“ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด?”

พอได้ยินเสียงตื่นตระหนกตกใจที่โพล่งดังขึ้นในร่างอย่างพร้อมเพรียงของทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ!

เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เขาเห็นทั้ง 3 ตกใจจนเสียอาการขนาดนี้!

“แล้วผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดมันคืออะไรหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนเร่งเอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้เป็นที่สุด อย่างไรก็ตามเทพแห่งธาตุในร่างทั้ง 3 กลับเงียบไม่ตอบคำเขา…ราวกับยังตกตะลึงอึ้งกันไม่หาย!

“พี่เจียหลง นี่คืออะไรหรือ?”

ในเมื่อเทพแห่งธาตุในร่างเขาเงียบไปไม่ตอบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามหวงเจียหลงออกไปเท่านั้น

ในเมื่อหวงเจียหลงเป็นคนนำมันออกมา หมาความว่าอย่างน้อยๆก็ต้องพอรู้บ้างแหล่ะว่ามันคืออะไร…

“กล่าวตามตรงข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่…แต่ข้ารู้อย่างหนึ่ง สิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวตนที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!”

“นอกจากนั้นสิ่งนี้…ดูเหมือนมันจะมีส่วนช่วยให้ใครที่มีวาสนา สามารถทำความเข้าใจกฏแห่งมิติได้ อย่างไรก็ตามข้าโง่เขลาและไม่สันทัดเรื่องกฏแห่งมิติจริงๆ เพราะถึงแม้ข้าจะได้มันมาหลายปีแล้ว แต่ข้ากลับไม่อาจทำความเข้าใจอะไรได้เลย”

หวงเจียหลงกล่าวออกเสียงขรึม

“ช่วยให้เข้าใจกฏมิติ?”

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวับวาวขึ้นมาทันใด “พี่เจียหลง แล้วท่านไปได้ของสิ่งนี้มาจากไหนหรือ?”

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำพูดของหวงเจียหลง รวมกับวาจาที่เทพแห่งธาตุในร่างโพล่งขึ้นด้วยความตื่นตระหนกอย่างพร้อมเพรียงนั่น ก็ทำให้อารมณ์ของเขาเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาสุดระงับ

ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด?

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่แน่ใจว่าผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดคืออะไร แต่เขารู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดนั่นเป็นตัวตนระดับไหน!

นั่นคือตัวตนที่ทรงพลังสูงสุดในสวรรค์และโลกแห่งนี้ ตัวตนที่ทอดตามองลงทั้งใต้หล้า! เป็นตัวตนที่สูงส่งยากจะพบพานกันได้ง่ายๆ พลังอำนาจยิ่งใหญ่เหลือเกิน!!

อย่างเช่นระนาบเทพ ที่เป็นระนาบนอกเหนือจากระนาบเทวโลกและระนาบโลกียะ ก็เป็นระนาบที่ถูกเปิดสร้างโดยผู้แข็งแกร่งที่สุด!

ยิ่งไปกว่านั้นต้องทราบด้วยว่าระนาบเทพนั้น สวรรค์และโลกยอมให้ดำรงอยู่ได้แค่สิบกว่าระนาบเท่านั้น…

เช่นนั้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นตัวตนยากพบพานทั้งทรงพลังอำนาจขนาดไหน ก็พอจะจินตนาการออกได้ไม่ยาก

“เรื่องนี้…ต้องเล่าย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน”

แววตาหวงเจียยหลงทอประกายหวนรำลึกวาบหนึ่ง “ปีนั้น ข้ายังพึ่งเป็นแค่จินเซียนตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น และข้ากับสหายไม่กี่คนก็กำลังอยู่ในระหว่างออกเดินทางท่องไปทั่วประเทศฝูชิวเพื่อฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเอง แน่นอนว่าถึงจะกล่าวว่าเป็นการออกเดินทางฝึกฝน หากแต่ก็มียอดฝีมือลอบติดตามให้ความคุ้มครองความปลอดภัย”

“วันนั้นข้ายังจำได้แม่น ระหว่างที่พวกเรากำลังเหินร่างอยู่เหนือป่าแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆก็เสมือนมีพลังบางอย่างโถมถันเข้าใส่จนสติข้าดับวูบไป…พอฟื้นขึ้นมาข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน! แค่รู้ว่าไม่เพียงข้าจะอยู่ตัวคนเดียวแล้ว แถมที่ๆข้าอยู่ มันไม่ใช่ป่าที่พวกเรากำลังเหินผ่านก่อนหมดสติแน่นอน…”

“พอฟื้นมาอยู่ในสถานที่แปลกตาและตัวคนเดียว ข้าก็หวาดกลัวมาก จากนั้นข้าก็รีบใช้ยันต์อมตะสื่อสารติดต่อหาท่านพ่อโดยการบอกลักษณะภูมิประเทศที่ข้าเห็นก่อนใดอื่น จากนั้นข้าก็ไปซ่อนตัวในโพรงไม้ใกล้ๆบึงน้ำแห่งหนึ่ง”

“ข้าไม่อาจลืมภาพนั้นได้เลย…ในระหว่างที่ข้ารอให้คนมาช่วยนั้น ข้าที่มองลอดโพรงไม้ออกไป กลับเห็นว่าภูมิประเทศเบื้องหน้าอยู่ๆก็คล้ายถูกพลังมหาศาลบิดเบือน! กระทั่งความว่างเปล่ายังพังทลายเป็นเสี่ยง รอยแยกมืดดำสยดสยองที่ราวกับปากอสูรกายนั่นขู่ขวัญข้าแทบตาย วินาทีนั้นข้าอดคิดไม่ได้ว่าใช่ฟ้าถล่มลงมาแล้วหรือไม่…”

“จากนั้นข้าก็ตระหนักได้ ว่าสมควรมีตัวตนอันทรงพลังถึงขีดสุดประมือกันไกลๆ…แม้ฉากเรื่องราวที่ข้าเห็น จะมีแต่ความมืดดำ และความว่างเปล่าที่พังทลายไปปานกระจก แต่ข้าก็พยายามเฝ้าดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ให้คลาดสายตา…จนในที่สุดหลังผ่านไป 2 วัน 2 คืนเต็มๆ ข้าก็ได้เห็นตัวการที่ทำให้ความว่างเปล่าพังทลายเสียที…”

“คนหนึ่งนั้นอาการสาหัสนัก แค่ดูก็รู้ว่ากำลังจะแตกดับเต็มที ส่วนอีกคนก็แค่แลดูอิดโรยตามตัวเต็มไปด้วยรอยแผลยยิบย่อยมากมาย…จากนั้นทั้งคู่คล้ายคุยอะไรกันสักพัก อยู่ๆก็วูบหายไปแล้วฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็พินาศย่อยยับปานฟ้าถล่มอีกรอบ ข้าชมดูอยย่างหวาดกลัวจนผ่านไปอีกวัน ข้าก็พบว่าคนที่อาการสาหัสในตอนแรก ไม่ทราบพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร แต่มันกลับกลายเป็นฝ่ายรุกไล่คนที่ดูอิดโรยและมีบาดแผลยิบย่อยนั่นได้!”

“ท่ามกลางห้วงมิติปั่นป่วน หนึ่งหลบหนีหนึ่งไล่ฆ่า…สุดท้ายผู้ที่เลือกจะหลบหนี ก็หันมองมาราวกับจะสังเกตเห็นข้าในโพรงไม้ จากนั้นมันก็ซัดบางสิ่งมาให้ข้า ทั้งสะบัดมือตบฟาดมาทางข้า และข้าจำได้แม่นเลยว่าฉากที่ข้าเห็นวินาทีนั้น ก็คือฉากความว่างเปล่ากำลังแตกสลายปานกระจก จนเผยห้วงแห่งความมืดมิดกำลังลุกลามเข้ามา…”

“น้องต้วนรู้หรือไม่ว่าความสิ้นหวังเป็นอย่างไร? ตัวข้ารู้ดี…เพราะวินาทีนั้นข้านึกว่าตัวเองต้องตกตายแล้วแน่ๆ! เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ทราบ ว่าเมื่อความว่างเปล่าพังทลาย หากพลัดหลงเข้าไปในห้วงมิติมืดดำที่เต็มไปด้วยพลังมิติแปรปรวนนั่น กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ยังมีโอกาสตกตายสูง! แต่สุดท้ายข้ายังรอดแถมถูกส่งมาอยู่ที่ใดอีกก็ไม่รู้!!”

“แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ สำคัญคือเรื่องที่ทั้งคู่นั่น…มีพลังทำลายความว่างเปล่าไม่พอ พวกมันยังสู้กันท่ามกลางห้วงมิติแปรปรวนได้อีก ทำราวกับพลังผันผวนที่ทำลายทุกสิ่งดขยี้ทุกอย่างของห้วงมิติเป็นแค่สายลมเย็นๆ ไม่อาจทำร้ายอะไรพวกมันได้เลย…”

กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของหวงเจียหลงก็เต็มไปด้วยยความหวาดกลัว ทั้งไม่อยากจะเชื่อ “ตั้งแต่วินาทีนั้นข้าตระหนักได้ทันที…ไม่ว่าคนกำลังหนีผู้นั้นซัดอะไรมาให้ข้า แต่มันต้องไม่ใช่สิ่งของธรรมดาๆแน่”

“หลังจากนั้นข้าก็เก็บของสิ่งนี้เอาไว้ในแหวนพื้นที่ตลอดเวลา…ทว่าพิกลนัก แม้จะเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ แต่หากข้าสวมแหวนพื้นที่วงนั้น ยามใดที่ข้าพักจากการบ่มเพาะแล้วนอนหลับ ร่างของชายที่หลบหนีและซัดสิ่งนี้มาให้ข้า จะปรากฏตัวขึ้นในฝันอย่างประหลาด และเริ่มใช้พลังพิสดารต่างๆออกมาจากเรียบง่ายกลายเป็นซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ”

“ตอนแรกๆข้าก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ข้าเห็นมันคือพลังอะไร…ต่อมาภายหลังเมื่อข้าเติบโตขึ้น ก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้น จึงพบว่าที่แท้พลังที่คนผู้นั้นใช้ในความฝันก็คือพลังของกฏมิติ!”

“โชคร้ายที่จวบจนทุกวันนี้ ข้ายังไม่อาจมองเห็นเส้นสนกลในใดๆได้เลย ไม่มีวี่แววว่าข้าจะเข้าใจมันได้แม้แต่นิดเดียว…จนพอได้ยินว่าเจ้าได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์ทั้งเชี่ยวชาญกฏแห่งมิติแล้ว ข้าจึงคิดว่ามิสู้มอบสิ่งนี้ให้เจ้าเสียประเสริฐกว่า เพราะต่อให้ข้าเก็บไว้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากหินโง่ๆก้อนหนึ่ง”

กล่าวถึงจุดนี้ หวงเจียหลงก็ยกมือเล็กน้อย ทำท่าราวกับจะบอกให้ต้วนหลิงเทียนรีบรับสิ่งของในมือไป

หากแต่ต้วนหลิงเทียนยังยืนนิ่ง

นั่นเพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปแล้วจริงๆ

‘อยู่ในห้วงมิตินั่นได้สบายๆราวกับพลังมิติแปรปรวนเป็นแค่สายลมเย็นๆ?’

‘ห้วงมิติในระนาบเทวโลกนั้นต่างจากห้วงมิติในระนาบโลกียะลิบลับ…ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในนั้นได้นาน!’

‘ต่อให้เป็นเทพระดับต่ำหากเจอพายุมิติในนั้นยังต้องตายด้วยซ้ำ….’

‘เมื่อครู่ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูดว่า ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด…หรือของสิ่งนี้จะเป็นของผู้แข็งแกร่งที่สุด?’

คิดถึงจุดนี้ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลง ลมหายใจยังเริ่มเปลี่ยนเป็นถี่รัวขึ้น

“ไอ้หนู รีบคว้ามาเร็วเข้า!!”

“เจ้าหนู เจ้าโชคดียิ่งนัก! ด้วยมีมัน เส้นทางของเจ้าในภายภาคหน้าของเจ้า เรียกว่าราบรื่นไร้ปัญหาแล้ว!!”

“ยังจะยืนเอ๋ออะไรอยู่เล่า รีบฉกมาเร็วๆซี่! เด๋วเจ้านี่เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจะทำยังไง! ในสวรรค์และโลกแทบไม่มีสมบัติใดมีค่าเทียบเทียมมันได้แล้ว!!”

เสียงทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินโพล่งดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ทำราวกับกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะพลาดได้สิ่งนั้นมา หรือหวงเจียหลงเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้แล้ว

“ตกลงมันคืออะไรกันแน่?”

ต้วนหลิงเทียนเร่งเอ่ยถามทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหลและปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินออกไปทันที “เมื่อครู่พวกท่านพูดว่า ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด…หรือว่าของสิ่งนี้เกิดจากการตกผลึกอะไรจากผู้แข็งแกร่งที่สุด?”

“มิผิด ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็คือองค์ความรู้และภูมิปัญญาเกี่ยวกับกฏใดกฏหนึ่งของผู้แข็งแกร่งที่สุด ที่ตกผลึกออกมาหลังเข้าถึงแก่นแท้แล้ว สิ่งนี้เป็นดั่งมรดกชั่วชีวิตของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่จะมอบให้ผู้สืบทอด! และสิ่งนี้หากมิใช่ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดจงใจมอบให้ด้วยเจตจำนงของตัวเอง ไม่มีผู้ใดในสวรรค์และโลกบีบบังคับให้ส่งมอบออกไปได้…”

เสียงเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้นไขข้อสงสัยให้ต้วนหลิงเทียน “เมื่อครู่สหายของเจ้ากล่าวว่าหลังได้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดชิ้นนี้มา ยามหลับมันฝันเห็นถึงงผู้แข็งแกร่งที่สุดผู้นั้นใช้พลังของกฏมิติ…เช่นนั้นกล่าวได้ว่า ผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดชิ้นนี้ ก็คือองค์ความรู้และภูมิปัญญาในกฏแห่งมิติชั่วชีวิตของผู้แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นที่ตกผลึกแล้ว และมันสมควรอาศัยการแตกฉานในกฏแห่งมิติ เพื่อบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด”

“ตัวตนเช่นนี้ในแง่ความรู้ความเข้าใจในกฏแห่งมิติ ให้มองไปทั่วมหาสหัสโลกธาตุก็เกรงว่าจะมีแต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าใจกฏมิติที่ลึกล้ำกว่าและมีพลังฝีมือสูงกว่าเท่านั้น ถึงจะเทียบเทียมได้…”

“หากเจ้าได้สิ่งนี้มา ความเร็วในการทำความเข้าใจลึกซึ้งกฏแห่งมิติของเจ้าจักรวดเร็วสุดของเจ้า จะรวดเร็วถึงขั้นไร้ผู้ต้าน…กล่าวได้ว่าต่อให้เป็นพวกเราที่บรรลุขั้นที่ 9 มาช่วยเจ้าทำความเข้าใจกฏแห่งธาตุของพวกเรา ยังทำให้เจ้าเข้าใจได้รวดเร็วมิสู้ของสิ่งนี้ช่วยให้เจ้าเข้าใจกฏมิติด้วยซ้ำ…”

กล่าวถึงจุดนี้เพลิงเทพโกลาหลอดไม่ได้ที่จะถอนหายยใจออกมาอยย่างสะทกสะท้อน “เจ้าหนูข้าอยากรู้จริงๆว่าชาติที่แล้วเจ้าไปกอบกู้มหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้มาหรือไร เจ้าถึงมีโอกาสได้รับของสิ่งนี้ได้? กลับกันเจ้าหนูสหายของเจ้าคนนี้ ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี มันได้รับสิ่งเลิศล้ำที่สุดมาอยู่ในมือ แต่ตัวมันกลับไร้วาสนา เป็นร้อยปีกลับไม่เข้าใจแม้แต่ความหมายแห่งมิติ…สิ่งนี้บอกให้รู้ว่ามันถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับกฏแห่งมิติไปชั่วชีวิต!”

“ในแง่การตระหนักรู้กฏแห่งมิติ…มันประหนึ่งตอไม้แห้ง!!”

ในโลกนี้บางคนมีโชคชะตาและพรสวรรค์สำหรับกฏใดกฏหนึ่งเป็นพิเศษ เมื่อฝึกฝนตีความแล้วจะเข้าใจรวดเร็วมากกว่ากฏอื่นๆ กลับกันก็จะมีบางกฏที่ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ เป็นอะไรที่ชั่วชีวิตก็ไม่มีวันแตะถึงธรณีประตูได้เลย…

และหวงเจียหลงเห็นได้ชัดว่าเป็นแบบนี้

มันไม่มีวันเข้าใจกฏแห่งมิติไปชั่วชีวิต

เพราะมันได้รับผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่แตกฉานกฏมิติมานานนับร้อยปี แต่มันไม่แม้แต่จะเข้าใจความหมายแห่งมิติด้วยซ้ำ เช่นนั้นก็หมดหวังเรื่องจะเข้าถึงกฏแห่งมิติได้ชั่วชีวิตแล้วจริงๆ!

ฟืด!

หลังได้ยินคำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก มองไปยังผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในมือหวงเจียหลงอีกครั้ง ดวงตายังทอประกายวาวโรจน์

ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งงที่สุดที่แตกฉานกฏมิติ!

หากเขาได้มันมา วันหน้าขณะที่เขาทำความเข้าใจกฏมิติ เส้นทางของเขาจะราบรื่นไร้ติดขัด และไม่มีการหลงทางแน่นอน!!

“พี่เจียหลง…ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งของในมือท่านมันมีค่าแค่ไหน?”

ต้วนหลิงเทียนมองหวงเจียหลงด้วยสายตาจริงจัง กล่าวออกเสียงขรึม

“ไม่ว่าของสิ่งนี้จะมีค่าแค่ไหนก็ตาม แต่มันอยู่ในมือข้ามาร้อยปีแล้วแต่กลับไม่ทำให้ข้าได้รับประโยชน์อะไรสักอย่าง…มาตอนนี้ เจ้ากลับเข้าใจกฏแห่งมิติอย่างร้ายกาจถึงขั้นเอาชนะสุดยอดฝีมือในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจนคว้าที่ 1 มาได้ บ่งบอกให้รู้ว่า ถ้ามันอยู่ในมือเจ้า มันสมควรมีประโยชน์มากกว่า…เช่นนั้นขอเจ้ารับไว้เถอะ”

หวงเจียหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พี่เจียหลง สิ่งนี้เรียกว่าผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด…”

หากแต่ต้วนหลิงเทียนไม่รับมา กลับเลือกที่จะมองสบตาหวงเจียหลง และกล่าวออกด้วยน้ำเสียจริงจัง บอกให้หวงเจียหลงรู้ว่าผลึกสีดำในมือ ที่แท้คืออะไร

และการกระทำของต้วนหลิงเทียน ที่ไปบอกมูลค่าของสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะหยิบยื่นให้แบบนี้ ก็ทำให้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาอย่างร้อนรน “เจ้าโง่! หัวเจ้าไปโดนลาเตะมารึไง? บัดซบเอ๊ย เจ้าจะไปบอกมันทำเพื่อ! พอมันรู้แล้วว่านี่คือผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด มันยังจะให้เจ้าอีกรึไง…เจ้ามันโง่เง่าเต่าตุ่นสิ้นดี!!”

ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินสติหลุดลอยไปแล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่สนใจ

เขาเป็นคนมีหลักการ และในใจก็มีบรรทัดฐาน

หวงเจียหลงเห็นเขาเป็นดั่งพี่น้องแท้ๆ กระทั่งยอมตายไม่ยอมขายเขา! จะให้เขาใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ของหวงเจียหลงหรือ?

ไม่มีวัน!

“ผู้แข็งแกร่งที่สุดหรือ! ให้ตายเถอะ ที่แท้ตัวตนอันทรงพลังที่สู้กัน 2 คนที่ข้าเจอตอนนั้นคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในสวรรค์และโลกเชียวหรือ!? แล้วยังเป็นตัวตนที่เหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์อีก!?”

หวงเจียหลงตื่นตระหนกตกใจแล้วจริงๆ เรื่องนี้ได้ขยายโลกทัศน์ให้มันมาก

“น้องต้วน เช่นนั้นเจ้ายิ่งสมควรรับไว้…ข้าเชื่อว่าด้วยมีผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดชิ้นนี้ อนาคตของเจ้าต้องก้าวไกลสุดที่ข้าจะจินตนาการได้ออกแน่! ข้าเพียงหวังว่าวันหน้าเมื่อเจ้ากลายเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานแล้ว เจ้าจะหาเวลาแวะกลับมาก๊งสุราเล่าความหลังกับข้าบ้าง…”

ถึงแม้หวงเจียหลงจะได้รับทราบแล้วว่าสิ่งของในมือคืออะไรและมีผลประโยชน์เลิศล้ำขนาดไหน แต่มันก็ยังเลือกจะมอบให้ต้วนหลิงเทียนอยู่ดี

“พี่เจียหลง นี่คือผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด…หากท่านเก็บไว้ วันหน้าไม่แน่ท่านอาจบังเกิดความตระหนักรู้ในกฏมิติขึ้นมาสักวัน และประสบกับคำหนึ่งก้าวถึงฟ้าด้วยตัวเอง”

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เอื้อมมือไปรับเอาไว้ เพียงกล่าวย้ำเตือนหวงเจียหลง

“อั้ย เจ้ารับไว้เถอะหน่า…เรื่องอื่นข้าอาจไม่รู้ แต่ข้าน่ะรู้ตัวเองดี!”

หวงเจียหลงยิ้มกล่าว “ที่สำคัญ วันนี้ที่ข้ากลายเป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขใหญ่นิกายอมตะเหอฮวนได้ ก็ต้องขอบคุณเจ้าไม่ใช่รึไง? เพราะเสมือนข้าเกาะข้าพึ่งบารมีเจ้ายังไงยังงั้นแน่ะ…”

“เช่นนั้นมิได้หมายความว่า วันหน้าเจ้ายิ่งกลายเป็นตัวตนที่สูงส่งมากเท่าไหร่ ข้าก็สามารถเกาะขาเจ้าทะยานฟ้าได้มากขึ้นเท่านั้นรึไง? เทียบกับการที่ให้ข้าเก็บเอาไว้โดยที่ไม่รู้เมื่อไหรจะใช้ได้…ไม่ใช่ว่าข้าฉลาดเลือกหรือไรที่ให้เจ้า? สิ่งนี้เรียกว่าใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดไงเล่า!!”

หวงเจียหลงกล่าวจบก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน มันแลดูสบายๆทั้งปลอดโปร่งนัก

ทำราวกับผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เป็นแค่หินโง่ๆสำหรับมันแล้วจริงๆ