ตอนที่ 480-1 กระอักเลือดสามลิตร การค้นพบอันยิ่งใหญ่ (1)
ชางจิวกับฮองเฮารีบเร่งมายังป่าผืนเล็กที่ใช้ฝึกเลี้ยงสัตว์ต่อสู้ของวังหลวง
ป่าผืนนี้ปล่อยสัตว์นักล่าที่หายากเอาไว้ไม่น้อย ถึงจะล้อมไว้ด้วยตาข่ายลวด แต่ก็เคยเกิดเหตุที่สัตว์กระโดดออกจากรั้วไปทำร้ายขันทีกับนางกำนัลมาก่อน เพราะพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีคนในวังเข้ามาใกล้มากนัก เหล่าอาจารย์ฝึกสัตว์จะไม่เข้ามาในเวลาที่ไม่จำเป็น ดังนั้นการให้ราชันอสูรมาอยู่ที่นี่ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ยิ่งเข้าใกล้ป่าผืนเล็กก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงพลังอันกล้าแกร่งของราชันอสูร
ชางจิวกล่าวไว้ได้ถูกต้อง ราชันอสูรผู้นี้พอทะลุขีดจำกัดได้แล้วความสามารถเขาสูงกว่าที่ประเมินกันไว้จริงๆ ต้องเกี่ยวข้องกับสภาพร่างกายของเขาแน่นอน แต่กระนั้นก็ย่อมเกี่ยวกับความทุ่มเทตลอดหลายปีนี้ของพวกเขาด้วย
เพื่อให้นักรบมรณะผู้นี้ไต่ระดับขึ้นไปได้สำเร็จ พวกเขาตามหาผู้มีพรสวรรค์กันมาไม่น้อย ทั้งยังคิดค้นยาพิษชั้นดีอีกมาก กระทั่งยาพิษมนุษย์ก็ยังหามาใช้แล้ว ความทุ่มเทที่พวกเขาใส่ลงไป คนที่ไม่เคยประสบกับตัวมาก่อนไม่มีทางเข้าใจ
โชคดีที่ความทุ่มเทของพวกเขาในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์กลับมาแล้ว
ทั้งสองทะยานเข้าไปในป่าด้วยใจที่ยินดียิ่ง กระทั่งบาดแผลและแมลงกู่ในตัวฮองเฮาก็ยังลืมไปก่อนชั่วคราว ขอเพียงมีราชันอสูรผู้นี้ นางจะยังต้องเป็นกังวลเรื่องบาดแผลอีกหรือ
บนท้องฟ้ามีนกที่หนีไม่พ้นตกลงมาเป็นระยะๆ ภาพเช่นนี้มองจากที่ไกลๆ แล้วดูน่าตกใจมากจริงๆ แต่ในสายตาฮองเฮากลับเป็นภาพที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้
ขุมพลังอีกระลอกหนึ่งเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง
ทั้งสองพลันตัวสั่นสะท้าน
ในใจชางจิวเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ “ข้ามได้แล้ว! เขาข้ามได้แล้ว! นายท่าน! ท่านมีราชันอสูรแล้ว!”
นัยน์ตาฮองเฮามีประกายวาววับอย่างยากจะปกปิด
แต่วินาทีต่อมา ขุมพลังอันทรงอำนาจนั้นก็พลันหยุดชะงัก
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับราชันอสูร”
ชางจิวครุ่นคิด “เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นถึงราชันอสูร ราชันอสูรจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร”
พอพูดจบ ขุมพลังที่เป็นของราชันอสูรแต่เพียงผู้เดียวก็เคลื่อนตัวกวาดพิภพเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนหลายเท่านัก
ชางจิวทนกำลังภายในเช่นนี้ไม่ไหว จึงจำต้องหยุดฝีเท้าของตนไว้ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากหน้าผาก ฮองเฮาที่อยู่บนหลังหนักขึ้นเป็นพันจินขึ้นมาในบัดดล เขารู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำหนักตัวของฮองเฮา แต่เป็นแรงกดดันจากราชันอสูร
เขาถูกกดเอาไว้จนไม่อาจขยับตัว ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้
ความสามารถของราชันอสูรขั้นหก ขึ้นสู่จุดสูงสุดโดยแท้จริง!
แรงกดดันรอบนี้อันที่จริงดำเนินอยู่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่สำหรับชางจิวแล้ว คล้ายผ่านไปนานชั่วกัปชั่วกัลป์
ตอนที่ขุมพลังอันรุนแรงหายไปในที่สุดนั้น ชางจิวเหงื่อแตกพลั่กทั่วตัว มองเผินๆ คล้ายเพิ่งหิ้วตัวเขาขึ้นมาจากน้ำ
อาการของฮองเฮาก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก แต่นางไม่นึกกังวล ในทางกลับกัน นางยังอยู่ในอารมณ์ยินดียิ่งอีกด้วย ราชันอสูรที่พลังมหาศาลเช่นนี้ วันหน้านางจะได้มีเขาไว้ใช้งาน คิดดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจนไม่อาจเอื้อนเอ่ย
แต่กระนั้นนางยินดีอยู่ได้ไม่นานเท่าไรนัก ก็เห็นว่าข้างหน้าห่างไปไม่ไกล มีบุรุษผู้หนึ่งร่างกายบึกบึนกำยำ สวมใส่เกราะเหล็กสีน้ำตาลพร้อมเกราะศีรษะ กำลังเดินออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมพลังอำนาจที่รุนแรง
ทุกที่ที่เขาไป สัตว์ทั้งปวงต้องสิโรราบ นกนับร้อยต้องพลันเงียบสงบ
นอกจากราชันอสูรแล้ว ยังจะมีผู้ใดที่มีรัศมีน่าเกรงกลัวเช่นนี้อีก
ฮองเฮาตื่นเต้นยิ่งนัก ใจเต้นตุบตับๆ แทบจะกระดอนออกมา
บนศีรษะเขาเหมือนเทินอะไรบางอย่างอยู่ ฮองเฮาตั้งสติได้แล้วถึงได้เห็นชัดเจนว่านั่นคือแม่นางน้อยคนหนึ่ง!
บนคอของราชันอสูรมีแม่นางน้อยคนหนึ่งขี่อยู่เชียวหรือ!
ไม่ใช่เพียงบนลำคอที่มีแม่นางน้อยขี่อยู่คนหนึ่งเท่านั้น ด้านหลังเขายังมีสิงโตลายเสือตัวหนึ่งเดินตูดบิดตามมาอยู่ด้วย
ฮองเฮาชะงักงัน นี่มันอะไรกัน
ชางจิวจำอีกฝ่ายได้ จึงพูดติดอ่างขึ้นมาทันที “นั่น นั่น นั่นคือนังหนูของบ้านตระกูลจี!”
นางมาอยู่กับราชันอสูรได้อย่างไร ซ้ำยังขี่อยู่บนคอราชันอสูรเสียอีก!
ราชันอสูร “โฮ่งๆๆๆๆ!”
วั่งซู “โฮ่งๆๆๆๆๆ!”
ที่ราชันอสูรพูดคือ แม่นางน้อย บนต้นไม้นี้มีผลไม้อยู่!
ที่วั่งซูพูดคือ…วั่งซูก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปเหมือนกัน สรุปก็คือตอนราชันอสูรพานางขี่คอไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งนั้น พอเห็นผลไม้ลูกแดงๆ ส่งประกายเหล่านั้นแล้ว นางก็อดใจไม่ไหว เด็ดออกมาพวงหนึ่ง ให้ตนเองกินลูกหนึ่ง ให้ราชันอสูรกินลูกหนึ่ง
ราชันอสูรเลยเข้าใจว่านายหญิงของตนฟังเข้าใจ
ส่วนฮองเฮากับชางจิวเห็นอย่างนั้นก็ถึงกับตาค้าง
ราชันอสูรโหดร้ายกระหายเลือด เหตุใดถึงมาอยู่กับเด็ก….
ฮองเฮาเอ่ยเสียงเย็นว่า “วางข้าลง”
ชางจิววางฮองเฮาลงกับพื้นด้วยความระมัดระวัง
ฮองเฮาเดินเข้าไปหาราชันอสูร ยกมือขึ้นด้วยท่าทางดุดัน นางชี้ไปทางวั่งซูน้อยที่กำลังตั้งสมาธิกัดผลไม้อยู่ ไม่ได้สนใจสักนิดว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ “ฆ่านางให้…”
คำว่า “ฆ่า” ยังไม่ทันออกจากปาก นางก็ถูกรัศมีอันกล้าแข็งของราชันอสูรกระแทกออกไปไกลเป็นสิบลี้แล้ว
ฮองเฮาตัวกระแทกกับต้นไม้ก่อนจะตกหนักๆ ลงกับพื้น
นางมองราชันอสูรอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ราชันอสูร…ดูเหมือนจะจำนางไม่ได้จริงๆ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
นี่เป็นอาวุธสังหารชั้นดีที่นางฝีกปรือมาด้วยความยากเข็นเชียวนะ นางทุ่มเทไปเท่าไร สูญเสียนักรบมรณะไปเท่าไร แล้วยังเสียหายของล้ำค่ากับยาพิษไปตั้งมากเท่าไรกว่าในที่สุดจะได้ราชันอสูรที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้มาสักคน
แต่มาถึงตอนท้าย เขากลับจำนางไม่ได้แล้ว?
“ราชันอสูร!” นางเอ่ยตะคอก
“โฮก…” ราชันอสูรหันมามองนางด้วยสายตาดุดันก่อนจะคำรามเสียงก้องฟ้าออกมา
นั่นเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างไม่มีปิดบัง ทำให้ฮองเฮารับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าราชันอสูรจำนางไม่ได้จริงๆ
แค่คิดว่าตนลำบากทุ่มเทเลือดตาแทบกระเด็น แต่กลายเป็นเย็บชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ฮองเฮาก็ฝืนทนต่อไปไม่ไหวอีก กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำโตทันที…
…
เขาหมั่งฮวง เมืองหลวงเยี่ยหลัวจุดที่อันตรายและร้างไร้ผู้คนมากที่สุด คล้ายมีปราการธรรมชาติปกป้องชายแดนทางเหนือของเยี่ยหลัวเอาไว้อย่างมิดชิด ด้านหลังเขาหมั่งฮวงยังมีแคว้นเมืองอื่นอยู่อีกหรือไม่ ก็ไม่เคยมีใครไปพิสูจน์มาก่อน เพราะถึงอย่างไรในบันทึกที่จดกันมาจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีใครข้ามทิวเขาหมั่งฮวงนี้ได้สำเร็จมาก่อน
จีหมิงซิวเดินทางออกจากจวนอ๋องไปหลังมื้อกลางวัน การเดินทางในครั้งนี้ต้องเป็นไปอย่างลับๆ เขาไม่ได้พาทหารราชองครักษ์ไปด้วย ให้แค่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานเดินทางไปด้วย ส่วนสือชีเขาให้อยู่คอยรักษาการณ์ที่ฟางชุ่ยหยวน
ในเยี่ยหลัวทุกทิศมีแต่ความอันตราย จุดที่ควรระมัดระวัง จีหมิงซิวไม่มีทางประมาทเด็ดขาด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขับรถม้าวนไปวนมาอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าตรงจุดหนึ่งของเขาหมั่งฮวง ที่บอกว่าเป็นทางเข้าอันที่จริงก็ออกจะฝืนไปสักหน่อย แต่หากผ่านไปทางนี้จะสามารถไปถึงค่ายใต้ดินของนักรบมรณะได้เร็วที่สุด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจอดรถม้าไว้ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วมัดเชือกไว้
รถม้าคันนี้เช่ามาจากโรงรถม้าข้างนอก ต่อให้มีคนพบเข้าก็สืบอะไรไม่ได้
“ยา กริช ควันพรางตา…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตรวจดูของต่างๆ ที่พกมาเสร็จก็ปรบมือ “เอาล่ะ! เข้าไปได้แล้ว!”
ทั้งสามคนไม่มีใครมาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงเข้าไปหาค่ายใต้ดินที่เปลี่ยนเป็นลานไม้ไปแล้วได้อย่างคุ้นทาง
“สามารถเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ในชั่วข้ามคืน สตรีนางนั้นก็เก่งพอตัวทีเดียว” ไห่สือซานเอ่ยยิ้มๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นลมหายใจ “เก่งบ้าบออะไรกัน ก็เป็นแค่หนี!”
ไห่สือซานเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าลองหนีให้ข้าดูสักครั้งไหมเล่า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำหน้าดุ “เอ๊ะ นี่เจ้าอยู่พวกใครกันแน่ ช่วยใครแก้ตัวอยู่หรือ”
ไห่สือซานตบไหล่อีกฝ่าย “ข้าแค่พูดไปตามเนื้อผ้า นางเป็นศัตรูกับนายน้อยได้ ไม่มีทางที่นางจะไม่มีความสามารถเลย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดึงมืออีกฝ่ายออก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าระวังเถิด เยินยอมากๆ เข้าเดี๋ยวจะโดนถีบเสียเอง!”
จีหมิงซิวไม่ผสมโรงกับสองคนนั้นด้วย เขายืนมองอยู่นอกลานไม้พักหนึ่ง “ไปที่หมู่บ้านกันเถิด”
ไห่สือซานนำทาง พาจีหมิงซิวที่ไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ลืมไปเกือบหมดแล้วเดินเร็วๆ เข้าไปในทิวเขาทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินไปเกาศีรษะไป “เฮ่อ เจ้าจำได้อย่างไรนะ”
ไห่สือซานแหวกเปิดต้นหญ้า “ข้าทำสัญลักษณ์ไว้”
“ข้าก็ว่าอยู่ สถานที่ประหลาดเช่นนี้ต่อให้มาเป็นร้อยครั้งก็ยังหลง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ได้กล่าวเกินจริง ในทิวเขานี้มีจุดที่หน้าตาคล้ายป่ามากเกินไปจริงๆ ทางแยกก็มาก หากไม่ระวังเพียงนิดก็จะหลงทิศเอาได้ง่ายๆ
พวกเขาเดินผ่านถ้ำที่ฟู่เสวี่ยเยียนให้กำเนิดบุตร ไห่สือซานยังตั้งใจบอกเล่าให้จีหมิงซิวฟังอย่างยิ่งใหญ่ว่านี่เป็นสถานที่เกิดของคุณหนู
จีหมิงซิว “จะให้ให้รางวัลเจ้าหรือ”
ไห่สือซาน “แค่ก~”
พวกเขาเดินผ่านถ้ำแล้วเดินผ่านส่วนลึกของทิวเขาเข้าไป หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ปีนขึ้นไปถึงยอดเขา และมาถึงหน้าสะพานหินที่เคยทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อมาก่อน
*********************************