ตอนที่ 477-1 ลอบสังหารฮองเฮา (1)
หลังจากผ่านมื้อกลางวันไปได้ไม่เท่าไร ก็มีคนจากในวังมาเชิญครอบครัวจีหมิงซิวทั้งห้าคนเข้าวัง ราชาเยี่ยหลัวไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟู่เสวี่ยเยียนกับตระกูลจี ห้าคนที่ว่าจึงมีพี่น้องจีหมิงซิว เฉียวเวยกับบุตรอีกสองคน
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ว่าบุตรทั้งสองอยู่ที่นี่ด้วย มู่อ๋องคิดจะเก็บพวกเขาไว้กับตนเองจึงพยายามเก็บเป็นความลับเต็มที่ ที่ราชาเยี่ยหลัวได้รู้ข่าวเกี่ยวกับเด็กๆ คงเพราะวันนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุ้มวั่งซูไปที่สนามสู้สัตว์แล้วนางกำนัลคนใดเห็นเข้าเลยเอาไปรายงานต่อราชาเยี่ยหลัว
ราชาเยี่ยหลัวไม่ใช่คนโง่ แค่ลองคิดดูกับถามความอีกสักหน่อยก็คงรู้เรื่องแล้ว
ในเมื่อราชาเยี่ยหลัวเชื้อเชิญด้วยตนเอง จะไม่ไปก็กระไรอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเฉียวเวยก็พยายามหาทางจะเข้าวังอยู่แล้ว เวลานี้จึงถือว่าสมประสงค์นางพอดี
หลังจากตัดสินใจแล้ว เฉียวเวยก็กลับห้องไปเตรียมตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์สำหรับเข้าวัง แต่ใครจะรู้ว่าพอก้าวเข้าไปในห้อง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เดินตามติดเข้ามา
เฉียวเวยเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย “ข้าจะเปลี่ยนชุด ออกไป”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “เจ้ารับปากก่อนว่าจะพาข้าเข้าวัง แล้วข้าจะออกไป”
เฉียวเวยถามว่า “เจ้าจะเข้าวังไปทำอะไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึหึ “ไม่ใช่ว่าเชิญข้าด้วยหรอกหรือ”
“อ้อ” เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ไม่ให้ไป”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าบูดบึ้ง “เหตุใดข้าถึงไปด้วยไม่ได้ สู้สัตว์ไม่พาข้าไป กินข้าวก็ไม่พาข้าไป เจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่”
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “สู้สัตว์นั่นเจ้าไม่ไปเองนะ”
“ข้า…” ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันพูดไม่ออก ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าการสู้สัตว์ของเยี่ยหลัวน่าเบื่อเหมือนของชนเผ่าลึกลับหรอกหรือ เลยไม่รู้สึกสนใจเท่าไร แต่หลังจากนั้นพอได้ยินที่ทั้งสองคนเล่าให้ฟัง ถึงได้รู้ว่าการสู้สัตว์ของเยี่ยหลัวน่าสนุกกว่าของชนเผ่าลึกลับมากนัก เพียงแต่จะเสียดายไปก็ไร้ประโยชน์
เฉียวเวยเปิดตู้เสื้อผ้า “เอาล่ะ แค่กินอาหารมื้อเดียวเท่านั้น เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
“ข้า…ข้าจะไปด้วย!” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอามือกอดอก เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม
เฉียวเวยขมวดคิ้ว ก่อนจะสูดหายใจแล้วหันไปถามอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าเป็นถึงพ่อคนแล้ว อย่าได้ตามติดข้าแจเช่นนี้อีกจะได้หรือไม่”ใต้เท้าเจ้าสำนักเอามือเท้าเอวลุกขึ้นยืน “ใครตามติดเจ้าแจกัน ข้าแค่จะเข้าวัง! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะเข้าวังไปทำอะไร หากเจ้าไม่พาข้าไป ข้าก็จะบอกจีหมิงซิวว่าเจ้าจะแอบไปพบฮองเฮาลับหลังเขาอีกแล้ว!”
เฉียวเวยรีบปิดปากอีกฝ่ายไว้ทันที นางลากเขาให้นั่งลงที่เก้าอี้ แล้วลุกไปแอบมองที่ประตู พอมั่นใจว่าไม่มีใครจึงงับประตูปิดเสีย
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึอย่างได้ใจ
เฉียวเวยทำหน้าดุเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “ข้าไม่ได้จะไปเจอลับหลังเขา แต่ข้าจะไปอย่างเปิดเผย ราชาเยี่ยหลัวเป็นคนเชิญข้าเข้าวังเอง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นลมออกทางจมูก “เช่นนั้นแล้วอย่างไร หากเจ้าไม่ได้ร้อนตัว เหตุใดต้องรีบปิดประตูด้วยเล่า”
เจ้าเด็กนี่!
สมองใช้การได้ดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
เฉียวเวยปรายตามองเขา “เข้าวังก็เข้าวัง จะใส่อารมณ์ไปไย”
เดิมทีก็คิดจะพาเขาไปด้วยอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่อวานเขาก็ไม่ได้ไป วันนี้หากยังไม่ไปอีก คงดูเหมือนเขาไม่ชอบใจอะไรราชาเยี่ยหลัว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ตาม
ทางด้านเฉียวเวยพาซาลาเปาน้อยที่เล่นจนเหงื่อแตกเต็มตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ อีกด้านหนึ่งใต้เท้าเจ้าสำนักก็กำลังบอกลาฟู่เสวี่ยเยียน
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็นพ่อคนมาที่เขาต้องบอกลาสองแม่ลูก ในใจใต้เท้าเจ้าสำนักรู้สึกอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก
ฟู่เสวี่ยเยียนนอนอยู่ด้านในของเตียง บุตรสาวนอนอยู่ข้างหน้า
ใต้เท้าเจ้าสำนักโน้มตัวลงไป มองบุตรสาวตัวน้อยที่ตัวยังคงเหลืองแต่กระนั้นก็ยังสุดแสนจะน่ารักด้วยความรักใคร่ ก่อนจะจูบหน้าผากนางอย่างเบามือ
ฟู่เสวี่ยเยียนมองภาพนั้นแล้ว นัยน์ตาก็พลันมีแววอ่อนโยนยากจะปกปิด
“อะแฮ่ม พ่อต้องไปแล้ว เจ้าต้องเป็นเด็กดีนะ” ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดพลางเหลือบมองฟู่เสวี่ยเยียนเร็วๆ ทีหนึ่ง ในใจลึกๆ มีความลังเล แต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้
ฟู่เสวี่ยเยียนใจเต้นแรง รีบหลับตาลง
ลมหายใจของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หัวใจของฟู่เสวี่ยเยียนยิ่งเต้นตุบตับ
นางรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเอาตัวมาแนบชิดติดกับนาง เขาเหมือนกำลัง…กอดนางอยู่
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักพยายามดึงอยู่สองทีก็ดึงไม่ออก “เจ้าทับเสื้อคลุมข้าอยู่”
ฟู่เสวี่ยเยียน “…”
…
ครานี้ที่พวกเขาไปกันคือตำหนักบรรทมของราชาเยี่ยหลัว ว่ากันว่าสิ่งปลูกสร้างแนวกลางของวังหลวงเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดของเยี่ยหลัว
งดงามหรือไม่งดงามนั้นเฉียวเวยดูไม่ออก แต่กลับเป็นว่าอร้าอร่ามยิ่งนัก… พื้นที่ปูด้วยอิฐปิดทอง กำแพงปูนผสมเกล็ดทอง ประตูใหญ่ที่ลงรักปิดทอง…ชั่วขณะที่เดินเข้ามานั้น ประกายอันแวววาวสาดเข้าหน้า เล่นเอาเฉียวเวยถึงกับตาพร่าไปเลยทีเดียว
วั่งซูกับใต้เท้าเจ้าสำนักกลับมองกันตาค้าง สีทองมากมายเพียงนี้ สวยงามจับตาจับใจยิ่งนัก!
จิ่งอวิ๋นทำปากมุ่ย ทองพวกนี้มีอะไรน่ามองกัน ปราสาทเฮ่อหลันของท่านตาทวดกับท่านยายสวยกว่าตั้งเยอะ
นางกำนัลเชิญคณะของเฉียวเวยไปที่อุทยาน “ต้นไม้” ที่ปลูกอยู่ในอุทยานเป็นต้นไข่มุกที่คนสร้างขึ้น ตามกิ่งไม้มีเม็ดไข่มุกห้อยเอาไว้เต็มไปหมด แต่ละอันขนาดเท่าไข่นกพิราบ กลมดิกเกลี้ยงเกลา สีสันสดใสน่ามอง
ดวงตาของจิ่งอวิ๋นพลันเบิกโต
งามเหลือเกินๆ!
ราชาเยี่ยหลัวเปลี่ยนจากชุดว่าราชการที่ดูซับซ้อน ไปอยู่ในชุดหรูหราอย่างชาวจงหยวนที่ดูสบายๆ แต่ไม่เสียมารยาท ผมบนศีรษะเขาไม่ใช่สีดำขลับ แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ทั้งยังหยักศกตามธรรมชาติ เครื่องหน้าทั้งห้าก็คมชัดกว่าชาวจงหยวน ต่อให้อยู่ในชุดอย่างชาวจงหยวน แต่ดูรวมๆ แล้วก็ยังดูต่างออกไปอยู่ดี
แค่เขาหล่อเหลามากก็พอแล้ว
เฉียวเวยกับเขาเคยพูดคุยกันไม่มากนัก เคยพบหน้ากันทั้งหมดสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่ท้องพระโรง เขาดูดุดันเต็มไปด้วยอำนาจ อีกครั้งคือที่สนามสู้สัตว์ เขาดูสบายมากขึ้น แต่เขาในวันนี้…ลักษณะท่าทางกลับดูยากจะอธิบาย
เขาเดินเข้าไปหาจิ่งอวิ๋นที่มอง “ผล” ไข่มุกบนต้นไม้ตาละห้อยแล้วยื่นมือไปอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นมา
จิ่งอวิ๋นตกใจจนตัวน้อยๆ สั่นเทา มองราชาเยี่ยหลัวด้วยความหวาดกลัว
บนใบหน้าที่ดูดุดันของราชาเยี่ยหลัว พลันปรากฏรอยยิ้มใจดี
เฉียวเวยยังอึ้งงันไป
ที่นางเห็นอยู่ต้องเป็นราชาเยี่ยหลัวตัวปลอมเป็นแน่!
คงเพราะรู้ว่าคงส่งภาษากันไม่รู้เรื่อง ราชาเยี่ยหลัวเลยไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงยื่นมือไปเด็ดไข่มุกเม็ดหนึ่งมาให้จิ่งอวิ๋น แล้วส่งสายตาถามว่าเขาชอบหรือไม่
จิ่งอวิ๋นตะลึงค้าง
****************************