หลังได้รับทราบเรื่องราวเพิ่มเติมของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจาก ฉีเทียนหมิง ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันจะได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางในฐานะศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยว!

ฟังจากสิ่งฉีเทียนหมิงกล่าวมา แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้นเปิดให้เข้าไปตลอดเวลา อยากเข้าไปตอนไหนก็ได้

แน่นอนว่ามีเพียงผู้ที่ด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้

กล่าวอีกอย่าง ผู้ที่จะเข้าไปต่อสู้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ด่านพลังที่สูงที่สุดที่จะเป็นไปได้ก็คือ ขุนนางอมตะ 10 ทิศ!

“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น ในแต่ละเดือนไม่ว่าใครก็สามารถอยู่ภายในนั้นได้แค่ 10 วันเท่านั้น…และ 10 วันในที่นี้ก็คือการนับเวลารวม กล่าวคือเจ้าจะเข้าไปแช่ในนั้นจนครบ 10 วัน หรือจักเข้าไปวันละนิดละหน่อย จนใช้เวลาด้านในสะสมครบ 10 วันก็แล้วแต่เจ้า…”

ฉีเทียนหมิงยังคงกล่าวรายละเอียดปลีกย่อยของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “และทันทีที่เจ้าอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางครบกำหนด 10 วัน เจ้าก็จักถูกค่ายกลส่งตัวออกมาทันที และในเดือนนั้นเจ้าจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก…จนเมื่อถึงเดือนใหม่และล้างอันดับเรียบร้อยแล้ว จึงจะเข้าไปได้ใหม่”

ฉีเทียนหมิงกล่าวเล่ารายละเอียดของแดนสวรรค์ใต้โบราณให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างไม่ปกปิด และยังเล่าทุกเรื่องที่มันล่วงรู้ออกมาโดยละเอียด

“จริงสิ!”

ทันใดนั้นฉีเทียนหมิงคล้ายยฉุกคิดอะไรได้ออก จึงหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนสืบต่อ “ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น แน่นอนว่าการเข่นฆ่าศัตรูย่อมทำให้ได้รับคะแนนในป้ายหยกสะสมคะแนนของอีกฝ่าย…”

“อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ทุบทำลายป้ายหยกสะสมคะแนน คะแนนสะสมของมันก็จะพุ่งเข้าไปยังป้ายหยกสะสมคะแนนของใครก็ตามที่อยู่ใกล้มันที่สุด…”

“ขณะเดียวกันหลังจากที่ทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนไปแล้ว ตัวมันก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง เพราะการบดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนนจะเป็นการกระตุ้นค่ายกลในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางให้ส่งตัวออกไป…”

กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็หยุดลงพักหายใจเล็กน้อย

แต่พอมันกำลังจะกล่าวสืบต่อ ก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่เอ่ยถามออกมาก่อน “หมายความว่า…หากพบเจอศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ ก็สามารถทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเอง เป็นการมอบคะแนนสะสมให้อีกฝ่าย และหนีออกมาโดยความช่วยเหลือของค่ายกลส่งตัว?”

“มิผิด”

ฉีเทียนหมิงพยักหน้า “ดั่งคำกล่าวที่ว่า ผู้ฉลาดรู้สถานการณ์ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้เปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางขึ้น ไม่ได้ตั้งใจจะให้ผู้คนเข้าไปเข่นฆ่าจนต้องตายกันไปข้าง ยังเลือกที่จะเหลือหนทางงรอดเอาไว้ยามเปิดสร้างแดนสวรค์ใต้โบราณระดับกลางอีกด้วย…”

“แน่นอนว่าต่อให้บดขยี้ทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกค่ายกลส่งตัวออกมาทันที มันมีเวลาดำเนินการเล็กน้อย…ดังนั้นหากพลังฝีมืออ่อนแอกว่าศัตรูมาก และอีกฝ่ายตั้งใจจะเข่นฆ่าให้ตายจริงๆ ต่อให้จะทุบทำลายป้ายหยกไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะรอดพ้นความตาย”

ฉีเทียนหมิงกล่าว

“ก็นับว่ายังมีมนุษย์ธรรมหลงเหลืออยู่ และไม่ได้บีบคั้นให้ผู้อ่อนแอให้ถึงขั้นสิ้นไร้หนทางรอด หาไม่แล้วคงยากจะหาคนเข้าไปต่อสู้เสี่ยงชีวิตในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเข้าใจ

“ว่าแต่…”

จากนั้นต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามออกไปว่า “การบดขยี้ป้ายหยกสะสมคะแนน จนถูกค่ายกลส่งตัวออกมานอกแดนสวรรค์ใต้โบราณมันทำได้ครั้งเดียวชั่วชีวิตหรืออย่างไร วันหน้ายังจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้อีกหรือไม่?”

“ก่อนที่จะทำการโล๊ะอันดับ ผู้ใดก็ตามที่ทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองเพื่อออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง จักไม่อาจได้รับป้ายหยกสะสมคะแนนใหม่ตลอดเดือน ย่อมทำให้ไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณในรอบเดือนนั้นได้อีกต่อไป…ต้องรอให้หมดเดือน และขึ้นเดือนใหม่ล้างอันดับใหม่เสียก่อน”

ฉีเทียนหมิงกล่าว

ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที แบบนี้ก็จะเป็นการป้องกันให้ไม่มีใครบางคนเลือกที่จะหลบหนีทุกครั้งที่สู้ไม่ไหว และกลับเข้าไปใหม่อย่างไร้จำกัด…

หากสู้ไม่ได้จนต้องหนีออกมา แต่สามารถกลับเข้าไปใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด เช่นนั้นต้องมีคนที่จงใจจัดการแต่พลับสุกนุ่มนิ่มแน่นอน พอเจอของแข็งที่สู้ไม่ไหวก็บดทำลายป้ายหยกเพื่อหนี…

หากทำแบบนั้นได้จริง ไม่แน่ว่าเผลอๆจะเลือกบีบลูกพลับสุกจนได้อันดับสูงๆมาครองก็เป็นได้!

“ต้วนหลิงเทียน”

ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ออก ฉีเทียนหมิงหันไปมองกล่าววกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง “ต่อหน้าผู้อื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกออกไป ว่าเจ้าได้ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์มา…”

“ถึงแม้โชควาสนาจะถือเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเจ้า อย่างไรก็ตามหากเจ้าปล่อยให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเจ้ามาถึงจุดนี้ด้วยพรสวรรค์และความรู้ความสามารถของเจ้าเอง ก็จักทำให้ผู้อื่นประเมินค่าเจ้าสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

“นอกจากนั้น หากเจ้าให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเจ้าสามารถช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้จากเงื้อมมือตัวตนจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด พวกมันไม่พ้นต้องสืบสวนตัวเจ้าอย่างละเอียดแน่…ว่าเจ้ารอดพ้นเงื้อมมือมันมาได้อย่างไร ใช่ฆ่ามันแล้วชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาหรือไม่?”

“และถ้าเจ้าสามารถฆ่าจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดผู้นั้นได้จริงๆ เช่นนั้นเจ้าได้รับอันใดมาจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดผู้นั้นกันแน่? ถึงแม้จักรพรรดิอมตะไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิติดตัว แต่อย่างน้อยๆมันก็ต้องมีอุปกรณ์อมตะจอมราชัน…โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลัง!”

“อุปกรณ์อมตะจอมราชันไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือชุดเกราะ…แต่หากผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจักรพรรดิอมตะมาแล้ว มันมีมูลค่าสูงกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันทั่วไปมาก…”

“ข้าว่าเจ้าคงทราบเรื่องนี้ดีกระมัง?”

“อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้ว มีพลังมากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปขนาดไหนเจ้าคงเข้าใจดี เพราะเจ้าเองก็สมควรมีเช่นกัน…เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันทั่วไป กับอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันที่จักรพรรดิอมตะได้ใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลามาแล้วเลย…”

กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของฉีเทียนหมิงก็เผยความจริงจังถึงขีดสุด

“ผู้เฒ่าฉี ข้าทราบเรื่องนี้ดี”

จนเมื่อต้วนหลิงเทียนพยักหน้า สีหน้าของฉีเทียนหมิงจึงค่อยผ่อนคลายลง

จากนั้นฉีเทียนหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่มีเรื่องจะถามแล้ว ทั้งเขายังถูกฉีเทียนหมิงหอบหิ้วเดินทาง เช่นนั้นก็เลยใช้เวลาที่มีไปกับการทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ส่งผ่าน ของกฏแห่งมิติอย่างไม่ให้สูญเปล่า

เดิมทีเขาก็คิดจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะให้ได้เร็วๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทราบถึงการคงอยู่ของแดนสวรรค์ใต้โบราณณะดับกลาง เขาก็ไม่รีบร้อนจะกระดับพลังฝึกปรือของตัวเอง

เพราะสุดท้ายแล้วการจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางและทำผลงานดีๆได้ ก็จำต้องมีด่านพลังไม่เกินขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเท่านั้น

“จริงสิผู้เฒ่าฉี”

หลังทำความเข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านของกฏแห่งมิติอยู่ครึ่งวัน ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรได้ ก็ลืมตาขึ้นมามองถามฉีเทียนหมิงทันที

“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ในเมื่อมันเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์คฤหาสน์อมตะระดับ 6 แบบนี้…แล้วในบรรดาคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ทั้งหลาย ได้มีการเพาะสร้างยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเอาไว้ใช้ต่อสู้ช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะหรือไม่?”

นี่เป็นเรื่องที่เขาพึ่ฉุกคิดได้ขณะทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติ

เพราะขุนนางอมตะ 10 ทิศที่มีอายุพันปี กับหลายหมื่นปีนั้น พลังฝีมือย่อมไม่อาจนำมาเทียบกันได้แน่นอน ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ก็หมาความว่ามีเวลาทำความเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏมากขึ้นเท่านั้น!

หากดำรงอยู่มานานมากๆ ต่อให้สติปัญญาจะต่ำตมแค่ไหน กระทั่งต่อให้เป็นท่อนไม้ยังบังเกิดความรู้แจ้งได้…

“นับว่าถามได้ดี!”

ฉีเทียนหมิงกล่าว “ในตอนที่จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้สร้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ก็มีฉุกคิดเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน…ดังนั้นผู้ที่จะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ ก็ถูกจำกัดไว้ให้มีอายุไม่เกิน 1,000 ปี!”

“อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการจำกัดอายุไว้ให้ไม่เกิน 1,000 ปี แต่ก็มีขุนนางอมตะ 10 ทิศไม่น้อยที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้หลายประการ…”

กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกล้ำ “มีขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 6 ประการมากมาย…กระทั่งยังมีหลายคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 7 ประการ และทั้งหมดถูกเพราะสร้างมาเพื่อช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดเฉพาะ”

“คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราเองก็มีตัวตนเช่นนี้เหมือนกัน ทางเรามีขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 6 ประการคนหนึ่ง และขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ได้ 7 ประการคนหนึ่ง ที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราได้ดูแลเป็นพิเศษ เพื่อใช้เข้าร่วมการแข่งขันช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะ”

“ในบรรดาขุนนางอมตะ 10 ทิศที่พวกเราดูแลเป็นพิเศษ ผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ก็มีอายุเกิน 980 ปีแล้ว อีกไม่นานก็คงไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณได้อีก”

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี จะไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้อีก…

‘ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่สามารถเข้าใจกฏแห่งไม้ได้ 7 ประการ?’

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ความแข็งแกร่งระดับนี้ แทบจะเทียบได้กับหลิงเจวี๋อวิ๋นหลังย่อยพลังผลเทพสังเวยสวรรค์หมดแล้วเลย

แน่นอนว่าเป็นในกรณีที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้ใช้ไพ่ตายอะไร

‘กระทั่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่กี่คนที่ข้าเคยพบเจอมาก่อน…พวกมันก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึง 7 ประการ’

เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้ดีแก่ใจ

ขุนนางอมตะ 10 ทิศเหล่านั้น เป็นคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ตั้งใจเพาะสร้างมาเป็นพิเศษ ทุกคนสมควรไม่ได้รับอนุญาติให้ทะลวงด่านพลัง จึงทำได้แค่ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏต่างๆ…

หาไม่แล้วขุนนางอมตะ 10 ทิศเหล่านี้คงทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะไปนานแล้ว…

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อทำให้พวกมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้หลายประการ คฤหาสน์เฉวียนโยวไม่พ้นต้องทุ่มทรัพยากรบางส่วนเพื่อส่งเสริมความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของพวกมัน

ด้วยกำลังทรัพย์ของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะทุ่มเททรัพยากรบางส่วน เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

‘ข้าหลงคิดว่าด้วยพลังของข้าตอนนี้ หากเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะเข่นฆ่าได้ทั้ง 4 ทิศ 8 ทางดั่งขาใหญ่ไม่กลัวใครแล้วซะอีก…’

‘ถึงว่าล่ะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนตอนฉีเทียนหมิงเจอข้าครั้งแรกถึงกล่าวแค่ว่า ข้าอาจกวาดล้างหัวกะทิพวกนั้นได้ไม่น้อย คิดจะยืนหยัดได้อันดับต้นๆก็ไม่ยากเย็น แต่กลับไม่ได้บอกว่าข้าจะต้องได้รับอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางออกมา…’

‘ที่แท้คฤหาสน์อมตะระดับ 6 เหล่านี้ ยังมีการเพาะสร้างงขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ใช้สำหรับแข่งขันช่วงชิงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะ!’

การเดินทางหลังจากนั้นก็ไม่มีการสนทนนาอันใด

พริบตาเวลาก็ล่วงเลยไปอีก 2 วัน และต้วนหลิงเทียนก็ถูกฉีเทียนหมิงหอบหิ้วมาถึงคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว…

คฤหาสน์เฉวียนโยวนั้นไม่ได้ปลูกสร้างบนพื้น แต่ปลูกสร้างไว้บนฟ้า เหนือยอดเขา เหนือแพเมฆ ตัวคฤหาสน์หลักตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดมหึมา ที่ลอยค้างกลางหาวอย่างเงียบงัน รอบๆยังมีหมู่เกาะยิบย่อยมากมาย

เกาะหลักไม่เว้นเกาะย่อยล้วนเต็มไปด้วยความเขียวขจี นับว่าถูกสร้างมาให้ร่มรื่นสบายตา แลดูผ่อนคลายสบายอารมณ์นัก

อย่างไรก็ตามเกาะลอยเหล่านี้ไม่ได้ลอยสะเปะสะปะไร้รูปแบบ เกาะหลักที่ขนาดใหญ่ที่สุดลอยอยู่ตรงกลาง เกาะย่อยก็แบ่งออกเป็นวงๆ ยิ่งอยู่วงนอกมากเท่าไหร่ยิ่งมีจำนวนมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้กับเกาะหลักมากเท่าไหร่ก็มีจำนวนน้อยลง

ดั่งดาวล้อมเดือนก็ว่า…

“ท่านผู้ตรวจการ!”

“ท่านผู้ตรวจการ!”

เมื่อล้วงล้ำเข้ามาในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็พบเจอหน่วยลาดตระเวนหลายหน่วย และทุกหน่วยเมื่อพบเจอฉีเทียนหมิงก็จะหยุดคารวะทักทายด้วยท่าทางมากเคารพทั้งสิ้น

“อาจารย์ลุงฉี ท่านพึ่งกลับมาจากด้านนอกหรือ?”

ทันใดนั้นปรากฏร่างสง่างามหนึ่งเหินลอยมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดเบื้องหน้าเขากับฉีเทียนหมิง

‘เป็นมัน!’

คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้นเล็กน้อย

ผู้ที่พึ่งเหินร่างเข้ามาหานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่เขาเคยเจอมาก่อน…

ปี้ไห่หมิงเฟิง!