3 วันต่อมา ก็ปรากฏร่างหนึ่งเหินตัดฟ้ามาแต่ไกลด้วยความเร็วสูงล้ำ บรรลุถึงถิ่นที่อยู่ของนิกายยอมตะเป้าผู่
เป็นชายชราที่มีรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอมเส้นผมขนคิ้วทั้งหนวดเคราเป็นนสีดอกเลา ผิดกับใบหน้าแลดูอ่อนวัยคล้ายคนหนุ่ม มันสวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีเทา และไม่เพียงแต่มันจะเหินร่างเข้าสู่เขตนิกายอมตะเป้าผู่โดยไม่ได้รับอนุญาติ ยังบุกเข้ามาถึงคฤหาสน์ส่วนตัวของซุนเหลียงเผิงได้ง่ายดาย ราวกับไม่มีผู้ใดเฝ้าระวัง
“เสี่ยวเผิงเผิง!”
เมื่อชายชราเหินร่างลุถึงน่านฟ้าเหนือคฤหาสน์ใหญ่ มันก็เอ่ยเรียกหาออกมาเสียงดัง
“เสี่ยวเผิงเผิง?”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งสนทนากับซุนเหลียงเผิงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ที่โต๊ะหินอ่อนในลาน ก็ไม่อาจค้นพบการมาถึงของชายชราบนฟ้าได้เลย จนกระทั่งเสียงเรียกหาของชายชราดังขึ้น เขาจึงตระหนักได้ว่ามีร่างหนึ่งมาปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าของคฤหาสน์เสียแล้ว
พอเห็นชายชราคลุมเทาบนฟ้า เขาก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นผู้ที่ซุนเหลียงเผิงเรียกหาว่าอาจารย์ลุง และเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการณ์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มารับตัวเขาวันนี้
ในขณะที่กำลังคาดเดาตัวตนของชายชรา พอนึกถึงเสียงเรียกหาของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมามองซุนเหลียงเผิงโดยไม่รู้ตัว แววตาเขายังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เสี่ยวเผิงเผิง?
ประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่ผู้น่าเกรงขาม กลับถูกเรียกหาแบบนี้จริงๆ?
ได้ยินเสียงเอ่ยทักของชายชรา ซุนเหลียงเผิงก็หน้าม้านไปด้วยความอาย พอมาเห็นสายตาแปลกของต้วนหลิงเทียนที่มองมาด้วยความสงสัยซ้ำ ใบหน้าที่โรยราตามวัยของมันก็อดแดงขึ้นมาไม่ได้
“อาจารย์ลุง…ท่านเปลี่ยนคำเรียกหาข้าไม่ได้หรือ ตอนนี้ข้าเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว ท่านเรียกข้าแบบนี้ทำให้ภาพลักษณ์ข้าเสียหายยิ่ง…”
ขณะที่ซุนเหลียงเผิงยืนขึ้นทักทายชายชรา มันก็กล่าวเรื่องนี้ออกไปด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“เด็กน้อยนี่อายเป็นแล้วหรือ แต่ก่อนเจ้ายังวิ่งเปลือยตูดท้าข้าแข่งฉีไกลอยู่เลย มาตอนนี้กลับเจ้ากี้เจ้าการข้าแล้ว…หรือโตเข้าหน่อย ก็คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งจริงๆ?”
ขณะชายชรากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง คนก็ค่อยๆโรยตัวลงมาจากกลางหาว จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนข้างซุนเหลียงเผิงโดยไม่รอคำชวน แล้วก็จัดแจงหยิบถ้วยออกมาเทน้ำชา ยกขึ้นดื่มดับกระหายอย่างสบายๆ แลดูไม่ได้เกรงใจอะไรประหนึ่งที่นี่เป็นบ้านที่ไม่ได้กลับมานาน
ในขณะที่ชายชรานั่งลง ซุนเหลียงเผิงก็ยังยืนอยู่ ต้วนหลิงเทียนเองจึงรีบลุกขึ้นยืนเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพอเขาลุกขึ้นยืนได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏพลังไร้สภาพอ่อนโยนขุมหนึ่งบังคับให้เขานั่งลงตามเดิม “เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ เจ้าไม่ต้องเคร่งมารยาทเหมือนเสี่ยวเผิงเผิงมันหรอก ต่อหน้าข้าเจ้าก็ทำตัวตามสบายเถอะ ช่างหัวกฏเกณฑ์มารยาทอันใดมารดามัน”
“คารวะผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มแห้งๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของชายชรา
“ต้วนหลิงเทียน นี่คืออาจารย์ลุงของข้า เรียกว่าฉีเทียนนหมิง เปนอดีตผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะเป้าผู่เรา…เจ้าจักเรียกหาว่าผู่เฒ่าฉีก็ได้”
ซุนเหลียงเผิงเองก็นั่งลงเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวแนะนำชายชราให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก และให้ต้วนหลิงเทียนเรียกหาอีกฝ่าอย่างสบายๆไม่มากธรรมเนียม
“ผู้เฒ่าฉี”
ต้วนหลิงเทียนป้องมือประสานกล่าวทักชายชราอีกครั้ง ขณะเดียวกันในใจก็ลอบหวั่นไหวไม่ได้
ด้วยพลังไร้สภาพอ่อนโยนที่ชายชราแผ่มากดให้เขานั่งลงเมื่อครู่ เขาก็สัมผัสได้คร่าวๆว่าด่านพลังฝึกปรือของชายชรานั้นเหนือกว่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 ที่ตามไปไล่ฆ่าเขาถึงอวี้หวงเทียนไม่น้อย…
และเหตุไฉนที่ต้วนหลิงเทียนสามารถสัมผัสได้คร่าวๆว่าพลังฝึกปรือของชายชราเหนือกว่านักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 9 ตำหนักมากนั้น เพราะเขาเองก็เคยใช้อุปกกรร์อมตะจตอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั้งพลังวิญญาณขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาแล้วถึง 2 ครั้ง
จากนั้นเขาที่ใช้พลังของมันจนระดับพลังในร่างถดถอยลง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของด่านพลังต่างๆชัดเจน จึงบอกได้ทันทีว่าผู้ใดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก และผู้ใดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ เพราะเอกลักษณ์ของกลิ่นอายพลัง
“ท่านประมุข ผู้เฒ่าฉีอาจารย์ลุงของท่านคนนี้…เป็นราชาอมตะ 10 ทิศงั้นหรือ?”
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังส่งเสียงผ่านพลังไปถามซุนเหลียงเผิงเพื่อเป็นการยืนยัน
“ผู้ตรวจการทั้ง 10 ของงคฤหาสน์เฉวียนโยว ล้วนแล้วแต่เป็นราชาอมตะ 10 ทิศทั้งสิ้น เรื่องนี้มิได้เป็นความลับอันใด…ทำไมเล่า? เจ้ามิเคยได้ยินมาก่อนหรือ? หรือไม่เชื่อว่าเป็นความจริง?”
ซุนเหลียงเผิงก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ
ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวล้วนแล้วแต่เป็นราชาอมตะ 10 ทิศ?
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
เรื่องนี้เขาพึ่งรู้จริงๆ เพราะเขาไม่เคยถามและไม่มีใครเคยบอก ในอดีตเขารู้แค่ว่าผู้ตรวจการทั้ง 10 ของคฤหาสน์เฉวียนโยว จะแข็งแกร่งกว่าผู้นำ 3 นิกาย 2 ตระกูล แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าทั้ง 10 จะบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้ว
‘แบบนี้…ปี้ไห่หมิงเฟิง รวมถึงประมุขอีก 2 คนของนิกายอมตะเหอฮวนก็ล้วนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศกันหมดแล้วน่ะสิ?’
อันที่จริงก่อนได้เจอฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็เคยพบเจอผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวมาแล้วคนนึง นั่นก็คือปี้ไห่หมิงเฟิง 1 ใน 3 ประมุขของนิกายอมตะเหอฮวน
และปี้ไห่หมิงเฟิง ยังเป็นคนที่หวงเจียหลงยกให้เป็นแบบอย่างอีกด้วย
‘จะว่าไปไม่ทราบเจียหลงที่อยู่นิกายอมตะเหอฮวนป่านนี้เป็นไงบ้างแล้ว…มันคงไม่ได้กำลังสร้างฮาเร็มอยู่หรอกนะ’
พอคิดถึงหวงเจียหลงขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดถึงอีกฝ่ายขึ้นมาอยู่บ้าง
หวงเจียหลงเป็นหนึ่งในสหายที่หาได้ยากของเขา หลังขึ้นมาหลิงหลัวเทียน เขาก็มีคนที่ถือว่าเป็นสหายอย่างหวงเจียหลงแค่คนเดียว จึงให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา มีผู้ที่เรียกว่าสหาไม่มาก น้อยคนที่เขาจะให้ความสำคัญ
‘ไว้ตั้งหลักในคฤหาสน์เฉวียโยวได้แล้ว ว่างๆค่อยแวะไปหาที่นิกายอมตะเหอฮวน…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างลับๆ
“อาจารย์ลุงท่านพาต้วนหลิงเทียนกลับคฤหาสน์เฉวีนโยวไปครั้งนี้ ข้าว่าคงต้องสร้างความตกใจครั้งใหญ่ให้คฤหาสน์เฉวียนโยวเลยกระมัง?”
ซุนเหลียงเผิงคลี่ยิ้มสนุกสนานพลางถามฉีเทียนหมิง
หากแต่ฉีเทียนหมิงไม่สนใจคำถามหยอกล้อของซุนเหลียงเผิงแต่อย่างไร เพียงมองจ้องต้วนหลิงเทีนด้วยความสนใจเอ่ยถามว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินจากเสี่ยวเผิงเผิงมาว่าเจ้าได้ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์จนด่านพลังบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศ และยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ 6 ประการงั้นหรือ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าแสดงให้ข้าดูเพื่อให้ข้าเปิดหูเปิดตาหน่อยเป็นไร?”
ฉีเทียนหมิงกล่าวถามด้วยความคึกคัก
“แล้วผู้เฒ่าฉีอยากให้ข้าแสดงให้ท่านดูอย่างไรเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าลองฉีเทียนหมิงเอ่ยถามมาแบบนี้ ไม่พ้นต้องคิดประลองกับเขาดูเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงแน่ เพราะสุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดอีกฝ่ายก็ได้รับทราบจากคำพูดของซุนเหลียงเผิงอย่างเดียว
หากชายชราเบื้องหน้าคิดจะพาตัวเขาไปคฤหาสน์เฉวียนโยว เพื่อรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย สิ่งนี้ย่อมสร้างความแตกตื่นครั้งใหญ่ให้คฤหาสน์เฉวียนโยวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และถ้าตัวเขากลับไม่มีดีมากพอจะผ่านการทดสอบเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยขึ้นมา ไม่ใช่ว่าชายชราผู้นี้จะหน้าแตกยับเยินหรือไร?
ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจความคิดของชายชราได้ไม่ยาก
“ก็…เจ้าลองพยายามลงมือกับข้าให้เต็มที่ ให้ข้าดูว่าเจ้าแตกฉานกฏมิติถึงขั้นใด”
ชายชรากล่าว
และแทบจะทันทีที่เสียงชายชราดังจบคำ กลิ่นอายพลังสุดไพศาลก็เริ่มกำจายออกมาจากร่างของมัน ยังปรากฏรัศมีพลังสีฟ้าเรืองรองออกมาปกคลุมไปทั่วโต๊ะหินอ่อน กระทั่งแสงพลังยยังสาดส่องย้อมไปทั่วลานว่างทั้งผนังคฤหาสน์
เรียกว่าเพียงอีกฝ่ายโคจรใช้พลังออกมาพร้อมต่อสู้ อาณาบริเวณส่วนนี้ของคฤหาสน์ก็ถูกแสงพลังสีฟ้าชโลมย้อมไปในบัดดล
‘กฏแห่งน้ำงั้นรึ…’
‘ยิ่งไปกว่านั้นจากกลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านออกมา อีกฝ่ายสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ 7-8 ประการแล้ว’
หลังเห็นชายชราเร่งเร้าพลังเตรียมพร้อม ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จากนั้นก็ไม่คิดพูดพร่ำทำเพลง พลังเซียนอมตะกำเนิดหลั่งไหลผ่านชีพจรสวววรรค์ 99 สายจนปะทุออกมาปานน้ำเชี่ยว พริบตาก็ห่อหุ้มคลุมกายและเริ่มผสานหลอมรวมเข้ากับธาตุมิติฉับไว
พริบตาต่อมา
เขตแดนมิติ!
กักกัน!
บิดเบือน!
ผ่ามิติ!
ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ 4 ประการ พร้อมควบแน่นกระบี่พลังสีเทาเสือกแทงเข้าใส่ฉีเทียนหมิงที่ยังนั่งข้างๆซุนเหลียงเผิงทันที!
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
ด้วยพลังอานุภาพของเขตแดนมิติ นับว่าโชคดีนักที่ฉีเทียนหมิงเร่งแผ่พลังไปปกป้องทุกสิ่งรอบกาย หาไม่แล้วอาศัยแค่กระบวนท่าเสือกแทงนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็มากพอจะทำลายลานแห่งนี้ กระทั่งอาจทำให้คฤหาสน์ที่อยู่เบื้องหลังมีอันต้องป่นสลายเป็นละอองธุลี!
“หืม!? พลังนี่มัน เขตแดนมิติ กักกัน บิดเบือน ทั้งผ่ามิติ!?”
แม้ต้วนหลิงเทียนจะเสือกแทงกระบี่เข้าหน้าฉีเทียนหมิงในฉับพลัน กระทั่งด้านหลังอีกฝ่ายยังมีคมมีดมิติที่ฟุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย ทั้งห้วงมิติรอบกายยังเริ่มถูกบิดเบือน ไม่เว้นรอบๆยังถูกพลังมิติกักขังเอาไว้ แต่ฉีเทียนหมิงก็ไม่ได้แลดูตึงมืออะไร กระทั่งยังเริ่มพินิจพลังต่างๆของต้วนหลิงเทียนอย่างสนอกสนใจ
สำหรับธาตุมิติจากความลึกซึ้งความหมายแห่งมิติ ชายชราไม่ได้กล่าวถึง
เพราะมันไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง หากจะใช้ความลึกซึ้งประการอื่นๆ แน่นอนว่าต้องใช้พลังธาตุนั้นๆให้ได้เสียก่อน
ส่วนด้านซุนเหลียงเผิงนั้น ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนปะทุพลังลงมือมันก็เร่งเปิดกางม่านพลังทันที หาไม่แล้วก็มิวายต้องซวยไปเพราะพลังของต้วนหลิงเทียนด้วย เพราะฉีเทียนหมิงก็นั่งอยู่ข้างๆมัน
อย่างไรก็ตามด้วยระดับพลังฝึกปรือของมัน อาศัยลูกหลงจากการลงมือของต้วนหลิงเทียนก็ยากจะทำอะไรมันได้ เรียยกว่าป้องกันได้อย่างง่ายดาย
วู้มมม!
ทันใดนั้นลูกตาของฉีเทียนหมิงก็หดหยีลง มันยกมือสะบัดปลดป่อยพลังขุมหนึ่งออกไปต้านทานรับมือกระบวนท่าของต้วนหลิงเทียนทันที
พริบตาต่อมา ห้วงอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าพลันอุบัติมังกรวารีตัวหนึ่งขึ้นอย่างอัศจรรย์ พอก่อตัวแล้วเสร็จก็พุ่งหากระบี่พลังสีเทาต้วนหลิงเทียนฉับไว เมื่อบรรลุถึงเบื้องหน้ามังกรวารีดังกล่าวยังอ้าปากกระหายเลือดออกกว้าง หมายจะกลืนกระบี่ทั้งต้วนหลิงเทียนไปพร้อมๆกันในคำเดียว!
ซัว!
อย่างไรก็ตามวินาทีที่ปากกว้างของมังกรวารีขย้ำลง ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน!
“นี่มัน!”
ลูกตาซุนเหลียงเผิงหดเล็กลงทันใด เพราะร่างต้วนหลิงเทียนพลันอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตามันโดยสมบูรณ์ และไม่อาจมองเห็นร่องรอความเคลื่อนไหวใดๆของต้วนหลิงเทียนได้เลย ราวกับความเร็วของต้วนหลิงเทียนเหนือล้ำสุดที่สายตามันจะมองตามได้ทัน!
และพริบตาต่อมา ซุนเหลียงเผิงก็สัมผัสได้ว่าร่างต้วนหลิงเทียนวูบไปโผล่ด้านหลังซุนเหลียงเผิงเสียแล้ว สภาวะกระบี่สีเทายังถูกเร่งเร้าถึงขีดสุด จ้วงมาเจียนถึงแผ่นหลังฉีเทียนหมิงอยู่รอมร่อ!
“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ!”
พร้อมกันนั้นเองเสียงประหลาดใจของฉีเทียนหมิงก็ดังขึ้นเข้าหูซุนเหลียยเผิงอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ซุนเหลียงเผิงตระหนักได้ทันที ‘ที่แท้เป็นความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ…มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนข้ามิอาจตับร่องรอยความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนได้’
‘ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ประหนึ่งทำให้ผู้ใช้เคลื่อนย้ายข้ามห้วงมิติในฉับพลัน จักไม่ทิ้งร่องรอยอันใดไว้ก็ไม่แปลก…’
ซุนเหลียงเผิงย่อมรู้ดีแก่ใจ นับประสาอะไรกับมันที่ยังเป็นราชาอมตะเท่านั้น ต่อให้จอมราชันอมตะมายืนอยู่ตรงนี้ ก็ไม่อาจจับร่องคอยความเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนได้ เพราะต้วนหลิงเทียนได้สาบสูญไปในความว่างเปล่าจริงๆ คนไปผุดโผล่อีกที่หนึ่งในฉับพลันด้วยการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ จึงไม่ทิ้งร่องรองความเคลื่อนไหวใดๆเอาไว้
“ผู้เฒ่าฉี เท่านี้พอแล้วกระมัง?”
เมื่อกระบี่พลังมีสภาพสีเทาของต้วนหลิงเทียนแตะถึงแผ่นหลังของฉีเทียนหมิง เขาก็เอ่ยถามออกมา ขณะเดียวกันเสียงเขายังไม่ทันดังจบคำ ร่างเขาก็วูบข้ามมิติกลับมานั่งที่เดิมเรียบร้อย
และมังกรวารีที่ฉีเทียนหมิงปลดปล่อยออกมาจู่โจมต้วนหลิงเทียน ก็พึ่งจะพุ่งเลยจุดที่เขานั่งอยู่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น…
แต่เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดเพราะฉีเทียนหมิงไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคงไม่ทันได้ใช้เคลื่อนมิติ และถูกมังกรขย้ำร่างไปโดยมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น…