปลกไป มันก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถามด้วยความอยากรู้ทันที
“ก็ไม่ใช่คนรู้จักอะไรหรอก แค่ก่อนจะเข้ามาในวัจอมราชันอมตะ ข้าบังเอิญเจอกับมันเข้า..”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบ
“ได้ตีกันรึเปล่า?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ
“มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการ ทั้งความลึกซึ้งอีกประการนอกจากความหมายแห่งลมยังเป็นลมกรด…หากเป็นข้าที่ต้องปะทะกับมัน ไม่ใช่อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิหรืออุปกรณ์เทพ ปกติแล้วคงฆ่ามันไม่ได้แน่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดถึงจุดนี้ ก็หยีตามองต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย “หากเจ้าประมือกับมัน ด้วยความเร็วที่มันมีเว้นเสียแต่เจ้าจะใช้กระบี่เทพในร่าง…คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะฆ่ามัน”
“มัน..ตายแล้วสินะ?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามอีกรอบ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอีกครั้ง
“ใช้กระบี่เทพรึ?”
คำถามดังกล่าวของหลิงเจวี่ยอวิ๋น ถูกต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่นคิ้วด้วยความสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะกล่าวออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ถาม “ถึงข้าไม่ได้ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน แต่ข้าก็ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันน่ะ”
“ก็ใช่หากเจ้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันเจ้าอาจมีพลังฆ่ามันได้…แต่ด้วยความเร็วระดับมัน คงยากที่เจ้าจะฆ่ามันได้ เพราะทันทีที่เห็นเจ้าใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชัน มันคงรีบล่าถอยออกไปให้พ้นจากระจู่โจมของเจ้ากระมัง? สุดท้ายแล้วตัดสินจากความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่เจ้าเข้าใจ ความเร็วก็นับเป็นจุดอ่อนของเจ้า”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยสายตามองขาด
“เจ้ายังมองได้ขาดจริงๆ…แต่พอดีข้ายังพอมีฝีมือย่อยอยู่บ้าง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ นับว่าอ่านสถานการณ์ตอนเขาเจอกับสุมาฉุนได้ขาดจริงๆ
ตอนนั้นแม้เขาจะนำอุปกรณ์อมตะจอมราชันออกมาใช้จริง แต่หากไม่ได้พื้นที่แรงงโน้มถ่วงที่เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้างช่วยถ่วงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เกรงว่าเขาคงไม่อาจฆ่าสุมาฉุนได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าพื้นที่โน้มถ่วงของเขาจะยังห่างจากขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นอยู่บ้าง แต่ว่าพลังของมันก็สามารถนำมาใช้งานจริงได้แล้ว และมีส่งผลกระทบต่อผู้อื่นมากพอสมควร ในห้วงเวลาสำคัญสามารถใช้มันเป็นจุดเปลี่ยนได้
ตอนที่เขาประมือกับสุมาฉุนวันนั้น ก็ด้วยพื้นที่โน้มถ่วงที่ดูดรั้งสุมาฉุนเอาไว้ทำให้ความเร็วของมันตกลง ก็เลยทำให้เขาฆ่ามันได้ในที่สุด
หากไม่มีพื้นที่โน้มถ่วง สุมาฉุนย่อมสามารถหลบหนีไปได้แน่ๆ
“ฝีมือย่อยหรือ ฝีมือย่อยอันใด?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามด้วยความสนใจ
แต่ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำอะไรหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาพลันพบว่าทั่วร่างรู้สึกหวิวๆ และความรู้สึกเสมือนร่วงตกจากที่สูงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นสายตาเขาก็เหมือนจะมืดดับไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะปรากฏแสงจ้าแยงตา พอรู้ตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป แต่มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งใหม่แล้ว