WSSTH ตอนที่ 3,225 : ลูกชายประมุขนิกายปีศาจพันกร!
การที่เฟิ่งชีชีสามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง และปีนบันไดขึ้นไปได้ถึง 3,400 ขั้นแล้ว ก็ดึงดูดความสนใจของผู้ที่อยู่บริเวณตีนเขาแรงโน้มถ่วงนัก!
กระทั่งคนที่กำลังไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงเดียวกับเฟิ่งชีชี ยังถึงกับหยุดลงชั่วคราว พากันแหงนมองเฟิงชีชีด้านบนกันยกใหญ่
เฟิ่งชีชี 3,432 ขั้น
เฟิ่งชีชี 3,433 ขั้น
…
จำนวนขั้นบันไดของเฟิ่งชีชียังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการเพิ่มมันช้าลงอย่างมาก สุดท้ายกว่าจะขึ้นไปได้แต่ละขั้นก็กินเวลาถึง 10 กว่าลมหายใจ
สุดท้ายเฟิ่งชีชีก็หยุดลงตรงบันไดขั้นที่ 3,462 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง
แต่กระนั้นความสำเร็จของนางก็นับว่าโดดเด่นไม่น้อย
ตอนนี้แม้ฮ่วนเอ๋อจะอยู่ในอันดับที่ 2 หากแต่ช่องว่างระหว่างนางกับอันดับ 1 ก็กว้างมาก…
“ร้ายกาจจริงๆ! สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ที่มีอายุไม่ถึงพันปีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ…ความสามารถของเฟิ่งชีชีคนนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่า อวี่เจี้ยนเฉิน ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะในอดีตสักเท่าไหร่”
“มิผิด ย้อนกลับไปในตอนนั้น สถิติของอวี่เจี้ยนเฉินก็คือ 37,870 หมี่ หรือก็คือไปถึงบันไดขั้นที่ 3,787…วันนี้เฟิ่งชีชีหยุดลงที่บันไดขั้นที่ 3,462 นับว่าห่างกันอีกแค่ 300 กว่าขั้นเท่านั้น!”
“เฮ่อ อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ไม่ใชอะไรที่อัจฉริยะรากหญ้าอย่างเราๆจะเทียบได้เลย”
“น่าทึ่งจริงๆ”
“ว่าแต่มีผู้ใดสังเกตบ้างหรือไม่…ตอนนี้ไม่ว่าจะอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง ล้วนแล้วแต่เป็นอิตรีทั้งสิ้น! หรือบุรุษอย่างพวกเราไม่อาจสู้สตรีทั้ง 2 ได้จริงๆ?!”
…
ขณะที่เฟิ่งชีชีหยุดลงที่บันไดขั้นที่ 3,462 ของยอดเขาแรงโน้มถ่วง และกลายเป็นอันดับ 1 คนใหม่ ผู้คนที่อยู่บริเวณตีนเขาแรงโน้มถ่วงในแดนลับอัจฉริยะก็เริ่มคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น
เฟิ่งชีชี นับเป็นอัจฉริยะที่โด่งดังทั้งมีชื่อเสียงในแดนทักษินยุทธ์ไม่น้อย เพราะนางคืออัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดาคนที่มีอายุไม่ถึงพันปีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ
อย่างไรก็ตามเกือบทุกคนรู้แค่ว่านางน่าทึ่งและร้ายกาจมาก แต่ไม่เคยประมือกับนาง หรือเห็นนางลงมือกับตา ทำให้ไม่ทราบว่าที่แท้นางร้ายกาจอย่างไรกันแน่…
วันนี้ด้วยมีความสำเร็จดังกล่าว ทำให้หลายๆคนเริ่มตระหนักถึงพลังสามารถของเฟิ่งชีชี
เดิมทีเพราะผลงานของฮ่วนเอ๋อ ทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าคึกคักทั้งฮึกเหิมไม่น้อย แต่พอเห็นความสำเร็จที่เหนือกว่ากันอย่างมากของเฟิ่งชีชี ก็ทำให้เหล่าอัจฉริยะรากหญ้าจ๋อยกันไปเป็นแถบ
แต่หลายคนก็คิดว่าฮ่วนเอ๋อทำได้ดีมากแล้ว
“พวกเจ้าดูเร็ว มีอีกคนที่กำลังไต่ขึ้นยอดเขาแรงโน้มถ่วง หลังขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 2,000 ก็พุ่งพรวดขึ้นมาเลย”
“นั่นมันไป๋หลี่หงเฟย!”
“ไป๋หลี่หงเฟยอัจฉริยะอันดับ 1 ที่มีอายุน้อยกว่าพันปีของตระกูลไป๋หลี่! ว่ากันว่าพลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเฟิ่งชีชีแม้แต่น้อย!”
“รอดูเถอะ ว่าสุดท้ายมันจะขึ้นไปถึงขั้นใดกันแน่!”
…
ชื่อที่พึ่ปรากฏขึ้นและไต่อันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วงด้วยความเร็ว ก็คืออัจฉริยะอันดับ 1 ของตระกูลไป๋หลี่ ไป๋หลี่หงเฟย!
ชั่วพริบตาเดียวไป๋หลี่หงเฟงก็ไต่ขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 3,000 แล้ว
หลังจากนั้นความเร็วของมันก็เริ่มตกลง
และยิ่งมาก็ยิ่งชะลอตัวลงเรื่อยๆ แต่ละขั้นใช้เวลาเป็นสิบๆลมหายใจ
จนสุดท้ายมันก็ไปหยุดลงที่บันไดขั้นที่ 3,466 ซึ่งสูงกว่าเฟิ่งชีชีแค่ 4 ขั้นเท่านั้น…
“สูงกว่าเฟิ่งชีชี 4 ขั้น…เช่นนั้นหมายความว่าพลังฝีมือของมันเหนือกว่าเฟิ่งชีชีน่ะสิ!”
หลายคนคิดไปในทำนองดังกล่าว
เป็นธรรมดาว่าบางคนไม่คิดแบบนั้น “เฟิ่งชีชีปีนขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่ 3,462 ก่อนไป๋หลี่หงเฟย การไปได้สูงกว่า 4 ขั้นมิได้บ่งบอกว่าไป๋หลี่หงเฟยจะเหนือกว่านาง เพียงเพราะมันปีนขึ้นเขาทีหลัง และเห็นผลงานของเฟิ่งชีชีแล้ว จึงมีแรงผลักดันมากกว่า”
“จริง ข้าเองก็คิดแบบนั้น หากลองให้ไป๋หลี่หงเฟยไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงก่อน แล้วให้เฟิ่งชีชีไปทีหลัง ข้าว่าเฟิ่งชีชีก็ไปได้สูงกว่ามัน!”
…
ต้วนหลิงเทียนที่ฟังบทสนทนาขอผู้คนรอบๆอยู่ ก็รู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องนี้
เมื่อมีตัวเปรียบเทียบ ย่อมมีแรงผลักดันเพิ่มขึ้น!
หลังเฟิ่งชีชีพุ่งทะลวงขึ้นไปเกินความสูง 30,000 หมี่ และไปได้ไกลกว่าฮ่วนเอ๋อ นางก็เสมือนไร้คู่แข่งแล้ว ในเมื่อไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด สภาวะจิตใจจะมากจะน้อยก็ต้องมีหย่อนคล้อยกันบ้าง
กลับกัน ด้านไป๋หลี่หงเฟยนั้น ไม่พ้นมันต้องเต็มไปด้วยแรงผลักดันที่จะเหนือกว่าเฟิ่งชีชีแต่แรก แถมดูจากช่วงสุดท้ายที่ใช้เวลาเนิ่นนานนัก เผลอๆมันอาจจะเค้นเรี่ยวแรงดูดนมมารดาออกมาทั้งหมด เพื่อปีนบันไดต่ออีก 4 ขั้นก็เป็นได้…
‘หากดันทุรังฝืนตัวแล้วไปได้อีกแค่ 4 ขั้น…ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของไป๋หลี่หงเฟยอาจเทียบเฟิงชีชีไม่ได้’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
หลังจากไป๋หลี่หงเฟยแล้ว ก็ไม่มีอัจฉริยะที่โดดเด่นคนไหนไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีก
เช่นนั้นแม้จะผ่านไปกว่า 2 เค่อ ฮ่วนเอ๋อก็ยังคงรั้งอยู่อันดับที่ 3
“พวกเราไปกันเถอะฮ่วนเอ๋อ”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินทางออกจากยอดเขาแรงโน้มถ่วง เพราะสุดท้ายแล้วแดนลับอัจฉริยะก็ไม่ได้มีแค่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงเท่านั้น
“พี่หลิงเทียน ท่านพบแล้วหรือไม่…ว่าหลังจากที่พวกเราไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วง ดูเหมือนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างมันจะแข็งแกร่งและเพิ่มพูนขึ้นเล็กน้อย”
ฮ่วนเอ๋อกล่าว
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฮ่วนเอ๋อพูด ต้วนหลิงเทียนก็ลองตรวจสอบพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของตัวเองดูทันที และพบว่าด่านพลังของเขาเริ่มเสถียรและแข็งแกร่งมากขึ้น รวมถึงปริมาณก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจริงๆ
‘ดูเหมือนว่าการอาศัยแรงกดดันจากยอดเขาแรงโน้มถ่วงมาเคี่ยวกรำ จะช่วยขัดเกลาพลังได้เล็กน้อย’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง
‘ได้ยินมาว่าในแดนลับอัจฉริยะมีสถานที่ทดสอบที่เรียกว่า ฟ้าดินแห่งกฏ อยู่ด้วย…ในนั้นผู้ที่เข้าทดสอบสามารถยกระดับความเข้าใจในกฏของตัวเองผ่านการประมือกับจิตวิญญาณค่ายกล’
ต้วนหลิงเทียนีเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนที่จะเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสนใจสถานที่ทดสอบที่เรียกว่าฟ้าดินแห่งกฏพอสมควร
หลังเดินทางไปสักพัก โดยอาศัยการถามทางเอาจากผู้ที่บังเอิญพบเจอ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ฮก็มาถึงสถานที่อันเรียกว่า ฟ้าดินแห่งกฏ
สถานที่ๆเรียกว่าฟ้าดินแห่งกฏในแดนลับอัจฉริยะไม่ได้มีมากเหมือนยอดเขาแรงโน้มถ่วง
ยอดเขาแรงโน้มถ่วงนั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 99 แห่ง
ทว่า ฟ้าดินแห่งกฏ นั้นมีเพียงแค่ 9 แห่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึง เขาก็พบว่ามีผู้คนมาเฝ้ารอกันอยู่เป็นร้อยๆคนแล้ว เรียกว่าอย่างต่ำก็มีสามร้อยกว่าคน!
และนี่ยังเป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ไปออกันอยู่ที่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีกด้วย
ฟ้าดินแห่งกฏนั้น ตั้งอยู่ในสถานที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ เมื่อมาถึงบริเวณพื้นที่ราบลุ่มแห่งนี้ มองไปจะพบพื้นที่อันมีพลังแห่งกฏผันผวนอยู่เป็นจุดๆ ซึ่งมีระยะและอาณาเขตชัดเจน ตั้งอยู่ห่างกันมากพอสมควร
พลังแห่งกฏที่ผันผวนในพื้นที่เหล่านั้น ก็คือพลังแห่งกฏที่อัดแน่นอยู่ในฟ้าดิน
และแต่ละพื้นที่ก็เป็นอิสระ แยกออกจากกันเป็นเอกเทศน์
ทุกพื้นที่ดังกล่าวก็มีผู้คนเข้าไปทดสอบอยู่ คิดจะเข้าไปทดสอบเกรงว่าต้องรอถ่ายเดียว…
พื้นที่แห่งกฏดังกล่าว เมื่อเข้าไปแล้วจะปรากฏจิตวิญญาณค่ายกลก่อตัวขึ้นมา ซึ่งอิงจากระดับความเข้าใจในกฏและด่านพลังฝึกปรือของตัวผู้เข้าทดสอบ ไม่ว่าท่านใช้กฏอะไรและมีด่านพลังฝึกปรือขั้นไหน จิตวิญญาณค่ายกลก็จะมีเหมือนท่าน
แต่สิ่งที่แตกต่างกันและเป็นจุดสำคัญเลยก็คือ…ประสบการณ์ในการต่อสู้ของจิตวิญญาณค่ายกลนั้น มันคือประสบการณ์การต่อสู้ของจักรพรรดิอมตะทั่วไป! ทำให้มีน้อยคนนักที่จะสามารถต่อสู้กับจิตวิญญาณค่ายกลที่นี่ได้!!
ในสถานที่ทดสอบ ฟ้าดินแห่งกฏ นั้น คนที่สามารถต่อสู้เสมอกับจิตวิญญาณค่ายกลได้ก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว!
ผู้ที่สามารถเอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลได้ ไม่เพียงแต่จะได้รับของรางวัลจากสถานที่ทดสอบฟ้าดินแห่งกฏตามผลงานเท่านั้น แต่ยังจะได้รับความสนใจจากทุกคนอีกด้วย!
นั่นเพราะตราบใดที่มีคนสามารถต่อสู้เอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลในพื้นที่ทดสอบฟ้าดินแห่งกฏได้ สถานที่ทดสอบฟ้าดินแห่งกฏจะทำการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ว่าผู้เข้าทดสอบชื่อนี้ สามารถเอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลได้!
และในช่วงระยะเวลา 10,000 ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่อัจฉริยะรากหญ้า 2 คนได้รับการทาบทามจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณและตระกูลไป๋หลี่นั้น เพราะทั้งคู่สามารถเอาชนะจิตวิญญาณค่ายกลได้นั่นเอง!
“จึกๆๆ…ช่างเป็นแม่นางน้อยที่งดงามยิ่งนัก!!”
ทว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาถึงฟ้าดินแห่งกฏ กลับมีชายยหนุ่มในชุดหรูหรา หน้าตาแลดูชั่วร้ายชอบกล ก้าวอาดๆเข้ามาพร้อมพัดขนนกในมือที่โบกวีใส่ตัวเบาๆ
“ข้าคืออวิ๋นเซียวจากนิกายปีศาจพันกร มิทราบแม่นางเรียกว่าอะไร?”
ชายหนุ่มหน้าตาแลดูชั่วร้ายพอก้าวอาดๆมาถึงมันก็ไม่แยแสต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เพียงหยีตามองถามฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้มถือดี
อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อกระทั่งหางตายังไม่คิดจะเหลือบแลมัน เมินเฉยโดยสมบูรณ์
“ไสหัวไป!”
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายเย็นชาวาบหนึ่ง ตะคอกคำออกไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ไอ้หนู เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าข้าอวิ๋นเซียวเป็นใคร? ข้านายน้อยคือบุตรชายของประมุขนิกายปีศาจพันกร เจ้าหาญกล้าล่วงเกินข้ารึ?”
ตอนนี้เองชายหนุ่มชุดหรูหน้าตาชั่วร้ายก็หันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชาแฝงอำมหิต “ข้าจักให้โอกาสเจ้าคุกเข่าโขกหัวขอขมาข้า 3 ครั้ง…จากนั้นก็รีบไสหัวไปให้ห่างนางเสีย หาไม่แล้วข้าจักฆ่าเจ้าให้ตาย!!”
พอกล่าวจบคำ ทั่วร่างชายหนุ่มก็ปรากฏแสงพลังสีดำพวยพุ่งออกมาหนาเตอะ ประหนึ่งหมอกทมิฬปิดฟ้าบังตะวัน!
ความเคลื่อนไหวเตะตาจุดนี้ ก็ดึงดูดความสนใจผู้คนที่รอทดสอบฟ้าดินแห่งกฏไม่น้อย
“หืม? เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นเผลอไปล่วงเกินอวิ๋นเซียวเข้ารึ?”
“อวิ๋นเซียวผู้นี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอัจฉริยะของนิกายปีศาจพันกร แต่มันยังเป็นลูกชายคนเดียวของประมุขนิกายปีศาจพันกรอีกด้วย…แล้วเจ้าชุดม่วงนั่นเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน? ไฉนกล้าไปล่วงเกินมันได้?”
“ข้าว่าเจ้าหนุ่มนั่นมันไม่ได้ไปล่วงเกินอวิ๋นเซียวตรงที่ใด แต่อวิ๋นเซียวสมควรเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเจ้าหนุ่มนั่นก่อนมากกว่า…”
…
หลายคนแลเห็นต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ที่มาถึง จึงพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บางคนนก็พึ่งหันมาเห็นตอนมีเรื่องกันแล้ว
“พลังฝีมือของอวิ๋นเซียวนั่น ในนิกายปีศาจพันกรมันก็นับว่าไม่ใช่ชั่ว…กลับกันด้านชายหนุ่มชุดม่วงนั่น ลักษณะหน้าตาของมันข้าไม่คุ้นเลย สมควรเป็นอัจฉริยะรากหญ้าไม่ผิดแน่…เช่นนั้นข้าเกรงว่ามันจะซวยแล้วล่ะ”
หายคนอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสาร
อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับอวิ๋นเซียวมองหน้ากันตาขวาง ราวพร้อมจะชักดาบออกมาจ้วงแทงพุงกันได้ทุกเมื่อ จนผู้คนพากันจับจ้องให้ความสนใจกับทั้งคู่ รอลุ้นว่าผู้ใดจะเปิดก่อน…
ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ฮ่วนๆเอ๋อที่อยู่ข้างต้วนหลิงเทียน พลันลงมือเคลื่อนไหวในฉับพลัน!
ท่ามกลางทุกสายตาเหลือเชื่อของทุกคน ฮ่วนเอ๋อเพียงยกมือขึ้นตวัดฟันออกไปฉับไว ปรากฏคลื่นพลังสะบั้นสีเทาสายหนึ่ง พุ่งไปผ่ากลางร่างอวิ๋นเซียวออกเป็นสองเสี่ยง!
และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อลงมือ อวิ๋นเซียวก็ยืนอึ้งไปราวตัวโง่งมถูกฟ้าผ่า ไม่มีทีท่าว่าจะต้านทานขัดขืนอะไรแม้แต่น้อย!
“คิดฆ่าพี่หลิงเทียน สมควรตาย!”
ฮ่วนเอ๋อเหลือบมองศพอวิ๋นเซียวด้วยสายตาเย็นชา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงชวนให้ผู้คนรู้สึกเหน็บหนาวจับใจ
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
เห็นฮ่วนเอ๋ออยู่ๆก็ระเบิดพลังสังหารในฉับพลันแบบนี้ กอปรทั้งวาจาอำมหิตที่กล่าวกับศพอวิ๋นเซียวทิ้งท้าย เหล่าผู้ที่มุงชมเรื่องราวอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอย่างเหน็บหนาว มองฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง สายตาแต่ละคนยังทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!
“สตรีนางนี้จะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ? เจ้านั่นมันอวิ๋นเซียวของนิกายปีศาจพันกรเชียวนะ! ถึงแม้มันจะไม่ใช่อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในนิกายปีศาจพันกร แต่ก็จัดเป็นชนชั้นอัจฉริยะที่มีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงมันยังปีนบันไดไปได้ 2,300 ขั้น…”
“สตรีนางนั้นเข่นฆ่ามันได้ในพริบตา…นอกจากนี้ในเมื่อนางกล้าฆ่าอวิ๋นเซียว ก็บอกให้รู้ว่าความเป็นมาของนางไม่ธรรมดาแน่ ถึงขั้นไม่เห็นนิกายปีศาจพันกรอยู่ในสายตา มิทราบที่แท้นางมาจากขุมกำลังใดกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ว่าแต่พวกเจ้าได้ยินหรือไม่…เมื่อครู่นางเรียกหาเจ้าหนุ่มชุดม่วงข้างๆว่า พี่หลิงเทียน?”
“หลิงเทียน…อย่าบอกนะว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียน? อัจฉริยะรากหญ้าที่พึ่งมีชื่อปรากฏขึ้นในอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วง?”
“ว่ากันว่าฮ่วนเอ๋อที่ขึ้นบันไดไปได้ 3,000 ขั้นนิดๆเป็นสหายของมัน…หรือฮ่วนเอ๋อที่ว่าจะเป็นสตรีนางนี้?”
“สมควรใช่แล้วล่ะ! เมื่อครู่สหายข้าที่ส่งข่าวมาบอก ยังกำชับด้วยว่าฮ่วนเอ๋อที่ว่าเป็นโฉมงามไร้คู่เปรียบ ใต้หล้ายากหาใดเสมอเหมือน…เจ้าเองก็เห็นนางแล้ว เช่นนั้นเจ้าเคยเห็นสตรีนางใดงดงามเทียบนางได้หรือไม่เล่า?”
…
หลายคนเริ่มคุยกันอยากออกรส ไม่นานก็คาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อได้
“หากข้าจำไม่ผิด ไม่ใช่ว่าทั้งคู่สมควรเป็นอัจฉริยะรากหญ้าหรือไร? อาศัยอัจฉริยะรากหญ้าสองคน ถึงกับกล้าสังหารอวิ๋นเซียวเชียวหรือ?”
“ฆ่าอวิ๋นเซียวก็ไม่ต่างอะไรจากตบหน้าประมุขนิกายปีศาจพันกร หลังกลับออกไปจากแดนลับอัจฉริยะ ไม่พ้นทั้งคู่ต้องโดนประกาศิตสั่งตายแน่…นอกเสียจากทั้งคู่จะเข้าร่วมขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 3 และได้รับการคุ้มครอง…ไม่งั้นข้าไม่เห็นทางรอดเลย”
“เหอะๆ หากทั้งคู่อยากให้ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดออกหน้าคุ้มครอง ข้าเกรงว่าอาศัยความสามารถที่เผยออกตอนนี้ยังไม่พอ…”