“นับอายุหลังจากจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้งั้นเหรอ?”

ได้ยินคำพูดของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้ว “แดนสวรรค์ใต้ไม่ใช่จำกัดอายุไว้ 1,000 ปีหรือ แล้วตัวตนแบบนี้มันอยู่ในเงื่อนไขด้วยรึไง?”

หากเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าหากมีสัตว์อมตะที่พึ่งจำแลงกายเป็นมนุษย์ พวกมันจะไม่ได้เปรียบรึไง?

ต้องทราบว่ามีสัตว์อมตะบางชนิดบางจำพวกที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ช้ามาก

และกว่าจะจำแลงกายเป็นมนุษย์ บางตัวก็มีด่านพลังขอบเขตเซียนอมตะแล้ว

“อืม ส่วนใหญ่ก็ใช่”

ฉีเทียนหมิงพยักหน้า “สรรพสิ่งใดๆไม่ว่าจะสมุนไพรก็ดี บุปผาพืชหญ้าก็ดี หากดูดซับพลังฟ้าดินรวมถึงไอพลังสุริยันจันทราและประสบวาสนาบางอย่าง จนในที่สุดก็จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ ล้วนเข้าเงื่อนไขทั้งสิ้น”

“อย่างไรก็ตามไม่ว่าเดิมจักเคยเป็นอันใด แต่พอจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ด่านพลังฝึกปรือก็ยังไม่ได้สูงล้ำอะไรมากนัก สุดท้ายก็ต้องก้าวไปทีละขั้นอยู่ดี”

“เป็นธรรมดาว่าแม้ช่วงแรกด่านพลังฝึกปรือจักไม่สูง แต่ในเมื่อร่างที่แท้จริงเป็นบุปผาพืชหญ้าที่ดูดซับไอพลังฟ้าดินรวมถึงแก่นแท้สุริยยันจันทรามานานปี เช่นนั้นความเร็วในการบ่มเพาะย่อมไวนัก และความเข้าใจในกฏก็มิใชชั่วแน่นอน”

ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจสิ่งที่ฉีเทียนหมิงกล่าวได้ไม่ยาก

สิ่งมีชีวิตอย่างบุปผา พืชหญ้า ไม่เว้นสมุนไพรใดๆมันต่างจากสัตว์อมตะโดยสิ้นเชิง ก่อนที่จะก่อเกิดสำนึกสติ พวกมันก็ทำได้แค่บำเพ็ญตบะตามสัญชาตญาณ เรียกว่าก่อนจะจำแลงกายได้ แม้จะถือเป็นสิ่งอภินิหารแต่ก็ยังไม่ได้ริเริ่มสั่งสมพลังเซียนอมตะ…

“เช่นนั้นสัตว์อมตะเล่า? จะเริ่มนับอายุหลังจากจำแลงกาเป็นมนุษย์ด้วยรึเปล่า?”

ต้วนหลิงเทียนถาม

“ย่อมไม่อาจนับรวมกันได้”

ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมา “ด้วยเหตุนี้ สัตว์อมตะทั้งหลาย จึงไม่อาจเทียบกับพวกบุปผา พืชหญ้าต้นไม้ใดๆได้เลย…อย่างในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น หากสัตว์อมตะที่พึ่งจะมาจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ตอนอายุ 900 ปี เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่ามันจะอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้แค่ 100 ปีเท่านั้น”

“ประเด็นนี้ท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ได้คิดคำนวณไว้ก่อนแล้ว มิฉะนั้นก็จักไม่ยุติธรรมต่อผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ”

ได้ยินคำตอบของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็พอได้โล่งใจหน่อย

หากเป็นแบบนี้ก็พอรับได้

“ฮวาเซียว ถึงแม้จะอายุแค่ 500 กว่าปี แต่ก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ถึง 6 ประการ และริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำประการที่ 7 ได้บางส่วน…ที่สำคัญในบรรดาความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำที่มันเข้าใจนั้น ยังเข้าใจความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการโจมตีเป็นหลักหมดแล้ว…”

“ด้วยเหตุนี้ยามใช้ควบคู่กับความสามารถแต่กำเนิดของมัน ความแข็งแกร่งของมันจึงนับเป็นต้นๆในบรรดาผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการ และริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 7 ได้บางส่วน”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ไฉนมันถึงติดอยู่ใน 30 อันดับแรกได้”

ฉีเทียนหมิงกล่าวสืบต่อ แลเรื่องที่เล่าออกมาก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์เฉวียนโยวนาม ฮวาเซียวมากขึ้น

“ข้าคิดว่าหลังจากที่โจวหงเจี๋ยอายุครบพันปีแล้ว คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราทำได้แค่รอพึ่งฮวาเซียวช่วงชิง 20 อันดับแรกเท่านั้น…แต่ไม่คิดเลยว่านิกายอมตะเป้าผู่จะปรากฏคนเช่นเจ้าขึ้นมา และด้วยมีเจ้าคฤหาสน์เฉวียนโยวของเราย่อมฉายแสงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้อีกครั้งแน่!”

“กระทั่งเรื่องที่เจ้าจักได้อันดับ 1 ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้…”

ฟังจากที่ฉีเทียนหมิงกล่าว เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถขึ้นสู่อันดับสูงสุดได้ในตอนนี้ แต่มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเติบโต

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียทจะรับทราบจากคำพูดของฉีเทียนหมิงแล้ว ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มั่นใจในตัวเขาเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร

เขารู้ดีแก่ใจ

ว่าตอนนี้จะพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์

มีเพียงเขาคว้าอันดับ 1 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางมาก่อน ถึงตอนนั้นไม่ต้องพูดอะไรสักคำ ก็เป็นการพิสูจน์ตัวเองได้ชัดเจนที่สุด

“ผู้เฒ่าฉี ว่าแต่ท่านมีแผนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางไหม โดยเฉพาะตำแหน่งค่ายพักของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 อื่นๆน่ะ?”

ถึงแม้ฉีเทียนหมิงจะเกริ่นไว้ก่อนหน้าแล้ว ว่าการไปดักหน้าค่ายผู้อื่นแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับไปหาเรื่องอีกฝ่าย และอาจทำให้อีกฝ่ายแค้นเคืองถึงขั้นอาฆาตแค้น

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น

สิ่งที่เขาสนใจก็คืออันดับ!

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้คฤหาสน์อมตะระดับ 6 จะอาฆาตแค้นเขาแค่ไหน พวกมันก็ทำได้แค่พยายามล้างแค้นเขาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง

หากคิดจะเอาคืนเขานอกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางล่ะก็ ยากมาก…เพราะพวกมันต้องลอบก่อการให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้แม้แต่นิดเดียว หาไม่แล้วจะเป็นการกระตุ้นโทสะของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้!

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่กลัวเรื่องที่จะมีคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ไหนแค้นเคืองที่เขาไปดักหน้าค่าย และคิดลงมือฆ่าเขานอกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง เพราะยากที่พวกมันจะทำอะไรแบบนั้นได้

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้อาจพิโรธ เอาแค่ถ้าพวกมันกล้าทำเรื่องแบบนั้น ชื่อเสียงทั้งหลายไม่พ้นต้องย่อยยับป่นปี้ในชั่วข้ามคืน ถูกผู้คนรุมประนามหยามเหยียด ยังต้องถูกตราหน้าว่าแพ้ไม่เป็นและไร้ศักดิ์ศรี…

“อะไร?! นี่เจ้ายังคิดไปดักหน้าค่ายผู้อื่นเขาอีกหรือ?”

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ฉีเทียนหมิงย่อมเดาความคิดต้วนหลิงเทียนออกได้ไม่ยาก สองตายังเบิกกว้างขึ้น ใบหน้าเริ่มมืดดำคร่ำเคร่ง

“ก็ทำแบบนั้น…ไม่ใช่ว่าคะแนนจะไหลมาเทมาอย่างรวดเร็วรึไง?”

ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ พลางถามด้วยรอยยิ้ม

ฉีเทียนหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้งกว่าจะสงบลงได้ “ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่แนะนำให้เจ้ากระทำเช่นนั้น…ถึงแม้ว่าคฤหาสน์อมตะที่โดนเจ้าไปดักหน้าค่าย จะทำได้แค่ล้างแค้นเจ้าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง แต่นั่นก็มิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าเลย”

“ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าลงมือเกินเลยไป ข้าไม่รู้ว่าพวกมันจะบ้าถึงขั้นล้างแค้นเจ้าข้างนอกหรือไม่…แน่นอนว่าพวกมันคงไม่ลงมือเอง แต่ไม่พ้นต้องจ้างองค์กรมือสังหารอะไรแน่…ถึงตอนนั้นเจ้ายังจะออกนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวได้หรือ?”

กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็ส่ายหัวไปมา ด้วยคิดว่าต้วนหลิงเทียนช่างอ่อนต่อโลกนัก

“นอกจากนั้นถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ แต่หากเจ้าเจอขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เชี่ยวชาญกฏแห่งลม และเข้าใจความลึกซึ้งที่เสริมความเร็วเป็นหลัก 2 ประการขึ้นไป เจ้าไม่มีทางหนีพวกมันได้พ้นแน่”

“ดังนั้นข้าว่าเจ้าเก็บๆตัวไว้บ้างก็ดี…อย่าได้ทำเรื่องเช่นไปดักหน้าค่ายคฤหาสน์อู่จ้านอีก”

ฉีเทียนหมิงเกลี้ยกล่อม

“ผู้เฒ่าฉีข้ารู้ว่าท่านจะสื่ออะไร…อย่างไรก็ตามข้ายังอยากได้แผ่นที่ในแดนสวรรค์ใต้ระดับกลางอยู่ดี ข้าไม่ไปดักหน้าค่ายก็ได้ จะลงมือแค่คนที่ออกหากจากค่ายมาระยะหนึ่งแล้วเท่านั้น เช่นนี้ดีหรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าฉีเทียนหมิงหวังดี เช่นนั้นจึงไม่คิดจะโต้แย้งอะไรฉีเทียนหมิง แต่แผ่นที่ดังกล่าวเขาต้อการจริงๆ

เพราะหากมีแผ่นที่ เขาก็จะรู้ตำแหน่งคร่าวๆ สามารถค้นหาเป้าหมายได้ง่ายขึ้น สิ่งนี้จะทำให้เขามีโอกาสเก็บคะแนนได้มากมาย ไม่ใช่ทำได้แค่บินไปเรื่อยๆดั่งแมลงวันไร้หัว

“ถึงกระนั้นข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังอยู่ดี…เพราะแผนที่ๆเจ้าว่ามันไม่มี”

ฉีเทียนหมิงส่ายยหัวพลางกล่าว

“ไม่มีแผนที่?”

ต้วนหลิงเทียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไม่มีใครคิดจะวาดแผนที่เลยเหรอ ข้าเข้าไปครั้งแรกข้ายังจำทางไปค่ายคฤหาสน์อู่จ้านจากค่ายคฤหาสน์เฉวียนโยวได้เลย…ครั้งต่อไปหากข้าเข้าไปก็หาค่ายคฤหาสน์อู่จ้านพบได้ไม่ยากแล้ว”

“เจ้าไปทางเดิม ก็ไม่พบหรอก…”

ฉีเทียนหมิงส่ายหัวอีกรอบ

“ไม่พบรึ?”

คิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นเป็นปมแน่น ในใจบังเกิดลางไม่ดีประการหนึ่ง

“อืม ไม่พบ”

ฉีเทียนหมิงกล่าว “ทุกคราที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางล้างอันดับใหม่ นอกจากผู้คนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่ยังตกค้างก็จะถูกส่งตัวออกมาแล้ว สภาพแวดล้อมใดๆด้านในก็จะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย”

“เท่าที่ข้ารู้ แม้แดนสววรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะอยู่มานานมากแล้ว หากแต่รูปแบบสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศยังไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว…และทุกคราที่บังเกิดความเปลี่ยนแปลง สถานที่ตั้งค่ายของคฤหาสน์อมตะอื่นๆก็จักเปลี่ยนไป ไม่มีทางปรากฏขึ้นในลักษณะเดิม”

“ดังนั้นต่อให้ตอนนี้เจ้าจะจำทางไปค่ายคฤหาสน์อู่จ้านจากค่ายคฤหาสน์เฉวียนโยวได้แล้ว แต่พอเจ้าเข้าไปอีกครั้งในเดือนหน้า หากเจ้ามุ่งหน้าไปตามทิศทางเดิม ก็ไม่มีทางพบเจอค่ายคฤหาสน์อู่จ้านแน่”

ฉีเทียนหมิงกล่าวถึงจุดนี้ ก็มองต้วนหลิงเทียยนด้วยสายตาลึกซึ้ง “ที่ข้ากล่าวมา…เจ้าคงเข้าใจใช่ไหม”

“เข้าใจแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขื่นขมพลางพยักหน้ารับ “ข้าไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรแบบนี้ด้วย…หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีแผนที่”

สภาพแวดล้อมและลักษณะภูมิประเทศของแดนสวรรค์ใต้โบราณจะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการล้างอันดับ…

ค่ายของคฤหาสน์อมตะต่างๆ ก็จะเปลี่ยนสถานที่ตั้ง

แบบนี้จะให้วาดแผนที่กันยังไง?

มันเป็นไปไม่ได้เลย

“ผู้ตรวจการฉี!”

“ผู้ตรวจการฉี!”

ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก และน้ำเสียงของคนเหล่านี้ก็ฟังดูไม่ได้ยำเกรงเหมือนเหล่าศิษย์และอาวุโสทั่วไปในคฤหาสน์เฉวียนโยว กระทั่งเรียกหาฉีเทียนหมิงอย่างเป็นกันเองนัก

“ผู้นำยังไม่ทันมา แต่เจ้าพวกแพะชรานี่กลับมากันไวเสียจริง”

ได้ยินเสียงเรียกหาที่ดังมาจากด้านนอก ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมารอบหนึ่ค่อยหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “ต้วนหลิงเทียน พวกแพะเฒ่าที่มาหาข้าล้วนแล้วแต่เป็นสหายข้าทั้งหมด…ในบรรดาคนที่มายกเว้นไว้ผู้หนึ่ง ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นอดีตคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลทั้งสิ้น”

3 นิกาย 2 ตระกูล ก็ได้แก่นิกายอมตะเป้าผู่ นิกาอมตะอวิ๋นไถ และนิกายอมตะเหอฮวน ส่วน 2 ตระกูลก็คือ ตระกูลจ่างซุน และตระกูลกงหยาง

ในตอนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นคนใหญ่คนโตของ 3 นิกาย 2 ตระกูลมาบ้างแล้ว

ในบรรดาคนของ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่มาวันนั้น ก็มีปี้ไห่หมิงเฟิงที่เป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่เขาพึ่งเจอไม่กี่วันก่อนรวมอยู่ด้วย

“ที่พวกมันแห่กันมาตอนนี้ ไม่พ้นต้องได้รับทราบข่าวว่าเจ้าออกมาแล้วเป็นแน่ พวกมันคงคิดมาหาเจ้า…”

ฉีเทียนหมิงกล่าวคาดเดา

และก็เป็นอย่างที่ฉีเทียนหมิงกล่าวจริๆ

คนที่มาหาฉีเทียนหมิงถึงที่เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสหายและเป็นผู้ตรวจการเหมือนกัน ทั้งหมดอยากมาดูโฉมหน้าต้วนหลิงเทียน

ตอนนี้แทบทุกคนในคฤหาสน์เฉวียนโยว ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ไปทำธุระด้านนอกหรือปิดด่าน อย่างน้อยๆต้องเคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนสักครั้ง

ด้วยเหตุนี้สหายฉีเทียนหมิงจึงบังเกิดความสนใจในตัวต้วนหลิงเทียนมาก

พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณแล้ว แถมยังจากไปพร้อมฉีเทียนหมิง พวกมันก็มาหาถึงบ้านฉีเทียนหมิงทันที

และผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนเก่าคนแก่ของ 3 นิกาย 2 ตระกูลทั้งสิ้น

ทำให้แต่ละคนสนิทสนมกับฉีเทียนหมิงไม่น้อย และต่อหน้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากคนแก่ใจดี

เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้ดี

ว่าเหตุผลที่ทุกคนพากันแห่มาบ้านฉีเทียนหมิง และแลดูใจดีกันแบบบนี้ทั้งหมดเป็นเพราะความสำเร็จของเขา

อายุไม่ถึงร้อย บรรลุขุนนางอมตะ 10 ทิศ

แถมยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติ 6 ประการอีก…

ความสำเร็จดังกล่าวอย่าว่าแต่คฤหาสน์อมตะระดับ 6 แม้แต่ 10 ตระกูลใหญ่ 5 นิกายหลักของแดนสวรรค์ใต้ยังไม่พ้นต้องตกตะลึงกันยกใหญ่

และในวันเดียวกันนั้นเอง…

ก็มีข้อความส่งมาถึงรองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เฉินหยวนซาน

“ต้วนหลิงเทียน อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศ เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น 6 ประการ ได้รับการแนะนำจากฉีเทียนหมิงจึงได้เข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยว…”

“ฉีเทียนหมิง…ในอดีตมันเป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่…”