WSSTH ตอนที่ 3,044 : น้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน
“สัตว์อมตะรึ?”
เนื่องจากตอนที่ยังอยู่ในประเทศฝูชิว ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอสัตว์อมตะของจวนเจ้าเมืองตู้อวิ๋นในรูปลักษณ์ผู้คนมาแล้ว 2 ตน จึงไม่ได้แปลกใจอะไรที่ได้รับทราบว่าน้องรองของประมุขที่ว่าเป็นสัตว์อมตะ
“ใช่”
ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า “น้องรองคนนี้ ข้าได้พบเจอตั้งแต่สมัยยังเยาว์ พวกเราออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยกัน ผ่านพ้นความเป็นตายมาด้วยกัน ช่วยชีวิตกันและกันไม่ทราบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จึงนับถือกันเป็นพี่น้อง และสนิทกันไม่ต่างใดจากพี่น้องแท้ๆ”
“ภายหลังข้าได้กลายเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ น้องรองเองก็เลือกจะออกจากเผ่ามาอยู่ช่วยงานที่นิกายอมตะเป้าผู่กับข้า พออะไรๆเข้าที่เข้าทางแล้ว น้องรองที่ไม่ชอบความวุ่นวายก็เลือกจะไปอาศัยอยู่ที่ยอดเขารัตติกาลสันโดษ นานๆถึงจะชวนข้าหนีงานออกไปท่องเที่ยวแก้เบื่อ…”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวออกมาพลางหัวเราะ
หลังจากกล่าวจบ ซุนเหลียงเผิงที่เหินร่างนำต้วนหลิงเทียนมาต่อสักพักก็หยุดลง จากนั้นเริ่มผายมือไปยังหุบเขากว้างใหญ่เบื้องหน้า “เบื้องล่างนั้นจักเป็นสถานที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่”
ต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็ก้มลงไปดูเบื้องล่าง
จึงสังเกตเห็นว่าภายในหุบเขาอันกว้างใหญ่นั้น ตั้งแต่ปากทางเข้าใกล้ๆหุบเขา จนถึงส่วนลึกติดกำแพงผนังผา ได้มีการจัดสร้างบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างเอาไว้เป็นสัดส่วน แต่ละหลังเว้นระยะห่างกันพอสมควร ไม่ได้แลดูหนาแน่นอึดอัดอะไร
และในหุบเขาก็ปรากฏจุดเล็กๆสีดำ ที่สมควรเป็นผู้คนเหินไปว่อนมา บ้างก็ไปบ้านหลังอื่น บ้างก็กำลังไปที่ไหนไม่ทราบ ยังมีผู้ที่ออกมาฝึกวิชาท่าร่างพุ่งไปมาเหนือลาน รวมถึงผู้ที่ตั้งวงสนทนา แลดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย
“ที่เจ้าเห็นล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่เรา”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยออกมา เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังชมองวิถีชีวิตเหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องล่าง
จากนั้นซุนเหลียงเผิงก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มองจ้องไปยังปลายสุดหุบเขา ซึ่งด้านบนปรากฏเกาะเล็กๆลอยอยู่ทั้งสิ้น 10 เกาะ พลางกล่าวอธายสืบต่อ “ส่วนปลายสุดหุบเขาด้านใน เจ้าเห็นเกาะเล็กๆ 10 เกาะที่ลอยอยู่ตรงนั้นหรือไม่ นั่นคือสถานที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ที่แท้จริงนิกายอมตะเป้าผู่เรา”
ต้วนหลิงเทียนมองตามไป ก็พบเกาะลอยเล็กๆ 10 เกาะ
แต่ละเกาะ ก็มีลานเล็กๆสร้างอยู่
“ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในอาณาเขตหุบเขาแห่งเดียวกัน หากแต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเกาะลอยอันเป็นที่อยู่ของศิษย์ที่แท้จริงนั้น จะดีกว่าที่พักของศิษย์ฝ่ายใน 2 เท่า”
“และสภาพแดล้อมในการบ่มเพาะของเกาะลอยเหล่านี้ ยังไม่ได้ด้อยไปกว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่พักข้าเลย”
“แต่นี่มิใช่ว่านิกายอมตะเป้าผู่เราตระหนี่ถี่เหนียว เลือกจะดูแลศิษย์ที่แท้จริงแต่ละเลยศิษย์ฝ่ายในแต่อย่างไร เนื่องเพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่ได้จากสายแร่ผลึกอมตะของพวกเราก็ยังมีขีดจำกัด ทำให้สร้างสถานที่บ่มเพาะอันมีสภาพแวดล้อมประเสริฐได้เท่าที่เห็น หากต้องการให้พลังวิญญาณฟ้าดินของศิษย์ฝ่ายในหนาแน่นมากกว่านี้ พวกเราก็ไม่อาจทำได้แล้ว”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวอธิบายจนจบ และวาจาประโยคสุดท้ายยังจงใจอธิบายเหตุผลออกมา ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระอาจไม่รู้เรื่องพวกนี้
เพราะสุดท้ายแล้วผู้ฝึกตนอิสระ อาจจะไม่ทราบว่าไฉนพื้นที่ต่างๆของนิกาย กลับมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่เท่ากัน
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างตามซุนเหลียงเผิงเข้าไปในหุบเขา และไปลอยล่องอยู่เหนือเกาะลอยเล็กๆเกาะหนึ่ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่นี่คือสถานที่พักอาศัยของเจ้า”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะมองไปยังลานเล็กๆบนเกาะลอยเบื้องหน้า
ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างวาบขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าไปในลานเล็กๆบนเกาะลอยขนาดกะทัดรัดนี่ แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินที่ปกคลุมไปทั่วหุบเขาแห่งนี้ มันหนาแน่นเหนือกว่าส่วนอื่นๆของนิกายอมตะเป้าผู่ถึง 2 เท่า!
และฟังจากที่ซุนเหลียงเผิงบอกมา สภาพแวดล้อมภายในเกาะลอยเบื้องหน้าเขา ยังมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นเป็นสองเท่าของหุบเขาแห่งนี้!
“เฮ่! นั่นท่านประมุขนิกายเรานี่!?”
“ไฉนท่านประมุขถึงมาที่นี่ได้กัน…จะว่าไปนี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลย ที่ข้าได้เห็นท่านประมุขมาถึงที่นี่!”
“ข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในมา 30 กว่าปี แต่นี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าเป็นท่านประมุขมาที่นี่…อีกทั้งตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ข้ายังไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน ว่าท่านประมุขเคยมาที่นี่ด้วยซ้ำ”
“ท่านประมุขดูเหมือนจะพาเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นมาด้วย…มันเป็นใครกัน?”
…
การปรากฏตัวของซุนเหลียงเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นับว่าดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์ฝ่ายในไม่น้อย
เหล่าศิษย์ฝ่ายในเริ่มคุยกันด้วยความสงสัยทันที ว่าไฉนประมุขนิกายถึงมาเยือนที่นี่ได้ กระทั่งยังสงสัยเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของชายหนุ่มชุดม่วงที่เหมือนจะถูกประมุขพามานัก!
“ข้าพึ่งกลับมาจากไปทำภารกิจนอกนิกาย…เลยได้รู้จากสหายที่ลาดตระเวนวันนี้ว่า ท่านรองประมุขจางพึ่งจะกลับมาจากทะเลสาบอวิ๋นเยียน”
“ทะเลสาบอวิ๋นเยียน สถานที่เข้าออกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำน่ะรึ? หมายความว่ารองประมุขจางพึ่งจะพาคนที่กลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณกลับมาถึงน่ะสิ!”
“ไม่ผิด ข้าได้ยินมาว่าบรรดายอดเซียนอมตะที่ติดตามรองประมุขจางมา ล้วนถูกศิษย์พี่เจิ้งหงอี้พาไปลงทะเบียนรับป้ายประจำตัวเกือบหมด…เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกพาไปพบบท่านประมุข
“หืม? พาไปพบท่านประมุขงั้นรึ…ดูเหมือนคนๆนั้นที่รองประมุขจางพากลับมาจะไม่ธรรมดา!”
…
ในบรรดาศิษย์ฝ่ายในก็มีหลายคนที่พึ่งกลับออกมาจากการทำภารกิจนอกนิกาย และได้คุยกับเหล่าศิษย์ลาดตระเวน จึงตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนนั้น พึ่งจะถูกพากลับมาเป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่หลังรอดออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
“ได้รับเกียรติถึงขั้นท่านประมุขมาส่งด้วยตัวเองแบบนี้…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะไม่ธรรมดาถึงขนาดไหนกัน?”
หลายคนอดประหลาดใจไม่ได้ กระทั่งสงสัยแคลงใจกันนักว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใครมาจากไหน
“ข้าเองยังได้ยินศิษย์ลาดตระเวนพูดกันอีกว่า…ดูเหมือนตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ที่ว่างอยู่ จะถูกท่านประมุขตัดสินใจมอบให้กับเจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนี้นี่ล่ะ”
ศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกเอ่ยต่อ “ตอนนี้ดูเหมือนท่านประมุขจะพามันมาส่งยังที่พักศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างอยู่ด้วยตัวเอง…มันคือคนที่ได้รับตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างไม่ผิดแน่!”
“อะไรกัน!?”
“ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างอยู่ ท่านประมุขมอบให้เจ้าหน้าใหม่นั่นเหรอ?”
“เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน…คนที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ อย่างดีก็เป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไม่ใช่รึไง…ในประวัติศาสตร์เรา ศิษย์ที่แท้จริงที่ยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะดูเหมือนจะมีแค่คนเดียวใช่ไหม?”
“ใช่ได้รับข้อมูลมาผิดพลาดหรือไม่?”
…
ในขณะที่หลาคนคิดว่าศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งกลับมาอาจจะฟังเรื่องราวมาผิด พวกมันก็พลันเห็นว่า…
ชาหนุ่มชุดม่วงที่ลอยข้างๆประมุขนิกายบัดนี้ ได้เหินร่างออกไปยังเกาะลอยเบื้องหน้า จากนั้นป้ายสีเขียวที่ห้อยไว้บริเวณเอว ก็เริ่มเปล่งเส้นแสงสีเขียวออกมาม้วนพันไปทั่วร่าง
และครู่ต่อมา ร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่ถูกเส้นแสงสีเขียวม้วนพันไปทั่วร่าง ก็เหินร่างมุ่งหน้าไปทางเกาะลอยดังกล่าว!
วู้ม!
วู้ม!
…
พอชายหนุ่มชุดม่วงเหินร่างเข้าไปใกล้เกาะและเตรียมจะลงไปด้านใน เหล่าศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายก็เห็นว่ารอบๆเกาะพลันปรากฏม่านพลังหนึ่งกางขึ้นในฉับพลัน หากทว่าเส้นแสงสีเขียวที่ม้วนพันรอบกายชายหนุ่ม ก็คล้ายจะทำให้ม่านพลังไม่ส่งผลอะไรทั้งสิ้น
“ป้ายประจำตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริง!!”
“ที่อยู่อาศัยของศิษย์ที่แท้จริง จำต้องมีป้ายประจำตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงเป็นดั่งกุญแจ หาไม่แล้วก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ และต้องติดม่านพลังดังกล่าวปิดกั้น…ดูเหมือนท่านประมุขจะมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างเว้นอยู่ให้มันแล้วจริงๆ!”
“มันไม่ใช่ยอดเซียนอมตะคนหนึ่งที่พึ่งเข้านิกายมาหรือไร ไฉนไม่ทันได้ทำอะไรก็กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้เล่า?
“มันสร้างคุณงามความดีอะไรมากันแน่ ไฉนถึงได้รับตำแหน่งศิษย์แท้จริงทันที?”
“ข้าคิดว่าลองท่านประมุขมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริง ทั้งพามันมาส่งด้วยตัวเองแบบนี้ มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน…เพราะสุดท้ายท่านประมุขก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจอะไรผิดพลาดกับบเรื่องแบบนี้”
“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
… …
แม้จะมีศิษย์ฝ่ายในมากมายที่อิจฉาต้วนหลิงเทียน เพราะมีประมุขมาส่งถึงที่ด้วยตัวเอง และไม่อาจเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์อะไร แต่ยังมีศิษย์ฝ่ายในหลาคนที่คิดว่าลองท่านประมุขมอบตำแหน่งและมาส่งถึงที่แบบนี้ ต้องมีความสามารถไม่ธรรมดาแน่นอน
เพราะพวกมันรู้ดีว่าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เก่งกาจทั้งเฉลียวฉลาดแค่ไหน มีหรือจะเข้าใจอะไรผิดและถูกหลอกได้ง่ายๆ?
“หากเจ้ามีเรื่องอะไรที่คิดติดต่อข้า นี่คือลูกแก้ววิญาณของข้า…ส่วนข้าก็ขอลูกแก้ววิญญาณเจ้าไว้สักลูก เพื่อให้ติดต่อเจ้าได้สะดวก”
ต่อมาซุนเหลียงเผิงก็เป็นฝ่ายส่งลูกแก้ววิญญาณให้ต้วนหลิงเทียนก่อน จากนั้นค่อยขอลูกแก้ววิญญาณต้วนหลิงเทียนมาเก็บไว้กับตัวลูกหนึ่ง
พอเห็นว่าซุนเหลียงเผิงเป็นฝ่ายออกปากขอแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณด้วยตัวเองแบบนี้ เหล่าศิษย์ฝ่ายในก็ยิ่งเชื่อว่าเจ้าชุดม่วงหน้าใหม่ผู้นี้ ต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน!
‘สมแล้วที่เป็นสถานที่พักอาศัยและบ่มเพาะพลังของศิษย์ที่แท้จริงนิกายอมตะเป้าผู่…สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่นี่ดีมากจริงๆ’
ลานเล็กๆบนเกาะส่วนตัวของศิษย์ที่แท้จริงนั้น รูปแบบมันก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านลานของศิษย์ฝ่ายในเท่าไร เว้นแต่มันต่างกันในเรื่องสถานที่ และปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศ
ทั้งภายในลานเล็กๆแห่งนี้ ก็มีดอกไม้กับพุ่มไม้เป็นแนวกั้น ยังมีต้นไม้ไม่สูงใหญ่มากมายอะไรปลูกข้างเรือน 2 ต้น
ใต้ต้นไม้เล็กๆต้นหนึ่ง ก็มีชุดโต๊ะหินอ่อนพร้อมเก้าอี้นั่งทรงกลมดูเรียบง่าย ส่วนอีกต้นนั้นปลูกอยู่หน้าเรือนพัก และเรือนพักที่ว่าก็กินพื้นที่ลานเล็กๆแห่งนี้ไปเกือบครึ่งแล้ว
แอ้ด…
ต้วนหลิงเทียนเดินไปที่เรือนหลังเล็กที่เหมือนจะทำมาจากไม้เสียส่วนใหญ่ พอเปิดประตูเข้าไปก็พบเตียงใหญ่หลงังหนึ่งในสายตา นอกจากนั้น…นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว!
และเตียงใหญ่ดังกล่าวไม่ใช่เตียงธรรมดาๆ แต่เป็นเตียงที่ใสประหนึ่งผลึกแก้ว ทั้งแผ่ซ่านไอเย็นออกมาประหนึ่งเตียงน้ำแข็ง
นำแข็งพันปี หรือที่มีอายุมากกว่านั้น จะช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลัง
ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยอยู่ในระนาโลกียะ
“ยังไงก็ตามให้เป็นน้ำแข็งที่มีอายุมากขนาดไหน และช่วยบ่มเพาะพลังได้เพียงใด นั่นก็เป็นเรื่องในระนาบโลกียะ…พอเป็นระนาบเทวโลกมันจะยังมีผลอะไรแบบนั้นอยู่อีกเหรอ? ดูท่าน้ำแข็งนี่จะไม่ธรรมดา…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
สุดท้ายแล้วการฝึกตนวิถีอมตะบนระนาบเทวโลกนั้น ก็ต่างจากการฝึกตนในโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง
“เจ้าหนู นี่มิใช่เตียงน้ำแข็งธรรมดา”
ได้ยินคำพูดพึมพำของต้วนหลิงเทียน เสียงเด็กยังไม่หย่านมของงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ดังขึ้นทันที “หากข้าดูไม่ผิด น้ำแข็งที่ถูกตัดมาทำเตียงหลังนี้ สมควรเป็นน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน…การบ่มเพาะพลังบนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน ทำให้ผู้ฝึกสามารถสงบจิตได้โดยง่าย อีกทั้งยังป้องกันมิให้เกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก”
“นอกจากนั้นกล่าวกันว่า ผู้ที่มีความเข้าใจสูงพอ สามารถอาศัยน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินจนเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งน้ำแข็งจากมันได้”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
“น้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน?”
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาว่าเตียงน้ำแข็งบนระนาบเทวโลก ไม่น่าจะใช่น้ำแข็งอายุมากธรรมดาๆเหมือนบนโลกมนุษย์แน่
พอมีเสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวเตือน ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนได้ยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าว
“กฏน้ำแข็งรึ…”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเรื่องที่เตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินนี่จะช่วยให้เขาสงบใจและป้องกันธาตุไฟเข้าแทรกแม้แต่น้อย เพราะเขาสามารถควบคุมอารมณ์และจิตตัวเองได้เป็นอย่างดีมาแต่ไหนแต่ไร โอกาสธาตุไฟเข้าแทรกนับเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนเรื่องนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สนเรื่องที่มันช่วยให้มีโอกาสเข้าใจกฏน้ำแข็ง!
น้ำแข็งก่อเกิดจากน้ำ หากแต่เย็นกว่าน้ำ
ในระนาบเทวโลก หากผู้ที่มีด่านพลังฝึกปรือเท่ากัน มีวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับเดียวกัน และความสามารถทั้งไหวพริบปฏิภาณไม่แตกต่างกัน ทว่าผู้ที่เข้าใจกฏน้ำแข็ง จะมีเปรียบผู้ที่เข้าใจกฏน้ำ
เพราะถึงแม้น้ำแข็งจะมาจากน้ำ แต่ประหนึ่งสีครามเข้มกว่าสีน้ำเงิน!
อย่างไรก็ตามแม้น้ำแข็งจะมากจากน้ำ หากแต่ความอ่อนโยนยืดหยุ่นกลับด้อยกว่าน้ำ เช่นนั้นกล่าวได้ว่าเมื่อมีขอดีก็มีข้อเสียเช่นกัน
“เย็นจริง!”
ต้วนหลิงเทียนที่ลองนั่งลงบนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินโดยไม่ได้โคจรพลังอะไรเพื่อต้านทานความเย็น เขาก็พบว่าก้นเขานั้นเย็นยะเยือกจับใจ กระทั่งความเย็นดังกล่าวยังแล่นพล่านขึ้นไปถึงสมอง!
ทว่าเพียงห้วงคิดเดียว เมื่อพลังเซียนยอมตะต้นกำเนิดโคจรไหลเวียน ความเย็นดังกล่าวก็ถูกขับออกไปจากร่างในพริบตา…