WSSTH ตอนที่ 3,214 : หุบเขาน้ำแข็ง

ทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือของแดนทักษินยุทธ์นั้น นอกจากนิกายอมตะระดับ 6 อย่างนิกายเสวี่ยหยาแล้ว ยังมีขุมกำลังระดับ 6 อื่นๆอีก 3 ขุมกำลัง

หนึ่งในนั้นเป็นนิกายอมตะระดับ 6 เช่นกัน ส่วนอีก 2 ขุมกำลังเป็นตระกูลระดับ 6

หลังจากต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อได้กลายเป็นผู้อาวุโสทรงเกียรติของนิกายอมตะเสวี่ยหยาแล้ว ทั้งคู่ก็ได้พักอาศัยในหุบเขาที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ของนิกายเคยใช้ เพราะที่นี่คือสถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดในนิกายอมตะเสวี่ยหยา

กระทั่งประมุขนิกายอมตะเสวี่ยหยาเอง ยังมีสถานที่บ่มเพาะไม่ดีเท่านี้

อีกทั้งหุบเขานี้ยังจัดเป็นสถานที่ต้องห้ามของนิกายยอมตะเสวี่ยหยาอีกด้วย นอกจากประมุขและตัวผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 แล้วคนอื่นๆของนิกายอมตะเสวี่ยหยาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา

อย่างไรก็ตามตอนนี้มีผู้ที่สามารถเข้ามาได้เพิ่มขึ้น 2 คน ก็คือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่นเอง

“พี่หลิงเทียน ข้าชอบที่นี่จัง”

ในบ้านลานเล็กๆที่ปลุกสร้างไว้มุมหนึ่งของหุบเขา ห่วนเอ๋อที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลาน กำลังโล้ชิงช้าเล่นอย่างสนุกสนานราวเด็กน้อย หันไปยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนไม่ไกล

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังนั่งละเลียดชาที่พึ่งได้มาอยู่

ผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ของนิกาอมตะเสวี่ยหยาได้มอบชาให้เขามาป้านหนึ่ง เรียกว่าหยาดน้ำฟ้าลอยเมฆ และมันเป็นชาที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาปลูกเอง ผู้ที่มีด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าขุนนางอมตะ หากดื่มเป็นประจำยังมีส่วนช่วยในการบ่มเพาะพลังไม่น้อย

อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เขาทำได้แค่ลิ้มรสชาติมันเท่านั้น

และต้องบอกเลยว่ามันรสชาติดีไม่เบา

“ในเมื่อฮ่วนเอ๋อชอบก็อยู่ที่นี่เพื่อบ่มเพาะฆ่าเวลา…มีนิกายอมตะเสวี่ยหยาเป็นหูเป็นตา หากพบโอกาสใดๆ พวกเราก็จะได้รู้จากนิกายอมตะเสวี่ยหยา และสามารถเข้าร่วมแข่งขันช่วงชิงได้ทันท่วงที”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม

“หืม?”

ทว่าทันใดนั้นเอง คล้ายต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สองตาเขาจึงกวาดมองไปนอกลานทิศทางหนึ่ง

ปรากฏร่าง 3 ร่างกำลังเดินเข้ามา สองผู้ชราที่เดินนำหน้านั้นเขาคุ้นหน้าแล้ว เพราะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ที่เขาเคยเจอ…ส่วนชายวัยกลางคนที่เดินตามหลังทั้งคู่มาต้อยๆ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ยากที่เขาจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ประมุขนิกายยอมตะเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้

“อาวุโสทรงเกียรติฮ่วนเอ๋อ อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน”

ทั้ง 3 เดินมาถึงประตูทางเข้าลานก็หยุดลง และชายชราทั้ง 2 ก็ให้เสียงทักทายออกมามากเคารพ

“เข้ามาเถอะ”

จนเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวเชิญ ทั้ง 3 จึงกล้าที่จะเดินเข้ามา

ตอนนี้เองก็เป็นชายวัยกลางที่อยู่ด้านหลังชายชราทั้ง 2 ก้าวออกมาประสานมือโค้งคารวะทักทายต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออย่างนอบน้อม “ข้าน้อย ประมุขนิกายเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้ ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้งสอง”

“ยินดีที่ได้พบประมุขไฉ…ว่าแต่ไฉนพวกท่านมากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยเล่า?”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำทักทายด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกวาดตามองทั้ง 3 แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย

ชายชราทั้ง 2 นั้นเป็นอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะเสวี่ยหยาแห่งนี้ ชายชราที่แลดูรูปร่างสูงใหญ่กว่าด้านซ้ายเรียกว่า เหลี่ยนชิวเหอ ซึ่งถูกฮ่วนเอ๋อทุบตีจนเปลี้ยนในหนึ่งกระบวนท่า เรียกว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮ่วนเอ๋อเลย!

ต้องทราบด้วยว่าแม้อีกฝ่ายจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันแล้ว ก็ไม่อาจต้านทานหนึ่งกระบวนท่าที่ฮ่วนเอ๋อลงมือส่งๆได้ไหว

สำหรับชายชราร่างผอมที่อยู่ด้านขวานั้นเรียกว่า เห่าวั่ง และหลังเห็นเหลี่ยนชิวเหอไม่ใช่คู่มือฮ่วนเอ๋อเลย มันก็ยืงนิ่งขาตาย ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ

ทั้ง 2 เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายอมตะเสวี่ยหยาแล้ว เป็นดั่งเสาหลักที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาไม่อาจขาดได้

“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ข้าน้อยมีบางเรื่อง ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีออกหน้าช่วยเหลือพวกเราสักครั้งได้หรือไม่”

เหลี่ยนชิวเหอกล่าวออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ไหนลองว่ามา”

ต้วนหลิงเทียนมองถามเหลี่ยนชิวเหอด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายจะให้เขาช่วยเหลือเรื่องอะไร

หากเป็นเรื่องที่เขาทำได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยพวกมัน เพราะสุดท้ายเขากับฮ่วนเอ๋อก็ตั้งใจจะพักอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ และอาศัยกำลังของพวกมันหาทรัพยากร

“เรื่องเป็นเช่นนี้…”

จากนั้นเหลี่ยนชิวเหอก็เริ่มปริปากกล่าวอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมา “ลึกเข้าไปในทุ่งน้ำแข็ง มีหุบเขาน้ำแข็งลี้ลับแห่งหนึ่ เมื่อไปบ่มเพาะสั่งสมพลังที่นั่นไม่เพียงแต่จะสามารถดูดวับพลังวิญญาณฟ้าดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ยังสามารถสัมผัสได้กฏน้ำแข็งอีกด้วย”

“สถานที่ลี้ลับแห่งนั้น เป็นนิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเรากับอีก 3 ขุมกำลังของทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือแห่งนี้พบเจอในเวลาไล่เลี่ยกัน…เดิมทีพวกเราก็ตกลงกันว่าแต่ละขุมกำลังจักผลัดกันเข้าไปใช้หุบเขาน้ำแข็งลี้ลับนั่นขุมกำลังละ 3 เดือน…ต่อมาภายหลังเมื่อข้ากับเห่าวังพลังฝีมือก้าวหน้าไม่ทันจอมราชันอมตะอีก 3 ขุมกำลัง เช่นนั้นพวกมันจึงรวมหัวกันบีบเวลาเข้าใช้หุบเขาน้ำแข็งของนิกายเสวี่ยหยาเรา จาก 3 เดือนลดมาเหลือเพียงแค่ 1 เดือน…”

“ตอนนี้เมื่อนิกายอมตะเสวี่ยหยาเรามีท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้งสองแล้ว พวกเราจึงคิดจะไปทวงงเวลาที่สมควรเป็นของนิกาอมตะเสวี่ยหยาของพวกเรากลับมา”

“แต่ข้ามิทราบว่า…ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติจินดีออกหน้าช่วยเหลือสักครั้งหรือไม่”

หลังกล่าวถามประโยคนี้ออกไป เห็นได้ชัดว่าเหลี่ยนชิวเหอแลดูประหม่าไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนเบื้องหน้าก็พึ่งจะมาเข้าร่วมนิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกมันได้ไม่ทันไร พวกมันยังไม่ได้มอบผลประโยชน์อะไรให้อีกฝ่ายเลย แต่กลับขอให้อีกฝ่ายช่วยออกหน้าลงแรงแล้ว จึงดูไม่เกรงใจอยู่บ้าง

“มีสถานที่อะไรแบบนั้นด้วยรึ?”

ได้ยินสิ่งที่เหลี่ยนชิวเหอพูด ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที เพราะเขารู้ดีว่าสถานที่ลึกลับดังกล่าว ไม่มีทางก่อให้เปิดปรากฏการณ์ประหลาดแบบนี้โดยไร้สาเหตุแน่นอน ต้องมีบางสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่เป็นแน่!

ดุจเดียวกับสถานที่ลี้ลับทั้งหลายที่ขุมกำลังระดับสูงมักแย่งกันครอบครอง ปกติแล้วในสถานที่ลี้ลับทั้งหลาย มักมีทรัพยากรหรือสมบัติล้ำค่าบางอย่าง จึงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ได้

หากทรัพยากรหรือสมบัติล้ำค่าที่ว่าถูกเอาไป สถานที่ลี้ลับดังกล่าวก็จะกลายเป็นสถานที่ธรรมดาทันที

“ใช่”

เห่าวั่งพยักหน้า

“พวกท่านไม่ได้ตรวจสอบกันรึ ว่าที่นั่นมีอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ตรวจสอบ แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้…เพราะภายใต้สถานที่แห่งนั้นมีค่ายกลอันทรงพลังยิ่ง พวกเราเหล่าจอมราชันอมตะเคยร่วมมือกันจู่โจมแล้ว แต่กลับถูกค่ายกลสะท้อนพลังกลับจนแทบตาย…”

เห่าวั่งคลี่ยิ้มขื่นขม “ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พวกเราเจ็บตัวไปตามๆกัน ก็ไม่มีใครคิดจะสืบค้นความลับอันใดอีก…ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีดินแดนสักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับบ่มเพาะพลัง รวมถึงทำความเข้าใจกฏน้ำแข็ง ก็ทำให้พวกเราพอใจมากแล้ว”

“พวกมันรวมหัวกันบีบเวลาพวกท่านแบบนี้ หรือพวกมันไม่กลัวว่าวันหนึ่งพวกท่านจะนำเรื่องนี้ไปโพทนา?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม

“เป็นเพราะพวกมันกลัวพวกเราทำเช่นนั้นนั่นล่ะ พวกมันจึงเหลือเวลาให้พวกเราเข้าใช้หุบเขาน้ำแข็งนั่น 1 เดือน หาไม่แล้วสักเดือนพวกมันก็ไม่เว้นให้…”

เหลี่ยนชิวเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม

“เอาล่ะพวกท่านนำทางไปเถอะ…ข้ากับฮ่วนเอ๋อจะไปดูหน่อย”

ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสนใจใคร่รู้ในสถานที่ลับแห่งนั้นไม่น้อย จึงกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อที่โล้ชิงช้าอยู่ จากนั้นก็ติดตามทั้ง 3 ออกจากลานไป

ทั้ง 5 เดินทางออกจากนิกายอมตะเสวี่ยหยา และมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ

หลังจากเดินทางได้ราวๆ 1 เค่อ ความเร็วในเการะเหาะเหินของ 3 ร่างเบื้องหน้าก็ช้าลง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอก็เลยชะลอตัวลงตาม

และตอนนี้ทุกคนก็มาเหินร่างลอยอู่ด้านนอกหุบเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง

“อากาศแถวนี้เย็นจริงๆ”

เมื่อมองลงไปยังหุบเขาน้ำแข็งเบื้องล่าง แม้จะอยู่ด้านนอกหุบเขา แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกด้านใน ราวกับต้นตอไอเย็นดังกล่าว เพียงพริบตาก็สามารถแช่ร่างเขาให้แข็งไปถึงกระดูกก!

“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 นี่คือสถานที่ๆพวกเรากล่าวถึง”

ประมุขนิกายอมตะเสวี่ยหยา ไฉฉงอี้ กล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อออกมาอย่างประจวบเหมาะ

“ตามข้อตกลงในอดีต ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนสมควรถึงรอบที่นิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเราจะได้เข้าใช้หุบเขาน้ำแข็งแล้ว…หากยึดตามข้อตกลงเดิมถึงพวกเราจะเข้าใช้ตอนนี้ ก็ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนครึ่ง”

เหลี่ยนชิวเหอกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างวาดหวัง “ดังนั้นพวกเราจึงหวังให้ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ออกหน้าทวงคืนเวลา 2 เดือนของพวกเรากลับมา…และวันหน้าพวกท่านก็สามารถแบ่งใช้สถานที่แห่งนี้กับพวกเราเพื่อบ่มเพาะพลังและตระหนักรู้กฏน้ำแข็ง…”

“หากพวกท่านเข้าไปในหุบเขา เวลาที่ใช้ในการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งจักรวดเร็วยิ่ง…หากพวกเราได้บ่มเพาะฝึกฝนที่นี่ปีละ 3 เดือน อย่างมากพันปี ความตระหนักรู้ในกฏน้ำแข็งของพวกเรา ก็สมควรก้าวหน้าเหนือกฏที่พวกเราตระหนักรู้อยู่ตอนนี้…”

เหลี่ยนชิวเหอคิดว่าคำพูดของตัวเองนั้น สมควรเย้ายวนใจต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อเป็นอย่างมาก แต่อันที่จริงเรื่องที่มันถูดไม่ได้ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อสนใจอะไรมากนัก

“ว่าแต่พวกท่านรวมถึงจอมราชันอมตะของ 4 ขุมกำลัง ไม่อาจเข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะร่วมกันได้หรือ? ไฉนต้องมาแบ่งให้แต่ละขุมกำลังผลัดกันใช้รอบละ 3 เดือนด้วย?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม

“ท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติหลิงเทียน ท่านยังไม่ได้เข้าไปยังสถานที่แห่งนี้จึงมิอาจรู้…”

เห่าวั่งคลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวอธิบาย “การฝึกฝนบ่มเพาะในนั้น ยิ่งมีคนเข้าไปใช้น้อยเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น…ไม่ว่าจะความเร็วในการบ่มเพาะพลังก็ดี หรือความเร็วในการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งก็ดี”

“เช่นนั้นหมายความว่า หากข้ากับฮ่วนเอ๋อเข้าไปใช้ ความเร็วในการบ่มเพาะรวมถึงความเร็วในการตระหนักรู้กฏน้ำแข็งของพวกท่านก็จะช้าลงด้วยสิ?”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว พลางถาม

“เป็นเช่นนั้นจริง”

เห่าวั่งพยักหน้า “อย่างไรก็ตามพวกเรา 3 คนคุยกันแล้ว…ว่าหากพวกท่านสามารถทวงคืนเวลา 2 เดือนมาได้ เช่นนั้นพวกเราทั้ง 3 จักใช้เวลา 1 เดือนเพื่อเข้าไปฝึกฝนร่วมกัน ส่วนอีก 2 เดือนที่เหลือก็ยกให้ท่านอาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2”

“นอกจากนั้นในช่วงเวลา 1 เดือนของพวกเรา หากผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ไม่รังเกียจก็สามารถเข้าไปบ่มเพาะกับพวกเราได้”

เห่าวั่งกล่าว

“แบบนี้พวกท่านก็แทบไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม

“คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยใบหน้า…หากท่านผู้อาวุโสทรงเกียรติทั้ง 2 ช่วงชิงเวลา 2 เดือนของพวกเราคืนมาได้ ก็เสมือนให้หน้าพวกเราและยังเป็นการกู้หน้าให้นิกายอมตะเสวี่ยหยาของพวกเรา เท่านี้พวกเราก็พอใจแล้ว”

เหลี่ยนชิวเหอกล่าว

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยชวนพลางเหินร่างนำฮ่วนเอ๋อเข้าไปในหุบเขาน้ำแข็งที่ฟุ้งตลบไปด้วยไอเย็นยะเยือกทันที

เขาเหินร่างเข้าสู่หุบเขาได้ไม่ทันไร ก็เริ่มแลเห็นร่าง 4 ร่างที่นั่งหลับตาบ่มเพาะพลังอยู่ด้านล่าง เป็นชายวัยกลางคน 2 คน และชายชรากับชายหนุ่มอย่างละคน

“ผู้ใด!?”

และเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อเหินร่างเข้ามา ทั้ง 4 ที่นั่งหลับตาบ่มเพาะอยู่ก็ลืมตาทั้งยืนขึ้น แหงนขึ้นมามองจ้องต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทันที

“คนของนิกายอมตะเสวี่ยหยา!”

ครู่ต่อมาชายชราคล้ายหูตาว่องไวกว่าใคร เหลือบไปเห็นอาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ของนิกายอมตะเสวี่ยหยาที่เหินร่างตามต้วนหลิงเทียนกับอ่วนเอ๋อก่อนอีก 3 คน

“พวกเจ้าจะออกไปเอง…หรือให้ข้าส่งพวกเจ้าออกไป?”

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองร่างทั้ง 4 รอบหนึ่งค่อยเอ่ยออกเสียงเบา

“ไฉฉงอี้ เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? ไฉนพวกเจ้าถึงได้พาคนนอกมาที่นี่? หรือพวกเจ้าลืมเลือนข้อตกลงที่พวกเรา 4 ขุมกำลังเห็นพ้องต้องกันแล้ว?”

ชายหนุ่ม 1 ในบรรดาร่างทั้ง 4 มองไฉฉงอี้ด้วยสายตาดุร้ายหน้าตาถมึงทึง เอ่ยถามออกไปเสียงหนัก!