WSSTH ตอนที่ 3,025 : ความกลัวของโอวหยา

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างหลี่หยวนที่บังเกิดไฟลุกท่วมอันโจนทะยานเข้าใส่ชายหนุ่มชุดม่วงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นศิลาบนสุดนั้น อยู่ดีๆคนก็แบ่งออกเป็นสองเสี่ยง! ประหนึ่งมีบางสิ่งผ่ากลางร่างมันจากบนลงล่าง!!

ฟั่ฟฟฟฟ!

และในกระบวนการที่ร่างมันแบ่งออกเป็น 2 เสี่ยง นอกจากเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นสั้นๆแล้ว ทุกคนก็แลเห็นประกายแสงหลากสีปานสารุ้งสว่างวาบขึ้นในตาวูบหนึ่ง!

ส่วนด้านหลี่หยวนนั้น หลังจากที่ร่างมันถูกแบ่งผ่าเป็น 2 เสี่ยง เปลวเพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างมันก็ยังคงลุกโชนอยู่ สุดท้ายร่างมันก็ถูกเพลิงดังกล่าวย้อนกลับมาทำลาย แผดเผาจนกลับกลายเป็นเถ้าธุลี สลายหายไปกลางหาว

คงเหลือเพียงแหวน หอก เกราะสีทองเข้ม กับป้ายหยกสะสมคะแนนเท่านั้นที่กำลังร่วงตกลงจากกลางอากาศ

“คะแนนสะสมของมัน ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พร้อมกันนั้นก็สะบัดมือปลดปล่อยพลังไร้สภาพออกไปขุมหนึ่ง ซัดป้ายหยกสะสมคะแนนของหลี่หยวนที่กำลังจะแตกสลายไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!

ป้ายหยกสะสมคะแนนของหลี่หยวนพริบตาก็พุ่งลงไปด้านล่างเกือบ 100 หมี่ ทำให้ระห่างระหว่างป้ายหยกดังกล่าวกับเขานั้น มากกว่าระห่างระหว่างมันกับแท่นศิลาทั้ง 2 เบื้องล่าง!

ถึงแท่นศิลาที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่งอยู่ จะอยู่ในระดับเพดานบินเดียวกันกับแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หากทว่าต้วนหลิงเทียนจงใจซัดมันเยื้องไปทางที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่มากกว่า!

เปรี๊ยะ!

หลังจากป้ายหยกของหลี่หยวนแตกสลาย และปรากฏมวลแสงพุ่งไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่สำนึกเทวะลงป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด และเมื่อเห็นว่าคะแนนสะสมของเขาไม่เพิ่มขึ้น ก็พอได้คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

ก่อนหน้านี้เขาได้ฆ่าคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการอย่างตงฟางจิ่นหลุนไปอีกคน ทำให้คะแนนสะสมในป้ายหยกของเขาพุ่งสูงขึ้นไปไม่น้อย และจากที่ลอบฟังคะแนนของคนอื่นๆมา เขาก็รู้ว่าเขามีมากกว่าพวกมันเป็นร้อยๆ

หากตอนนี้เขาเลือกที่จะรับคะแนนสะสมของหลี่หยวนมาอีก น่ากลัวว่าแต้มคะแนนสะสมของเขาจะสูงจนผิดหูผิดตา! และไม่พ้นต้องมีคนเริ่มเชื่อมโยงการตายของหลี่หยวนมาที่เขาแน่!!

นอกจากนั้นไม่ว่าจะสุมาฉุนหรือกระทั่งตงฟางจิ่นหลุน คนก็จะมุ่งเป้ามาที่เขาเป็นอันดับหนึ่ง!

ถึงแม้หลังจากออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณคราวนี้ไป เขาจะอยู่ภายใต้ความสนใจของ 3 นิกาย 2 ตระกูล และคงไม่มีใครกล้าลงมือต่อเขาส่งเดช…

ทว่าหลังจากที่เขาเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลไปได้สักพักแล้วเล่า?

พวกมันจะส่งยอดฝีมือมาคุ้มครองเขาตลอดเวลารึเปล่า?

ต่อให้เขายังมีอุปกกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองที่ใช้ได้อีก 2 ครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะส่งคะแนนไปให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น เพื่อให้คะแนนของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นเพิ่มขึ้นมาไล่เลี่ยกับเขา กระทั่งมากกว่าเขาไปเลยก็ยิ่งดี!

“เจ้าบ้าเอ๊ย เจ้าคิดผลักข้าลงกองไฟรึไง!?”

หลังพบว่าป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองอยู่ดีๆ ก็มีแต้มพุ่งปรี๊ด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หันไปกัดฟันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนตาขวาง ท่าทางจะเคืองไม่น้อย!

“เอาหน่า เจ้าอย่ากังวลไปเลย…พวกมันไม่สงสัยเจ้าหรอก หากคะแนนพวกเราเท่าๆกันและไม่ทิ้งคนอื่นมาก คนอื่นก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นกัน เขาเรียกกระจายความเสี่ยง…”

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวปลอบหลิงเจวี๋ยอวิ๋น

ขวับ!

ต้วนหลิงเทียนสะบัดมืออีกครั้ง ก็ปรากฏพลังไร้สภาพหอบหิ้ว แหวนพื้นที่ หอก แล้วก็เกราะสีทองตัวหนึ่งที่กำลังร่วงตกลงจากกลางหาวให้เหินย้อนกลับมาเข้ามือเขา จากนั้นก็เก็บมันไปอย่างไร้เรื่องราว โดยที่ไม่แม้แต่จะตรวจสอบอะไร

“ข้าคิดว่าในหุบเขากาลเวลาแห่งนี้ ข้าแค่จะได้รับโอกาสในการเข้าใจความหมายแห่งเวลาเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าจะมีคนนำอุปกรณ์อมตะระดับราชารวมถึงแหวนพื้นที่อันบรรจุทรัพย์สมบัติชั่วชีวิตมาให้ข้าแบบนี้…”

หลังต้วนหลิงเทียนเก็บสินสงครามของหลี่หยวนไปแล้ว เขาก็ส่ายหัวไปมาเบาๆพลางเอ่ยออกอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ถึงข้าจะไม่ได้ขาดแคลนอุปกรณ์อมตะระดับราชา แต่ในเมื่อมีคนเอามามอบให้ข้าถึงที่ ข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะรับมันมาเก็บไว้เพิ่ม…”

เนื่องจากบัดนี้หุบเขากาลเวลามันตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้สำเนียงใด เสียงกล่าวคำราวกับบ่นไปคนเดียวของต้วนหลิงเทียน จึงดังมากพอให้ทุกคนได้ยินชัดถนัดหู

ทุกคนที่กำลังตกอยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริด พอได้ยินคำพูดสบายๆดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ก็หวนกลับมาครองสติอีกครั้ง และทุกคนก็รู้สึกเสมือนสิ้นไรถ้อยวาจา หมดคำจะพูด…

ท่านไม่ขาดอุปกรณ์อมตะระดับราชาหรือ?

หากท่านเหลือมาก เช่นนั้นแบ่งให้ข้าพเจ้าสักชิ้นเถอะ!

เป็นธรรมดาว่าถ้อยคำดังกล่าวพวกมันก็ทำได้แค่พูดในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะพ่นออกมาแม้ครึ่งคำ ด้วยกลัวจะไปยั่วยุดาวมฤตยูชุดม่วงนั่น!

“แต่ข้าต้องขออภัยทุกคนด้วย…ในเมื่อข้าฆ่าคนเพิ่มไปอีกคน ก็หมายความว่าเวลาที่พวกเราจะได้อยู่ที่นี่ ก็เหมือนสั้นลงอีกส่วน…”

ต้วนหลิงเทียนก้มลงไปกวาดตามองผู้คนด้านล่าง ที่บ้างก็นั่งบนแท่นศิลา บ้างก็ลอยล่องกลางหาว พลางกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “ต่อไปข้าหวังว่าทุกคนจะพยายามทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสพลังของกฏแห่งเวลาที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้อุตส่าห์สร้างค่ายกลเอาไว้ให้”

“เอาล่ะ ข้ารบกวนเวลาของทุกคนเพียงเท่านี้…หากไม่มีเรื่องสำคัญอย่าได้ปลุกข้า หากข้าตื่นขึ้นมา จะให้เข้าสู่ภวังค์อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อนจนจบ แม้ในถ้อยคำวาจาที่กล่าวออกจะไม่มีการข่มขูอะไร แถมเสียงที่กล่าวยังฟังดูสบาๆปานพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ก็ทำให้ทุกคนที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านอยู่ในใจ

พวกมันไม่มีใครสงสัยเลย…

หากใครกล้ายั่วยุดาวมฤตูผู้นี้อีก ไม่พ้นได้ไปเมืองผีตามหลี่หยวนเป็นแน่!

‘หวังว่าจะไม่มีใครมากวนใจข้าอีก…อย่างไรเสียคิดจะสัมผัสถึงพลังของกฏแห่งงเวลา และเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ทิ้งไว้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย’

ต้วนหลิงเทียนบ่นในใจ จากนั้นก็ค่อยๆหลับตาลง นอกจากเหลือสำนึกเทวะส่วนหนึ่งที่แผ่ไว้เพื่อระวังภัยแล้ว ที่เหลือก็ถูกกระจายออกไปรอบๆตัวเพื่อสัมผัสถึงพลังลี้ลับบางอย่างจากค่ายกล

‘นี่คือ…กฏแห่งเวลางั้นหรือ?’

หลังตั้งสมาธิรับสัมผัสสรรพสิ่งรอบกาย ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีพลังลี้ลับบางประการไหลเวียนอยู่ทั่วๆร่างกายของเขา

อย่างเช่นความว่างเปล่าด้านขวามือของเขา กระแสอากาศที่ไหลเวียนไม่สม่ำเสมอบ้างหนักบ้างเบานั้น อยู่ๆก็หยุดลงในชั่วพริบตา ราวกับห้วงเวลา ณ จุดนั้นมันหยุดเดินไป!

กฏแห่งเวลา ขึ้นชื่อว่าเป็นกฏที่ลี้ลับและพิสดารที่สุดในบรรดากฏสูงสุดทั้ง 4 และมันยังเป็นกฏที่ลี้ลับที่สุดในสวรรค์และโลกอีกด้วย

กฏประเภทนี้ไม่อาจทำความเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังใดๆ ต้องใช้โชควาสนาและการพานโดยบังเอิญขณะผจญภัย ไม่ก็รับมรดกสืบทอด

‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอย่างเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ข้าเคยยมี ก็น่าจะมีกฏแห่งเวลาแฝงอยู่…ทำให้เวลาที่ไหลในเจดีย์นั้นแตกต่างจากโลกภายนอกมากมาย’

หลังผ่านไปสักพักต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เขาเคยมี กระทั่งยังคิดถึงผู้เฒ่าหั่วที่เป็นวิญญาณประจำชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา

ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วไปอยู่ที่ใดแล้ว อีกทั้งเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกใครเอาไปกันแน่

ณ แท่นศิลาบนสุด ต้วนหลิงเทียนก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์รับรู้ สัมผัสถึงพลังลี้ลับอันแฝงไว้ด้วยกฏแห่งเวลาโดยรอบและพินิจมันอย่างตั้งใจ

ส่วนเบื้องล่างแท่นศิลาที่เขาอยู่นั้น สถานการณ์ยังคงยากที่จะหาความสงบได้เจอ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้คนจะประมือกันก็ดี หรือทำอะไรก็ดี ไม่มีใครกล้าปล่อยให้การกกระทำใดๆส่งผลกระทบมาถึงเขา และไม่มีใครคิดจะขึ้นมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาเลย

“การโจมตีนั่นจะทรงพลังเกินไปแล้ว…แสงกระบี่หลากสีนั้นเกิดจากอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มันครอบครองอยู่หรือ?”

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่เห็นต้วนหลิงเทียนจบชีวิตหลี่หยวนได้ง่ายดายในกระบี่เดียว อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ ในใจบังเกิดความหวาดกลัวถึงขีดสุด

ก่อนหน้านี้ถึงแม้หลังได้ฟังเรื่องราวจากโอวหยา นางจะไม่ได้คลางแคงสงสัยในข้อเท็จจริง แต่การฟังเรื่องราวจากปากคนอื่น กับการได้มาเห็นกับตาตัวเองนั้น นับเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

“หากข้าต้องเจอกับกระบี่นั่น…จุดจบของข้าคงไม่ดีไปกว่าหลี่หยวนแน่!”

พอคิดถึงจุดนี้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็น

“มัน…มันฆ่าหลี่หยวนได้ในชั่วพริบตา…ทั้งยัง…ยังอาศัยแค่ 1 กระบี่!?”

ทั้ง 4 คนที่ลอยร่างอยู่เหนือหุบเขาและยังไม่ได้ไปช่วงชิงแท่นศิลากับใคร ตอนนี้แต่ละคนก็ปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก ถึงแม้พวกมันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว แต่มันก็มองการลงมือขอต้วนหลิงเทียนยามสังหารหลี่หยวนไม่ทัน ได้ยินก็แต่เสียงหอนของกระบี่กรีดฟ้า กับความรู้สึกแหลมคมที่เสียดแทงจิตวิญญาณ

บัดนี้พวกมันตระหนักได้โดยที่ไม่เหลือคววามแคลงใจใดๆ ทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนพูดมาก่อนหน้า หาได้มีคำโป้ปดแม้แต่คำเดียวจริงๆ!

“…สุดท้ายอาศัยพลังฝีมืองั้นๆของพวกมัน ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันในพริบตา”

วาจาประโยคนั้นของต้วนหลิงเทียน พลันดักก้องขึ้นมาในหูพวกมันอีกรอบ

“มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว…ไฉนมันถึงได้มีพลังร้ายกาจขนาดนั้นได้กัน!?”

“หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ แม้ข้ามองไม่ทันว่ามันลงมืออย่างไร แต่จากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมา ข้าสัมผัสได้ว่ามีพลังจากความหมายแห่งดิน…แต่ข้าว่าพลังอันร้ายกาจจริงๆ สมควรเกิดจากกระบี่ที่มันใช้มากกว่า!”

“ข้าก็คิดแบบนั้น แม้จะมองกระบี่มันไม่ชัด แต่ข้าเห็นว่ากระบี่มันส่องสว่างปานสีรุ้ง…อีกทั้งไม่รู้พวกเจ้าทันสังเกตเห็นกันหรือไม่ ว่าหลังมีประกายแสงผ่าร่างหลี่หยวนไปแล้ว ประกายแสงที่ว่าพอย้อนกลับมาถึงมือมัน ก็เหมือนจะรวมเข้าไปในร่างกายของมัน ไม่ใช่หายไปเหมือนเก็บของลงอุปกรณ์พื้นที่”

“รวมเข้าไปในร่างของมันเหรอ? ช้าก่อน…เรื่องแบบนี้ข้าเคยได้ยินมา นั่นไม่ใช่ลักษณะของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีในบันทึกหรือไร!?”

“อันใด? นี่เจ้าจะบอกข้าว่า…เมื่อครู่สิ่งที่มันใช้คืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิงั้นเหรอ!?”

ทั้ง 4 คนพากันสนทนานถามไถ่กันไม่หยุด และในบรรดาพวกมัน 4 คนก็มีคนสังเกตเห็นแสงรุ้งที่สมควรเป็นกระบี่นั้น หลังจากที่เข่นฆ่าหลี่หยวนแล้ว พอวกกลับมาถึงมือต้วนหลิงเทียน ก็กลายเป็นละอองแสงรวมหายเข้าไปในร่างของต้ วนหลิงเทียน ทำให้บางคนฉุกคิดถึงเรื่องราว ‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ’ ที่มันเคยอ่านเจอในบันทึกขึ้นมาทันที

“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”

“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น มันมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”

และไม่นานเรื่องราวดังกล่าวก็เริ่มแพร่กระจายลุกลามไปทั่ว ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักว่าต้วนหลิงเทียนนั้นมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิไว้ในครอบครอง แถมยังเป็นกระบี่อีกด้วย!

สำหรับคนที่ถูกส่งตัวมากลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนอย่างพวกโอวหยา และพวกเชวียจิงอวี่นั้น ไม่มีใครสงสัยหรือแปลกใจอะไรเลย เพราะทุกคนเห็นฉากเขาสังหารตงฟางจิ่นหลุนในกระบี่เดียวมากับตา

“เหอะๆ หลี่หยวนนั่นมันกล้าหาเรื่องต้วนหลิงเทียน นับว่าสวรรค์มีทางไม่ยอมเดิน นรกไร้ประตูดันทุรังมุดมาแท้ๆ!”

“เอาตรงๆ เมื่อครู่ ข้าคิดจะเตือนมันเหมือนกัน…แต่พอนึกถึงวีรกรรมของมันที่ข้าเคยได้ยินมา ข้าพลันรู้ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ ก็เลยล้มเลิกความคิดเตือนมันไป”

“ข้าด้วย! ทั้งชีวิตดีแต่รังแกผู้อื่นเช่นมัน นับว่าสมควรตายแล้วล่ะ!!”

เหล่าผู้ที่กำลังสนทนากันก็เป็นคนที่ถูกส่งมาพร้อมต้วนหลิงเทียน พลังฝีมือของพวกมันค่อนข้างธรรมดา และแท่นศิลาที่เลือกก็คือชั้นล่างสุด จึงไม่มีใครคิดจะมาท้าทายแย่งชิง พวกมันจึงนั่งคุยกันอย่างสบายใจ

“น้องหญิงโอวหยา..ชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้น ดูเหมือนมันจะอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน”

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่นั่งอยู่บน 1 ใน 2 แท่นศิลาชั้นรอง หลังจากสำรวจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว นางก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังคุยกับโอวหยาทันที “เจ้าไม่คิดท้าชิงแท่นศิลาของมันหรือ?”

“ด้วยพลังฝีมือของเจ้า คิดจะชิงแท่นศิลาของมันก็มิน่าจะยากเย็นอันใดนี่นา…หรือหากเจ้าไม่มั่นใจให้ข้าช่วยก็ได้นะ”

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเสนอตัวด้วยความหวังดี

อยย่างไรก็ตาม พอได้ยินเสียงผ่านพลังถามไถ่ทั้งเสนอความช่วยเหลือดังกล่าววของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยาก็คลี่ยิ้มขื่นขมก่อน จากนั้นค่อยส่งเสียงผ่านพลังไปหามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว “พี่หญิงมู่หรง…น้ำใจของท่านข้าคงทำได้แค่รับมันไว้ด้วยใจแล้วล่ะ…”

“ทว่ากับบุรุษผู้นั้น ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของมันจริงๆ…อีกทั้งต่อให้ท่านกับข้าร่วมมือกัน ก็คงไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย”

“แทนที่จะรบกวนเวลาสัมผัสพลังของกฏแห่งเวลาอันมีค่าของท่าน ไม่สู้ข้าไปหาแท่นศิลาที่เหมาะสมกับพลังของข้า เพื่อสัมผัสถึงพลังงของกฏแห่งเวลาที่ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้สร้างทิ้งไว้ให้ดีกว่า”

ขณะกล่าวถึงประโยคท้าย น้ำเสียงของโอวหยาก็แฝงไว้ด้วยความขื่นขมจนปัญญาชัดเจน

และพอได้ยินเสียงสลดของโอวหยา มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คล้ายจะตระหนักอะไรได้บางอย่าง “มัน…มันคงมิได้ครอบครองกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิเหมือนต้วนหลิงเทียนหรอกนะ!?”

คำถามดังกล่าวเป็นมู่หรงเซี่ยวเซวี่ยวกล่าวถามไปส่งๆเท่านั้น เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกเป็นคนที่สอง!

นั่นคืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ไม่ใช่กะหล่ำปลีที่เห็นเต็มตลาด!

“มันไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิ์…”

โอวหยากล่าว

“เช่นนั้นเจ้ากลัวมันทำไมเล่า?”

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอ่ยถาม

“มันไม่มีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิก็จริง…แต่ก่อนจะถูกส่งตัวมาที่นี่ ข้าได้ยินบางคนในกลุ่มมันคุยกัน ว่ามันครอบครองเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ…นอกจากนั้นมันยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการแล้ว”

โอวหยากล่าวออกมารวดเดียวจบคำ น้ำเสียงของนางยังฟังดูอ่อนแอคล้ายคนไร้เรี่ยวแรง

ต้วนหลิงเทียน อายุไม่ถึงร้อยปีเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินสองประการ อีกทั้งยังมีกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิสีรุ้งในครอบครอง…

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน ไม่เพียงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 2 ประการ แต่ยังครอบครองเกราะอมตะระดับจักรพรรดิที่มีลักษณะเป็นผ้าคลุม!

ทั้งสองคนทำให้นางหวาดกลัวจับใจ จนไม่เหลือแม้แต่ความกล้าจะคิดตอแย!