War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3061
หลังจากที่เจิ้งหงอี้กลับมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว วันๆมันก็ไม่คิดจะทำอะไรเอาแต่ลอบจับตาดูความเคลื่อนไหวเกาะลอยสำหรับศิษย์ที่แท้จริงเกาะที่ต้วนหลิงเทียนพักอาศัยอยู่

ในขณะที่จับตาดูความเคลื่อนไหว มันก็ครุ่นคิดหาวิธีล่อต้วนหลิงเทียนให้ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไม่หยุด

อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่มันก็ไม่อาจหาวิธีที่จะใช้ล่อต้วนหลิงเทียนให้ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ได้เลย ‘ดูเหมือนข้าจะถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับโอสถจวินจี่ 10 ขมวดนั่นแล้ว…’

เจิ้งหงอี้ได้แต่ลอบทอดถอนในใจ

ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ก็เก็บตัวอยู่ในห้องทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟไม่ไปไหนเลย

ด้วยความช่วยเหลือทั้งได้เพลิงเทพโกลาหลชี้แนะ ความคืบหน้าในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของต้วนหลิงเทียนก็ดำเนินไปด้วยความเร็ว

วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

ชั่วพริบตา เวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก 5 เดือนแล้ว นับจากวันที่ต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเข่นฆ่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไป

ซู่มม!

ฟู่ววว!!

ภายในห้องหับแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างอันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงกำลังวูบไปซ้ายทีขวาทีด้วยความเร็วสูง ทั้งควบคุมพลังได้อย่างแยบคายไม่มีพุ่งชนทำลายผนังห้องแม้แต่น้อย

ผ่านไปพักหนึ่งร่างที่พึ่งตัววูบไปวาบมาในห้องหับ ก็หยุดลอยค้างกลางห้องนิ่งๆ และเผยให้เห็นร่างที่อยู่ภายใต้เปลวเพลิงชัดเจน

เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดสีม่วง

“ยัง…เร็วได้อีก!”

ชายหนุ่มชุดม่วงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และแทบจะทันทีที่กล่าวพึมพำจบลง ทั่วร่างก็เริ่มสั่นไหวอีกครา คล้ายกำลังหลอมรวมผสานเข้ากับเปลวเพลิงที่ลุกโชนท่วมกาย จากนั้นคนก็เริ่มพุ่งตัวไปมาด้วยความเร็วที่สูงล้ำกว่าเดิม!

ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม! ซู่มม!

คราวนี้ในห้องหับปรากฏลูกไฟวูบไปวาบมาด้วยความเร็วที่สูงล้ำมากขึ้น คลื่นความร้อนทั้งแรงอัดอากาศจากการเคลื่อนไหว ก็เริ่มอาละวาดไปทั่วห้องหับ หน้าต่างประตูสั่นสะเทือนเลือนลั่นราวจะปลิวหลุดได้ทุกเมื่อ คงเหลือแต่เพียงเตียงน้ำแข็งที่ตั้งชิดผนังห้องด้านหนึ่งเท่านั้นที่แน่นิ่งไม่ไหวติงปานภูผา

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดีจะพบว่าตอนนี้ตัวเตียงน้ำแข็งก็ได้สั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงมาก แต่ไม่ถึงกับชัดเจนเท่าประตูหน้าต่าง

“นี่น่ะเหรอพลังความลึกซึ้งขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น? ไม่ธรรมดาจริงๆ!”

เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำวูบวาบไปมา ได้หยุดลงกลางห้องอีกครั้ง ร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงก็เผยให้เห็นชัดอีกครา และขณะที่พึมพำกับตัวเองรอบนี้ รอยยิ้มสดใสก็เริ่มคลี่กางขึ้นบนใบหน้า

ชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่าย่อมเป็น ต้วนหลิงเทียน

หลังปิดด่านไป 5 เดือน ด้วยมีความช่วยยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น!

ความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟนั้น ก็พอๆกันกับความลึกซึ้ง ลมกรด ของกฏแห่งลม ไม่เพียงแต่จะเสริมความเร็วในการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการจู่โจมให้ทรงพลังมากขึ้นอีกด้วย!

และการเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแบบนี้ ยังเป็นการบ่งบอกอีกว่าต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจเวทย์พลังระดับราชาที่แฝงความลึกซึ้งลุกโหมได้ถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเรียบร้อย

ในวันที่ไปเยือนหอตำรา ต้วนหลิงเทียนก็ได้เลือกวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมาทั้งสิ้น 5 อย่าง ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกกฏแห่งไฟได้ 5 ประการนอกเหนือจากความหมายแห่งไฟ

และในตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าใจความลึกซึ้งหนึ่งประการแล้ว

‘ไปหาก่วงหลินหน่อยดีกว่า’

หลังเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนอารมณ์ดีไม่น้อย จึงเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูห้องออกมา เจิ้งหงอี้ที่เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเกาะส่วนตัวต้วนหลิงเทียนอยู่ก็รับทราบได้ทันที สองตามันยังทอแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง

ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจบอกได้ว่าเจิ้งหงอี้กำลังจับตาดูเขาอยู่ เพราะทันทีที่เขาเปิดประตูออกจากห้อง เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมายหลายร้อยคู่ แน่นอนว่าสายตาแทบทุกคู่ล้วนมองมาด้วยความอิจฉาทั้งสิ้น

หลิวก่วงหลินนั้นก็ได้ถูกคนที่ซุนเหลียงเผิงเรียกหาว่าน้องรอง รับตัวจากประเทศระดับ 8 อย่างประเทศฝูชิวของแดนพันประเทศอันห่างไกล และพามาถึงนิกายอมตะเป้าผู่นานแล้ว แต่เป็นธรรมดาว่าหลิวก่วงหลินไม่ได้พักอาศัยอยู่ในเขตที่พักของศิษย์ฝ่ายใน ซุนเหลียงเผิงได้จัดที่พักให้มันไปอาศัยรวมกับผู้ติดตามไม่เว้นข้ารับใช้ของศิษย์ที่แท้จริงคนอื่นๆที่หุบเขาแห่งหนึ่ง

หุบเขาแห่งนั้น ยังเป็นสถานที่ๆมีไว้รับรองแขกของนิกายอมตะเป้าผู่อีกด้วย สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนับว่าดีทีเดียว ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสภาพแวดล้อมของสถานที่พักของศิษย์ฝ่ายในเลย

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่หลิวก่วงหลินมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่ จวบจนวันนี้ก็ยังไม่ได้พบกับต้วนหลิงเทียนสักครั้ง

อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่เคยมาหาหลิวก่วงหลิน แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่เรียบร้อย พอติดต่อไปถามที่อยู่อีกฝ่ายจากซุนเหลียงเผิง เขาจึงทราบตำแหน่งที่พักของหลิวก่วงหลินทันที

ฟุ่บ!

ร่างต้วนหลิงเทียนโจนทะยานขึ้นฟ้า ทิ้งหุบเขากว้างใหญ่เอาไว้เบื้องหลัง ไม่นานก็หายไปจากสายตาของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน

“มันไปไหนกัน?”

เห็นต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกจากเกาะลอย ลูกตาเจิ้งหงอี้ก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นก็รีบติดต่อไปหานักฆ่ากะโหลกเลือดทันที “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เดินทางออกจากสถานที่พัก และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก…แต่ไม่ทราบว่ามันจะออกไปนอกนิกายอมตะเป้าผู่หรือไม่”

“ตอนนี้ระดับพลังของมันสมควรอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ ข้าไม่กล้าตามมันไป…”

ฟังจากข้อความที่เจิ้งหงอี้ส่งไปหานักฆ่ากะโหลกเลือด เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คนใจร้อน และไม่ถูกโอสถจวินจี่ 10 ขวดล่อจนขาดความยับยั้งชั่งใจ!

“มันกลับมาแล้ว?”

ราวๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมาเจิ้งหงอี้ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนเหินร่างกลับมาแล้ว มันก็รีบติดต่อไปหานักฆ่ากะโหลกเลือดอีกครั้งทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไปเสียเวลาเฝ้ารออย่างเปล่าประโยชน์

เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเสียเวลารอเก้ออะไรจริงๆ

อย่างไรก็ตามมันแค่คำนึงถึงเรื่องที่หากอีกฝ่ายไปเสียเวลารอเก้อเพราะการแจ้งของมัน อาจทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความไม่พอใจและมีโมโหมันขึ้นมา

นั่นไม่ใช่อะไรที่มันอยากจะเห็นเลย

‘หลิวก่วงหลินมาอยู่นิกายอมตะเป้าผู่ไม่ทันถึงปี ก็เข้าใจความหมายแห่งดิน อันเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแล้ว’

หลังกลับมาถึงที่พักต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจ ด้วยไม่คิดว่าหลิวก่วงหลินเองก็มีความเข้าใจในระดับสูงแบบนี้

เพราะการไปเยี่ยมหลิวก่วงหลินคราวนี้ ทำให้เขารับทราบว่าอีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินอย่างความหมายแห่งดินเรียบร้อยแล้ว

ต้องทราบด้วยว่าถึงตัวเขาจะเข้าใจความหมายแห่งดินได้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน แต่นั่นเป็นเพราะเขามีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินคอยช่วยเหลือ

แต่หลิวก่วงหลินไม่มีปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินช่วยเหลือเหมือนเขา

และเวทย์พลังระดับราชาธาตุดินที่หลิวก่วงหลินกำลังตีความฝึกปรืออยู่นั้น ก็เป็นซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป็นคนมอบให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง

เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าซุนเหลียงเผิงทำแบบนี้ ก็เพื่อซื้อใจเขา

และเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกขอบคุณ

หลิวก่วงหลินได้ติดตามรับใช้เขามาก็นานปี แถมอีกฝ่ายยังจงรักภักดีไม่น้อย เขาเองก็รู้สึกสะดวกสบายเมื่อมีหลิวก่วงหลินคอยจัดการเรื่องราวยิบย่อยให้

ก่อนหน้าถึงแม้เขาจะเสนอทางเลือกให้หลิวก่วงหลินว่าจะอยู่ลงหลักปักฐานใช้ชีวิตดีๆในประเทศฝูชิว หรือจะติดตามเขามานิกายอมตะเป้าผู่ก็ตามที

แต่อันที่จริงลึกๆแล้วเขาก็อยากให้หลิวก่วงหลินติดตามเขามา

แน่นอนว่าถึงหลิวก่วงหลินเลือกจะลงหลักปักฐานที่ประเทศฝูชิว เขาก็จะยอมรับการตัดสินใจของอีกฝ่าย

“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันออกไปแค่ชั่วโมงเดียว…มันไปไหนและไปทำอะไรกันแน่?”

พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนออกไปแค่ชั่วโมงเดียวก็กลับมาแล้ว เจิ้งหงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

และหลังจากลองไปสืบดู ในที่สุดเจิ้งหงอี้ก็ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไปไหนมา

‘ผู้ติดตามของมันงั้นรึ?’

เจิ้งหงอี้ขมวดคิ้ว พลางกล่าวในใจ ‘เจ้าผู้ติดตามนั่นพลังฝึกปรืออ่อนด้อย ข้าจะทำให้มันสลบแล้วลอบพาตัวออกไปนอกนิกายก็คงไม่มีปัญหาอะไร…แต่อาศัยผู้ติดตามคนหนึ่งจะล่อต้วนหลิงเทียนนั่นให้ออกไปได้รึเปล่า?’

เจิ้งหงอี้ลองคิดในมุมของตัวเอง ว่าหากเป็นมัน ตัวมันคงไม่คิดจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอีแค่ผู้ติดตามคนหนึ่งแน่นอน

‘ช่างเถอะ!’

อย่างไรก็ตามพอนึกถึงโอสถจวินจี่ 10 ขมวด เจิ้งหงอี้ก็ได้แต่กัดฟันตัดสินใจ ‘ลองพามันไปก่อนก็แล้วกัน…’

‘หากต้วนหลิงเทียนไม่คิดออกไปช่วยมัน เจ้าผู้ติดตามนั่นก็ซวยไปเถอะ…แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนไปช่วยมันขึ้นมา ต่อให้มันจะซวยเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ซวยคนเดียว ยังสามารถลากต้วนหลิงเทียนไปลงนรกด้วยอีกคน!’

‘ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้โอสถจวินจี่ 10 ขวด!’

คิดถึงจุดนี้สองตาเจิ้งหงอี้ก็ส่องแสงจ้าปานจะพุ่งยิงลำแสงความร้อน ลิ้นยังเริ่มแลบเลียริมฝีปากด้วยความโลภ

‘ลองหาวิธีเข้าหาขี้ข้านั่นก่อน พอมันตายใจเมื่อไหร่ก็ใช้ยันต์ประกายอัสนีขาวทำให้มันสลบ และหาโอกาสลอบพามันออกจากนิกายโดยไม่ให้ใครเห็น!’

แม้เจิ้งหงอี้ตัดสินใจจะลักพาตัวหลิวห่วงหลินออกนอกนิกายเพื่อล่อต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่วู่วาม ทั้งคิดหาวิธีลงมืออย่างดี ด้วยกลัวหลิวก่วงหลินจะเอะใจแล้วติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียนเสียก่อนที่จะถูกมันลักพาตัวออกกไป

ถึงตอนนั้นไม่พ้นมันได้ถูกเปิดโปงแน่ และคงยากจะรอดตัวไปได้!

ดังนั้นมันต้องระวังให้มาก

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน

ห่างออกไปทางตะวันตกของนิกายยอมตะเป้าผู่ ในหุบเขาอันมืดมิดไร้แสงตะวันสาดส่อง เจิ้งหงอี้ก็ได้มาเจอกับนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกครั้ง

“มันเป็นผู้ใด?”

พอเห็นเจิ้งหงอี้สะบัดมือจนความว่างเปล่าเริ่มบิดเบือน จากนั้นก็ปรากฏร่างคนที่ยังมีลมหายใจหนึ่งผุดโผล่ออกมาและร่วงไปนอนฟุบกับพื้น นักฆ่ากะโหลกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม

ผู้ที่เจิ้งหงอี้พึ่งนำออกมาจากโลกใบเล็กของมัน ก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สลบไสลไม่ได้สติ

“เจ้านี่ก็คือผู้ติดตามของต้วนหลิงเทียน เป้าหมายการเดินทางมาครั้งนี้ของท่าน”

ได้ยินคำถามจากนักฆ่ากะโหลกเลือด เจิ้งหงอี้ก็ไม่กล้ารอช้าเร่งตอบกลับไปเร็วไว

ขณะเดียวกันยังไม่ลืมจะกล่าวเสริมอีกว่า “ผู้ติดตามของต้วนหลิงเทียนคนนี้มาจากดินแดนพันประเทศ…และดูเหมือนอาจารย์ของข้าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่…จะส่งคนไปรับมันมาเป็นการส่วนตัว”

“ผู้ติดตาม?”

นักฆ่ากะโหลกเลือดขมวดคิ้ว “เจ้าลักพาตัวผู้ติดตามของมันออกมา…หรือคิดจะใช้เป็นเหยื่อล่อต้วนหลิงเทียนนั่น?”

“ไม่ผิด”

เจิ้งหงอี้พยักหน้าขานตอบ

“เจ้าคิดว่าอัจฉริยะอย่างต้วนหลิงเทียนผู้นั้น จักโง่เสี่ยงชีวิตออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ เพื่อเห็นแก่ผู้ติดตามคนหนึ่งงั้นหรือ?”

นักฆ่ากะโหลกเลือดกล่าวเยาะเย้ย

“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ข้านึกหาวิธีอื่นไม่เจอแล้วจริงๆ…อย่างไรก็ตามข้าคิดว่าลองใช้วิธีนี้ดูก่อนก็ไม่เสียหาย”

เจิ้งหงอี้ก้มหัวด้วยความกริ่งเกรง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ “อย่างไรเสีย ท่านผู้อาวุโสก็คงไม่อยากเสียเวลารออยู่เฉยๆใช่ไหม?”

“ถึงแม้ท่านอาจจะมองว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผล…แต่หากมันได้ผลขึ้นมาเล่า?”

เจิ้งหอี้พยายามรวบรวมความกล้ากล่าวโน้มน้าวนักฆ่ากะโหลกเลือด

“ก็ใช่”

นักฆ่ากะโหลกเลือดครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เห็นด้วยกับวิธีของเจิ้งหงอี้

พอเห็นว่าสามารถโน้มน้าวนักฆ่ากะโหลกเลือดได้สำเร็จ เจิ้งหงอี้ก็ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกลับๆ จากนั้นก็มองกล่าวกับนักฆ่ากะโหลกเลือดด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆอีกครั้งว่า “ท่านผู้อาวุโส เจ้านี่มันเห็นหน้าข้าทั้งรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร…หากยังไง ถ้าท่านสามารถใช้เจ้านี่ล่อต้วนหลิงเทียนออกมาได้จริง ท่านก็ฆ่ามันก่อนที่มันจะตื่นเถอะ”

“และหากต้วนหลิงเทียนไม่ออกมา…ก็ขอให้ท่านฆ่ามันทิ้งเช่นกัน”

เจิ้งหงอี้กล่าวร้องขอ

“ได้”

นักฆ่ากะโหลกเลือดพยักหน้ารับเบาๆ

ถึงแม้มันจะไม่ได้แยแสชีวิตของเจิ้งหงอี้ แต่ถ้าเกิดแผนนี้ล้มเหลวแต่เจิ้งหงอี้ยังมีชีวิตอยู่เพราะไม่โดนเปิดโปง ก็นับว่ายังมีประโยชน์กับมัน เพราะอีกฝ่ายสามารถช่วยเป็นหูเป็นตาและคอยประสานให้ความช่วยเหลือมันจากภายในได้…