WSSTH ตอนที่ 3,035 : มุ่งหน้าสู่นิกายอมตะเป้าผู่

อย่างไรก็ตามหลังได้ฟังวาจากรรโชกทรัพย์ของต้วนหลิงเทียนแล้ว ปี้ไห่หมิงเฟิงก็เลือกจะถลึงตามองค้อนต้วนหลิงเทียนอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็เริ่มหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง

ทว่าต้วนหลิงเทียนที่เห็นอีกฝ่ายเพิกเฉย ก็เลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปอีกรอบ

“ท่านอย่าพยายามให้เปล่าประโยชน์เลย เพราะตราบใดที่ข้าออกปาก หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่มีทางบอกท่านหรอกว่านิกายอมตะอวิ๋นไถเสนอผลประโยชน์อะไรให้”

หลังเอ่ยบอกปี้ไห่หมิงเฟิงเรื่องนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ชิงหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในจังหวะที่ปี้ไห่หมิงเฟิงชะงักทันที “เฮ่ อีกเดี๋ยวถ้าปี้ไห่หมิงเฟิงถามอะไรเจ้า เรื่องที่นิกากยอมตะอวิ๋นไถมอบผลประโยชน์อะไรให้ เจ้าอย่าได้บอกมันเชียว ให้มันมาถามข้าเอง”

“หืม?”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้ฟังเสียงผ่านพลังดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนก็งุนงงไม่น้อย จากนั้นไม่ทันที่มันจะได้ตอบสนองอะไรเสียงผ่านพลังของปี้ไห่หมิงเฟิงก็ดังขึ้นในหูพอดี จึงหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงต้วนหลิงเทียนก่อน “มันถามข้าจริงๆด้วย…”

“เอาล่ะ เจ้าอย่าบอกมันก็พอ โยนมาให้ข้าตอบเอง”

ต้วนหลิงเทียนกำชับ

สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว และตอนนี้หวงเอ้อที่มันเห็นไม่ต่างอะไรจากพี่สาวแท้ๆต่อไปก็จะยอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นนายแล้ว เช่นนั้นมันย่อมไม่มีทางปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยที่ต้วนหลิงเทียนขอมาแบบนี้แน่นอน

“ไปถามต้วนหลิงเทียนเถอะ มันรู้”

ถึงแม้พลังฝีมือปี้ไห่หมิงเฟิงจะร้ายกาจ แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นใคร?

ตอนยังอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ ไม่ทราบสาวใช้ที่คอยดูแลมันร้ายกาจกว่าจักรพรรดิสวรรค์เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ไฉนต้องมากริ่งเกรงหรือไว้หน้ากับอีแค่ตัวตนขอบเขตพลังราชาอมตะด้วย? อีกฝ่ายยังไม่มีคุณสมบัติจะหิ้วรองเท้าให้มันด้วยซ้ำ!!

ได้ยินคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น มุมปากปี้ไห่หมิงเฟิงยิ่งมาก็ยิ่งกระตุก จากนั้นมันก็ละสายตาจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับมามองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวผ่านพลังด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไอ้หนู ข้าล่ะเชื่อเจ้าเลยจริงๆ ถึงกับสั่งให้มันร่วมมือกับเจ้าได้แบบนี้”

“ขอบคุณสำหรับคำชม ประมุขปี้ไห่”

ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวผ่านพลัง จากนั้นก็เอ่ยออกเสียงดังฟังชัด “เหมือนเดิม ยันต์เงาว่างเปล่า 10 แผ่นแล้วข้าจะบอก…”

ปี้ไห่หมิงเฟิงรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้าง มันก็ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาหลายปีแล้ว แต่นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันรู้สึกไร้อำนาจต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันย่อมไม่อาจใช้กำลังหรืออำนาจใดๆข่มขู่บีบคั้นเด็กน้อยคนหนึ่งได้ เว้นเสียแต่มันจะไม่กลัวขายขี้หน้าประชาชี…

“พูดมา!”

ปี้ไห่หมิงเฟิงเอ่ยผ่านพลังด้วยน้ำเสียงขัดใจเป็นที่สุด

หลังจากนั้นพอได้ฟังคำตอบผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน ปี้ไห่หมิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหิงฉานแห่งนิกายอมตะอวิ๋นไถด้วยสายตาอับจน ‘ไม่คิดเลยว่าลาหัวโล้นเฒ่านั่น มันถึงกับกล้าทุ่มทุนสร้างขนาดนี้…’

ผลประโยชน์ที่เหิงฉานเสนอให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าผลประโยชน์ที่ทางจางกวงเจิ้นเสนอให้ต้วนหลิงเทียนเลย

‘บ้าเอ๊ย ทั้งหมดเป็นเพราะข้ายังอ่อนประสบการณ์ในด้านนี้เกินไป…หากรู้แต่แรกข้ายอมเฉือนเนื้อออกไปสักหน่อยก็จบแล้ว เพราะสุดท้ายเนือที่เฉือนไป ก็ใช่เนื้อข้าเสียเมื่อไหร่!’

จังหวะนี้ปี้ไห่หมิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่มันมาจัดการเรื่องราวอะไรพวกนี้ และมันก็ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้โดยสมบูรณ์ ไหนเลยจะเจนจัดเท่าหมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งหลายที่นี่ สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับจางกวงเจิ้งและเหิงฉานไปอย่างน่าเสียดาย…

‘แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่น ข้าต้องนำตัวนางมาให้ได้ ไม่งั้นประมุขอีก 2 คนได้ดูแคลนข้าแน่!!’

เมื่อปี้ไห่หมิงเฟิงเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างออกมาหยุดลอยเบื้องหน้า มันก็คิดจะเสนอผลประโยชน์ในระดับเดียวกับที่ได้ฟังมาเมื่อครู่ออกไปทันที อนิจจามันยังไม่ทันพูดอะไร มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพลันกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัดเสียก่อน!

“ข้าเลือก…ตระกูลกงหยาง!”

ทันทีที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเหินร่างออกมาถึง นางก็ตัดสินใจเลือกตระกูลกงหยางทันที สุดที่ใครจะทันได้ยื่นข้อเสนอทั้งสิ้น

จังหวะนี้อย่าว่าแต่ปี้ไห่หมิงเฟิงไม่ทันได้ส่งเสียงผ่านพลังไปหยิบยื่นข้อเสนอ กระทั่งจางกวงเจิ้นและ จ่างซุนฉงฉีก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดออกมาสักคำ!

สำหรับเหิงฉานของนิกายอมตะอวิ๋นไถนั้น ไม่คิดยื่นข้อเสนอใดๆให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอยู่แล้ว เพราะพวกมันไม่ไหวจะรับอิสตรีจริงๆ!

ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวได้อันดับที่ 3 เลย ต่อให้เป็นอันดับที่ 1 มันก็ไม่สนใจ!

แม้นิกายอมตะอวิ๋นไถจะอนุโลมให้มีศิษย์ฆราวาสได้ แต่นั่นก็เป็นอภิสิทธิ์สูงสุดเท่าที่พวกมันจะอนุโลมให้ได้แล้ว…

ลูกศิษย์สตรีหรือ?

นิกายอมตะอวิ๋นไถไม่ไหวจะรับจริงๆ! พวกมันจะอย่างไรก็เป็นผู้ออกบวช ไหนเลยจะปล่อยให้มีสีกาเข้ามายั่วศิษย์หนุ่มกลัดมันที่ตบะยังไม่แข็งแกร่งได้? และหากเกิดเรื่องฉาวโฉ่อะไรขึ้นมา น่ากลัวให้ท่อง ‘บาปกรรมๆ’ สำนึกผิดไปร้อยพันปี ก็ไม่อาจสู้หน้าบรรพชนได้!!

“เฒ่ากง…เจ้านับว่าลงมือได้รวดเร็วยิ่ง!”

จ่างซุนฉงฉีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองกงหยางอวี่ด้วยความอึ้ง และสิ่งที่ทำให้มันสงสัยก็คือ ที่แท้กงหยางอวี่เสนอเงื่อนไขเลิศล้ำอันใดออกไปกันแน่ ถึงดึงดูดมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวให้ไปเข้าร่วมได้!

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตระกูลกงหยางก็เป็นขุมกำลังประเภทตระกูลดุจเดียวกับตระกูลจ่างซุนมันเลย มันรู้ดีว่าให้เสนออะไรไปมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คงยากจะสนใจเป็นแน่

ที่สำคัญที่สุดก็คือ

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะอย่างไรก็เป็นคนของตระกูลระดับ 7 ที่มีพลังอำนาจไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลกงหยางหรือตระกูลจ่างซุนแม้แต่น้อย ของที่พวกมันคิดจะมอบให้ ตระกูลมู่หรงไหนเลยจะขาดแคลน!

“ข้าไม่ได้รับปากอันใดแม่นางมู่หรงทั้งสิ้น”

กงหยางอวี่ยิ้ม

“เพ่ย! เจ้ายังกล้าพูดออกมาอีกว่ามิได้รับปากอันใด เจ้าคิดหลอกผู้ใดกัน หรือเห็นข้าเป็นเด็ก 3 ขวบแล้วจริงๆ? หากเจ้าไม่ทุ่มสุดตัวมีหรือนางจะเลือกเข้าร่วมกับตระกูลกงหยางของเจ้าได้?!”

จ่างซุนฉงฉีย่อมไม่เชื่อวาจาดังกล่าวของกงหยางอวี่

“ฮ่าๆๆ เรื่องนี้เกรงว่าแพะเฒ่าเจ้าคงยังไม่รู้…คุณชาย 3 ตระกูลกงหยางของพวกเรากำลังจักวิวาห์กับคุณหนู 4 ตระกูลมู่หรงแล้ว”

กงหยางอวี่หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ พลางเอ่ยชี้แจง

และทันทีที่กงหยางอวี่พูดประโยคดังกล่าวออกมา ไม่เพียงแต่จ่างซุนฉงฉีจะอึ้ง แม้แต่จางกวงเจิ้งกับเหิงฉางก็ผงะไปตามๆกัน

“เท่าที่ข้ารู้มาคุณหนู 4 ของตระกูลมู่หรงนั่นเป็นน้องสาวแท้ๆของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว…และคุณชาย 3 ของตระกูลหยางกง ก็คือผู้ที่จะรับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปของตระกูลหยางกง…”

ปี้ไห่หมิงเฟิงหยีตากล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย บัดนี้มันไม่แปลกใจเลยว่าไฉนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวถึงเลือกจะเข้าร่วมกับตระกูลหยางกง

เพราหากไร้ข้อผิดพลาดใดๆ น้องสาวของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็จะกลายเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลหยางกง!

การที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าร่วมกับตระกูลหยางกงแบบนี้ ไม่ต่างอะไรจากไปเพาะสร้างขุมกำลังที่ตระกูลหยางกงก่อน เป็นการปูทางให้น้องสาวของนางดำรงตำแหน่งฮูหยินเอกอย่างราบรื่น…

‘ตุ๊กตายาโถวนี่ ไม่ธรรมดาจริงๆ…’

ปี้ไห่หมิงเฟิงคิดในใจ ขณะมองจ้องมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่กำลังเหินร่างไปอยู่ด้านหลังหยางกงอวี่เขม็ง

หลังจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้ว คนอื่นๆที่มีอันดับรองลงมาก็เริ่มทยอยกันเหินร่างออกมาเลือกขุมกำลังที่จะเข้าร่วมทีละคนๆ

อาจเป็นเพราะพลาดรับ 3 อันดับแรกมาเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวน เช่นนั้นปี้ไห่หมิงเฟิงจึงลงทุนไม่น้อยเพื่อรับอัจฉริยะหลังจากนั้น และสุดท้ายในบรรดา 27 ที่เหลือมันก็ชักชวนมาเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวนได้มากกว่าครึ่ง!

กระทั่ง 7 คนที่เหลือใน 10 อันดับแรก มันยังคว้ามาได้ถึง 5 คน!!

“ประมุขปี้ไห่ ครั้งนี้นับว่านิกายอมตะเหอฮวนของท่านเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยทีเดียว…”

จางกวงเจิ้งหันไปมองกล่าวกับปี้ไห่หมิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม

“พรตเฒ่าจาง คนเรามิควรปากอย่างใจอย่าง…ว่าแต่ท่านสนใจเรื่องนี้หรือไม่ ท่านส่งต้วนหลิงเทียนมาแล้วข้าจักมอบ 5 ใน 10 อันดับแรกให้ท่านเป็นไร?”

ปี้ไห่หมิงเฟิงส่งเสียงผ่านพลังไปเสนอกับจางกวงเจิ้ง

เหตุผลที่ไฉนมันจึงเลือกจะส่งเสียงผ่านพลัง ด้วยเพราะกลัวว่าหากอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย ก็เท่ากับมันทำให้ 5 ใน 10 อันดับแรกที่มันอุตส่าห์ดึงตัวมาได้ เอาใจออกห่างนิกาอมตะเหอฮวนเปล่าๆ…

เช่นนั้นด้วยกลัวทั้ง 5 คนที่อุตส่าห์ดึงตัวมาได้จากการเฉือนเนื้อนิกายอมตะเหอฮวนไปไม่น้อยเอาใจออกห่าง ปี้ไห่หมิงเฟิงจึงเลือกจะส่งเสียงผ่านพลังไปถึงจางกวงเจิ้งอย่างลับๆ

เป็นธรรมดาที่มันคิดว่าจางกวงเจิ้งคงไม่เลือกจะตอบรับข้อเสนอนี้แต่แรก หาไม่แล้วมันคงเลือกจะกล่าวออกไปตรงๆ ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงผ่านพลังคุยกันลับๆแบบนี้

และเป็นอย่างที่ปี้ไห่หมิงเฟิงคิดไว้ไม่มีผิด จางกวงเจิ้งไม่ตอบอะไรเพียงส่งยิ้มกลับมาเท่านั้น

หลังจากเรื่องราวดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดเหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็ต่างเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลกันหมด

และเป็นธรรมดาว่าคนส่วนใหญ่นั้น เลือกที่จะเข้าร่วมกับ 3 นิกาย มีน้อยคนนักที่จะเลือกเข้าร่วมกับ 2 ตระกูล

กระทั่งในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนที่เลือกจะเข้าร่วม 2 ตระกูลรวมกัน ยังมีไม่ถึงครึ่งของคนที่เลือกจะเข้าร่วมนิกายอมตะเหอฮวนด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ หลังจากนี้พวกเราจะให้เวลาพวกเจ้าครึ่งชั่วยามเพื่อจัดการร่ำลาคนรู้จัก…หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม พวกเราจะแยกย้ายกันออกเดินทางกลับทันที”

จ่างซุนฉงฉีกวาดตามองเหล่ายอดเซียนอมตะทั้งหลายที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังตัวแทนขุมกำลังต่างๆ พลางกล่าวประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด

จากนั้นหลายคนก็เริ่มไปร่ำลาผู้อาวุโสของตัวเอง บ้างก็ไปลาสหาย

“อั้ย น้องต้วน! ไฉนท่านไม่เลือกนิกายอมตะเหอฮวนเล่า? นิกายอมตะเหอฮวนน่าอยู่ยิ่งนัก มีขุนเขาลำน้ำ ธรรมชาติงดงามยิ่งกว่าแดนเซียน ที่สำคัญยังมีสาวงามมากมาย…ว่ากันว่าศิษย์สตรีของนิกายอมตะเหอฮวนยังมีจำนวนมากกว่าครึ่งนึงของศิษย์ทั้งหมด และนี่ยังไม่นับสาวกขาเตาด้วยนะ…”

หวงเจียหลงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าไฉนน้องต้วนผู้นี้ถึงไม่เลือกจะอยู่นิกายอมตะเหอฮวน ในเมื่อบรรยากาศก็ดี หญิงก็งาม ช่างชวนให้บ่มเพาะพลังอย่างสำราญใจแท้ๆ…

และมันเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าการแยกจากกันคราวนี้ วันหน้ากว่าจะได้พบกันใหม่เกรงว่าคงไม่ง่ายแล้ว

“เหมือนๆกันนั่นล่ะ ไม่ใช่ว่าจะเลือกอะไรเดี๋ยวก็ได้เจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว

อัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่โดดเด่นใน 3 นิกาย 2 ตระกูล ล้วนมีโอกาสได้เข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยว

และเมื่อสามารถเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ ย่อมหมายความว่าได้ขึ้นไปโลดแล่นในเวทีที่แท้จริงของแดนสวรค์ใต้แห่งนี้แล้ว

เพราะถึงตอนนั้น จะต้องเผชิญหน้ากับอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 6 และคนของตระกูลใหญ่ทั้ง 10 ซึ่งนั่นก็คือชนชั้นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้อย่างแท้จริง

ถึงแม้หวงเจียหลงจะสลดกับทางเลือกของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง แต่มันก็รู้ดีว่าไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว จึงยากจะเปลี่ยนแปลงใดๆได้อีก ทำได้เพียงยอมรับความจริงเท่านั้น

(ไม้กลายเป็นเรือ = เปรียบเปรยว่าเรื่องราวที่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้ว ไม่อาจย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้)

อย่างไรก็ตาม ในใจมันบังเกิดแรงกดดันไม่น้อย และได้ตัดสินใจอย่างลับๆว่ามันจะพยายามเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวให้ได้

มันรู้ดีว่าด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของน้องต้วนคนนี้ คิดจะเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ยังนับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดายประหนึ่งนอนมาด้วยซ้ำ

แต่สำหรับตัวมันนั้น ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก!

ใน 3 นิกาย 2 ตระกูลมีอัจฉริยะที่มีทั้งศักยภาพพรสวรรค์ ไหวพริบปฏิภาณรวมถึงเชาว์ปัญญาที่ไม่ได้ด้อยกว่ามัน กระทั่งยังเหนือกว่ามันมาก แต่กระนั้นคนที่ถีบตัวไปเข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ กลับมีเพียงแค่หยิบมือเดียว…

“เจ้าดูแลพี่หญิงหวงเอ้อของข้าให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรกับพี่หญิง ข้าไม่มีวันเลิกรากับเจ้าแน่!”

ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหันมามองจ้องเขาด้วยสายตาแหลมคม จากนั้นเสียงผ่านพลังของอีกฝ่ายก็ส่งตรงมาถึงหูเขาอย่างดุดัน

“เรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านางเชื่อฟังข้ารึเปล่า…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวแซวออกไปอย่างสนุกสนาน และพริบตาต่อมาเขาก็เห็นแววตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ทำท่าราวกับทนรอวิ่งมาต่อยตีกับเขาไม่ไหวแล้ว

“ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ไม่เอื้อ ดูท่าพวกเราคงยากจะประมือกันได้…เอาไว้พอไปถึงคฤหาสน์เฉวียนแล้วมาสู้กันสักตั้งดีหรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังออกไปพลางยักคิ้ว

ก่อนหน้านี้เขาได้รับทราบจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินว่า ในสถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะภายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ อันเป็นสถานที่ๆเรียกว่าหุบเขากาลเวลานั้น แม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะมีพลังฝีมือกล้าแข็งไม่ใช่ชั่ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่เลือกจะแย่งชิงแท่นศิลาที่ดีที่สุดกับเขา…

และเป็นธรรมดาว่าเหตุผลที่ทำให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกจะไม่แข่งขันกับเขา ก็เพราะกลัวเขาแพ้พ่ายแล้วจะติดใจเอาความ ทำให้เก็บเอาไปลงกับหวงเอ้อในภายหลัง

อันที่จริงตั้งแต่ได้ทราบถึงพลังฝีมืออันกล้าแข็งของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจากปากของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดจิตคิดสู้กับอีกฝ่ายสักตั้ง!

ด้วยอยากรู้ว่าที่แท้ความลึกซึ้ง 2 ประการของกฏแห่งความตายที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจ กับเขาที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 1 ประการกับอีกนิดหน่อย โดยมีพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินสนับสนุน ใครจะแน่กว่ากัน!

“ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าหนีแล้วกัน!”

เสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้น เปี่ยมล้นไปด้วยจิตต่อสู้อันฮึกเหิมเช่นกัน!

ไม่ทันไรดุจชั่วพริบตา เวลาครึ่งชั่วยามก็ได้ล่วงเลยผ่านไป

จากนั้น ปี้ไห่หมิงเฟิง จางกวงเจิ้ง เหิงฉาน จ่างซุนฉงฉี กงหยางอวี่ อันเป็นผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็ได้หอบหิ้วพายอดเซียนนอมตะทั้งหลายที่ได้รับมา ออกเดินทางออกจากน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน…

ผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูลก่อนจะแยกย้ายกันนำคนจากไป ก็มีพยักหน้าร่ำลากันพอเป็นพิธี

และทิศทางที่ตั้งนิกายอมตะเป้าผู่นั้น แตกต่างจากทิศทางที่ตั้งของ 3 นิกาย 2 ตระกูลอื่นๆคนละเรื่อง เช่นนั้นจึงไม่มีการร่วมทางอะไรไปสักพัก จางกวงเจิ้งได้นำต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆแยกตัวจากไปทันที

และตั้งแต่ต้นจนจบ ต้วนหลิงเทียนนั้นได้เหินร่างเดินทางอยู่ข้างกายจางกวงเจิ้ง ทำให้เหล่ายอดเซียนอมตะที่อยู่ด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา!