WSSTH ตอนที่ 3,057 : มันถูกข้าฆ่าตาย

ณ นิกายอมตะเป้าผู่ ภายใต้เขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว

ภายในหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง เจิ้งหงอี้กับหวังหงนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนตัวเดียวกัน เฝ้ารอให้นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดติดต่อกลับมา

“ไฉนถึงได้ช้านักเล่า?”

หวังหงขมวดคิ้วกล่าวบ่น “ด้วยพลังฝีมือของมัน คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย ป่านนี้ก็น่าจะส่งข่าวกลับมาแล้วไม่ใช่รึไง?”

“ข้าก็ว่างั้น”

เจิ้งหงอี้เองก็รู้สึกว่านักฆ่าของกะโหลกเลือดช้าแปลกๆ “มันคงไม่สงสัยรายงานที่ข้าส่งไปหรอกนะ คงไม่คิดรอดูเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีใครไปกับต้วนหลิงเทียนอะไรทำนองนั้น?”

“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

หวังหงกล่าว

“เจ้าก็ลองส่งข้อความถามมันดูสิ”

หวังหงแนะ

เจิ้งหงอี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย

แต่ครู่ต่อมา หวังหงที่รอให้เจิ้งหงอี้ติดต่อนักฆ่าของกะโหลกเลือด นางก็พบว่าอยู่ๆใบหน้าเจิ้งหงอี้พลันชะงักค้าง แถมสีหน้าแววตายังเปลี่ยนไปกะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้น?”

หวังหงขมวดคิ้ว ในใจเริ่มบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง

“มัน…มันตายแล้ว!”

เติ้งหงอี้กล่าวตอบเสียงสั่น ร่างมันก็เริ่มสั่นไปเบาๆ ลูกตาหดเล็กลงแทบปิด ราวกับได้พบอะไรบางอย่างที่น่ากลัวสยดสยอง

“ว่าอะไร!?”

ในขณะที่หวังหงกำลังตกใจกับคำพูดของเจิ้งหงอี้ นางก็เหินว่าเจิ้งหงอี้สะบัดมือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏเศษซากลูกแก้ววิญญาณกองอยู่ในฝ่ามือ

จากนั้นเสียงตื่นตระหนกของเจิ้งหงอี้ก็ดังขึ้น “นี่…นี่เป็นลูกแก้ววิญญาณของนักฆ่าองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่ข้าใช้เป็นสื่อเพื่อติดต่อทางวิญญาณ”

“ตาย…มันตายแล้ว? ไฉนมันถึงตายได้เล่า!”

หวังหงมองจ้องซากลูกแก้ววิญญาณอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “หรือต้วนหลิงเทียนนั่นมันติดต่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เจ้า? และอาจารย์เจ้าก็ไม่ได้ใช้คนที่อยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ แต่เลือกจะติดต่ออาวุโสที่ไปทำงานนอกนิกายให้ไปช่วยต้วนหลิงเทียน?”

ตอนนี้หวังหงก็มีแต่เดาไปในทำนองนี้เท่านั้น

เพราะต่อให้หลับนางก็ไม่อาจฝันถึง ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นคนลงมือสังหารนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดด้วยตัวเอง!

“ข้าไม่รู้…”

เจิ้งหงงอี้ส่ายหัวไปมา สีหน้ามันมืดคล้ำดำลง ยากจะฟื้นสติอยู่นาน

“เจ้าไม่ลองติดต่อนายน้อยเฉินนั่นดูเล่า…นักฆ่าของพวกมันตายแบบนี้ พวกมันก็น่าจะรู้ได้ทันที นอกจากนั้นไม่แน่ก่อนที่นักฆ่านั่นจะตาย มันอาจจะส่งข้อความแจ้งสาเหตุการล้มเหลวกลับไป”

หวังหงที่สงบสติได้เร็วกว่า เร่งกล่าวเตือนเจิ้งหงอี้ออกมาทันที

พอได้ยิน เจิ้งหงอี้ก็เร่งหยิบลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งออกมา จากนั้นก็ใช้ยันต์อมตะสื่อสารโดยใช้ลูกแก้ววิญญาณดังกล่าวเป็นสื่อทันที

เจ้าของลูกแก้ววิญญาณในมือ ก็คือเฉินหลี ลูกนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด

“นายน้อยเฉิน…ลูกแก้ววิญญาณของนักฆ่าที่องค์กรท่านส่งมาในมือข้าบัดนี้ได้แตกไปแล้ว นักฆ่าของท่านคงตายไปแล้วไม่ผิดแน่”

เจิ้งหงอี้กล่าวรายงานเรื่องราวก่อน จากนั้นก็ถามต่อออกไปตรงๆทันที “ด้านท่านได้รับข้อความก่อนตายของนักฆ่าผู้นั้นหรือไม่?”

หลังจากส่งสัญญาณไปแล้ว เจิ้งหงอี้กับหวังหงก็นั่เฝ้ารอการติดต่อกลับมาด้วยกัน

“เจิ้งหงอี้…เจ้าว่าก่อนที่นักฆ่าผู้นั้นจะตาย มันได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนไปแล้วหรือยัง?”

หวังหงหันไปมองถามเจิ้งหงอี้ หน้างามของนางบัดนี้เป็นกังวลไม่น้อย

“ข้าไม่รู้…”

เจิ้งหงอี้ส่ายหัวไปมา “ตอนนี้เราได้แต่รอให้นายน้อยเฉินติดต่อกลับมาก่อน จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และก่อนตายนักฆ่าผู้นั้นได้ทิ้งข้อความไว้หรือไม่”

“ตอนนี้ข้าหวังแค่ว่า ก่อนที่นักฆ่านั่นจะถูกฆ่าตาย มันจะส่งข้อความสุดท้ายก่อนตายกลับไปองค์กรเพื่อรายงานสถานการณ์ได้ทัน…”

หลังเจิ้งหงอี้พูดจบ มันก็เฝ้ารออย่างเงียบๆ

หวังหงที่พยักหน้ารับก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงนั่งรอเงียบๆเหมือนกัน

ยิ่งเวลาไหลผ่านไปนานเข้า สีหน้าเจิ้งหงอี้กับหวังหงก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นตึงเครียดจริงจัง

“มาแล้ว!”

ทันใดนั้นสองตาเจิ้งหงอี้ก็สว่างวาบขึ้น ลูกตากลมใสของหวังหงก็ทอประกายเรืองขึ้นเช่นกัน นางหันไปมองจ้องรอฟังเรื่องราวจากเจิ้งหงอี้ทันที

ครู่ต่อมานางพบว่าท่าทีเจิ้งหงอี้เปลี่ยนไปไม่สู้ดี แถมแววตายังสั่นพร่า สีหน้ายิ่งมายิ่งเสียขวัญ

“เกิดอะไรขึ้น?”

หวังหงเร่งถาม

ทว่าเจิ้งหงอี้ไม่ได้ตอบอะไรนาง เพราะมันยังคงตกใจกับข้อความที่พึ่งได้รับจากเฉินหลีไม่หาย

“เจิ้งหงอี้ นักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเราทำพลาด…ตามกฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด พวกเราจะดำเนินภารกิจต่อไปจนจบ และค่าจ้างจะลดลงครึ่งหนึ่ง”

“นักฆ่าที่ลงมือพลาดได้รับค่ามัดจำครึ่งหนึ่งไปแล้ว กล่าวได้ว่าเมื่อรวมกับค่าจ้างที่ทางเราลดให้อีกครึ่งนึง เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างอะไรอีก”

“สำหรับต้วนหลิงเทียนนั่น ทางเราจะส่งนักฆ่าคนใหม่ออกไปจัดการมันต่อ…อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นทางเรายังต้องขอความร่วมมือจากเจ้าต่อ”

ทั้งหมดคือข้อความที่เฉินหลีส่งตรงมาถึงวิญญาณมัน

“นายน้อยเฉิน แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าคนที่สังหารนักฆ่าขององค์กรท่านเป็นใคร ใช่ยอดฝีมือของนิกายอมตะเป้าผู่เราหรือไม่?”

หลังหายตื่นตระหนกจากข้อความของเฉินหลีแล้ว เจิ้งหงอี้ก็เร่งหยิบยันต์อมตะสื่อสารทางวิญาณมาบดขยี้เพื่อติดต่อกลับไปอีกชิ้น

“ไม่”

เฉินหลีติดต่อกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย และเป็นการปฏิเสธที่จะตอบเจิ้งหงอี้ชัดเจน “เจ้าไม่ต้องสนใจว่ามันตายยังไง…เจ้ารู้แค่ว่าองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเราจะทำงานต่อให้ลุล่วงเท่านั้นพอ”

เมื่อได้รับทราบข้อความดังกล่าวของเฉินหลีเจิ้งหงอี้ก็ชักหน้าอัปลักษณ์ทันที ไม่กล้าถามเซ้าซี้อะไรอีก

“เจิ้งหงอี้ นายน้อยเฉินตอบมาแล้วใช่ไหม?”

หวังหงถาม

“อืม”

ในที่สุดเจิ้งหงอี้ก็คืนสติ มันพยักหน้าเบาๆกล่าวตอบเสียงหนัก “นายน้อยเฉินแค่บอกว่านักฆ่านั่นล้มเหลว…อย่างไรก็ตามทางองค์กรกะโหลกเลือดจะส่งนักฆ่าคนใหม่มาจนกว่าต้วนหลิงเทียนจะตาย!”

“ล้มเหลว!?”

หน้าหวังหงจมลงทันที “แล้วมันได้บอกหรือไม่ว่าล้มเหลวเพราะอันใด ใช่คนที่จัดการนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดเป็นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่เราไหม?”

“ที่เจ้าว่ามาข้าถามไปหมดแล้วแต่มันไม่ได้ตอบอะไร แค่บอกว่ากะโหลกเลือกจะดำเนินภารกิจต่อจนกว่าต้วนหลิงเทียนจะถูกฆ่าตายเท่านั้น”

เจิ้งหงอี้ตอบ

หลังกล่าวจบเจิ้งหงอี้ก็มองกล่าวกับหวังหงต่อว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง…นักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดต่อให้ต้องตายก็ไม่มีทางขายข้ากับเจ้าออกไปแน่นอน”

“เรื่องนี้ข้าย่อมเชื่อ ด้วยชื่อเสียงขององค์กรกะโหลกเลือดไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลพวกเราแน่”

หลังหวังหงกล่าวจบคำ นางก็หยีตามองเจิ้งหงอี้พลางกล่าวต่อเสียงเข้ม “เจิ้งหงอี้ เท่าที่ข้ารู้มา องค์กรกะโหลกเลือดมีกฏอยู่ข้อหนึ่ง…”

“หากการลงมือครั้งแรกพลาด ไม่เพียงพวกมันจะส่งนักฆ่ามาดำเนินภารกิจต่อจนจบ…แต่ค่าจ้างที่ต้องจ่ายยังลดลงครึ่งนึงด้วยใช่ไหม?”

กล่าวจบคำ หวังหงก็มองจ้องเจิ้งหงอี้ตาเขม็ง

ได้ยินคำถามของหวังหง เจิ้งหงอี้ก็ลอบกระอักเลือดในใจเพราะสุดท้ายมันก็ต้องจ่ายอยู่ดี หลังจากลอบระบายลมหายใจอย่างลับๆ มันก็สะบัดมือเรียกเกราะอมตะระดับราชาทั่วไปออกมาส่งให้หวังหง 2 ชิ้น

หวังหงก็รับมาด้วยความพึงพอใจ

“หวังหง…นายน้อยเฉินบอกว่า นักฆ่าที่จะมาลงมือต่อ ยังอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเรา”

“หากเจ้าไม่คิดมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อีกต่อไป เจ้าคืนเกราะอมตะ 2 ชิ้นนั่นมาให้ข้าก็ได้ แล้วข้าจะจัดการเรื่องหลังจากนี้ต่อเอง”

เจิ้งหงอี้ย่อมไม่อยากเสียเกราะอมตะระดับราชา 2 ชิ้นไป จึงพยามจะเอามันกลับ

“เหลวไหล!”

อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวของเจิ้งหงอี้ ก็ถูกหวังหงกล่าวเย้ยกลับมาทันที “เจิ้งหงอี้ องค์กรกะโหลกเลือดอย่างไรก็ไม่มีทางทรยศข้า และเจ้าก็ไม่อาจทรยศข้าได้…แล้วไฉนเจ้าถึงคิดว่าจะมีเจ้าคนเดียวที่จะร่วมมือกับนักฆ่าเพื่อจัดการต้วนหลิงเทียนต่อเล่า?”

ขณะกล่าวหวังหงก็สะบัดมือเก็บเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 2 ชิ้นลงแหวน

“หวังหง หากข้าจำไม่ผิด…”

ทันใดนั้นเอง คล้ายเจิ้งหงอี้นึกอะไรได้ออก สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันที “เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาจากจอมราชันอมตะที่เจ้าจ่ายเป็นค่ามัดจำให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่น…ใช่เกราะตัวที่อาวุโสใหญ่ได้มาจากคฤหาสน์เฉวียนโยวรึเปล่า?”

“ใช่ ทำไมหรือ?”

หวังหงมองเจิ้งหงอี้ด้วยสายตาว่างเปล่า ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนอยู่ดีๆเจิ้งหงอี้ถึงถามเรื่องนี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ก็ในเมื่อนักฆ่านั่นมันถูกฆ่าตาย เช่นนั้นสิบในสิบไม่พ้นคนที่ฆ่ามันก็ต้องงเอาแหวนมันไปด้วย…หากคนที่ลงมือฆ่ามันและได้แหวนไปเป็นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่เรา หลังเจอเกราะนั่นในแหวนนักฆ่า ยังจะจำไม่ได้อีกเหรอว่าเป็นเกราะที่อาวุโสใหญ่ได้มาจากคฤหาสน์เฉวียนโยว?”

เจิ้งหงอี้มองหวังหงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวออกเสียงหนัก

พอได้ยินวาจาถามไถ่ประโยคนี้ของเจิ้งหงอี้ สีหน้าหวังหงก็เปลี่ยนไปทันใด ด้วยนางตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์แล้ว!

เกราะอมตะที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะที่นางให้นักฆ่านั่นไปเป็นค่ามัดจำ เป็นปู่นางได้มากจากคฤหาสน์เฉวียนโยวและให้นางอีกที ซึ่งเกราะอมตะระดับราชาที่คล้ายเถาวัลย์แก้วนั่น…มีอาวุโสแทบทุกคนในนิกายที่รู้ว่าเป็นของปู่นาง!

“หวังหง ข้าว่าเรื่องนี้เจ้ารีบไปหารือกับปู่เจ้าเถอะ…หากเรื่องมันแดงขึ้นมาจริงๆ ถ้าไม่มีปู่เจ้าคอยช่วยแก้ต่างอีกคน ข้าเกรงว่าเจ้าจะรอดตัวได้ยาก”

เจิ้งหงอี้กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงแตกตื่น

เพราะหากหวังหงไม่อาจรอดพ้นเรื่องนี้ ด้วยนิสัยของหวังหง ไม่พ้นต้องซัดทอดมันแน่นอน!

และนั่นเป็นอะไรที่มันไม่อยากจะเห็น!

“ข้าจะรีบไปหาท่านปู่!”

และแทบจะพร้อมกันกับที่เจิ้งหงอี้กล่าวจบคำ หวังหงก็ลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็เร่งเหินร่างไปหาปู่นาง อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ทันที

‘ไม่คิดเลยว่าแค่จะฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งกลับเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้…และหากคนที่จัดการนักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นไปเป็นอาวุโสนิกายอมตะเป้าผู่จริง ป่านนี้เรื่องคงไปถึงหูอาจารย์แล้วกระมัง?’

หลังหวังหงจากไป สีหน้าเจิ้งหงอี้ก็ทวีความเคร่งเครียดขึ้นไปอีก

ขณะเดียวกัน

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็บึ่งตรงไปหาประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิงถึงที่พักอีกฝ่ายทันที

“ต้วนหลิงเทียน เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ มีอันใดหรือ?”

ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม

“ประมุข…”

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องราวของนักฆ่ากะโหลกเลือดออกไปให้อีกฝ่ายฟังทันที

“อะไร!?”

“นักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด!?”

พอซุนเหลียงเผิงได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนถูกนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดล่อออกไปฆ่า สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไฉนเจ้าไม่มาหาข้าแต่แรกเล่า?!”

ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม

“ข้ากลัวว่าฮ่วนเอ๋อจะอยู่ในมือของมันจริงๆ และหากมันมีวิธีตรวจสอบความเคลื่อนไหวในนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมา ข้าบอกท่านไป ไม่เท่ากับผลักฮ่วนเอ๋อลงกองไฟรึไง?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?”

ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถามอีกรอบ

ถึงแม้มันจะเหงื่อตกเพราะเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเล่ามา แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนยังกลับมาเล่าเรื่องราวให้มันได้อย่างปลอดภัย มันก็รู้ดีว่านักฆ่าคนนั้นลงมือไม่สำเร็จ

“หลังจากนั้นเหรอ…”

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง น้ำเสียงยังกลายเป็นเฉยเมยไร้อารมณ์ “มันถูกข้าฆ่าตาย”