WSSTH ตอนที่ 3,241 : มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไร้สติปัญญาจริงหรือ?

ก่อนที่จะพบเจอกระบี่เทพระดับกลาง ซูหลี่ยังไม่คิดอะไรมาก

ทว่าตอนนี้ด้วยยการนำทางของต้วนหลิงเทียนไม่เว้นการระบุตำแหน่งเมื่อครู่ ต่อให้ซูหลี่ความรู้สึกช้าแค่ไหน ก็ย่อมรู้ว่ามันไม่ใช่แล้ว!

“พอดีกระบี่ข้ามีจิตวิญญาณน่ะ ทำให้ข้าสามารถรับรู้ได้ว่าซากระนาบเทพใกล้ๆแถวนี้ มีอุปกรณ์เทพอยู่หรือไม่”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบพลางหัวเราะเบาๆ

ต่อหน้าซูหลี่เรื่องแค่นี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบัง เพราะเขารู้ว่าซูหลี่ไม่ขายเขาแน่

หากซูหลี่เป็นคนประเภทหักหลังสหาย เช่นนั้นตอนที่ยังอยู่ในอาณาจักรนภาล่อง ซูหลี่คงไม่เลือกแตกหักกับตระกูล ละทิ้งอนาคตด้วยการอพยพครอบครัวหลบหนี เพราะไม่ยอมช่วยตระกูลฆ่าเขาหรอก

“จิตวิญญาณกระบี่!?”

ซูหลี่อดประหลาดใจไม่ได้ เพราะมันรู้ดีว่ากระบี่ที่มีจิตวิญญาณกระบี่นั้นทรงพลังอานุภาพแค่ไหน จากน้อยๆก็ไม่ใช่อะไรที่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิจะเทียบได้แน่!

“ต้วนหลิงเทียน ข้าหลงคิดว่าข้าโชคดีมากๆแล้ว แต่ดูเหมือนโชคข้ายังคงเทียบกับเจ้าไม่ได้เลย”

ซูหลี่กล่าวอย่างทอดถอน

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆอีกรอบ ก่อนจะเดินทางไปในซากปรักหักพังพร้อมซูหลี่กับฮ่วนเอ๋อ

“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจำได้ว่า…เหมือนคนด้านนอกจะพูดกันว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไม่มีสติปัญญานี่นา แล้วเจ้าคุยกับพวกมันรู้เรื่องได้อย่างไรกัน?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเรื่องที่เขาสงสัยออกมา

พอได้ยินต้วนหลิงเทียนถาม ซูหลี่ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงหันไปมองฮ่วนเอ๋อเพื่อรอฟังคำตอบเช่นกัน สองตาฉายแววอยากรู้ไม่น้อย

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าหากเป็นสัตว์ที่ไร้สติปัญญานั้น เมื่อพบเจอผู้คนก็มีแต่จะลงมือจู่โจมทันทีตามสัญชาติญาณ ยากที่จะสื่อสารอะไรกันรู้เรื่อง

สัตว์กึ่งเทพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“พี่ใหญ่หลิงเทียน”

ฮ่วนเอ๋อกล่าวอธิบายออกมาเร็วไว “มองไปในระดับหนึ่ง มังกรชั่วร้ายเสมือนสัตว์ไร้สติปัญญา…แต่ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันไม่อาจสื่อสารกับมนุษย์ได้ เนื่องจากพวกมันไม่เข้าใจภาษามนุษย์”

“นอกจากนั้นมังกรชั่วร้ายทุกตัวเมื่อเกิดมาก็จะมีความเกลียดชังมนุษย์แต่กำเนิดจากมรดกความทรงจำ เพราะบรรพบุรุษของพวกมันในอดีต เคยถูกมนุษย์จับไปเป็นทาส”

“ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่มังกรชั่วร้ายเห็นมนุษย์ ความคิดแรกก็คือเข่นฆ่าให้สิ้น…มนุษย์เองก็ไม่อาจสื่อสารกับมันได้ เช่นนั้นพอเวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนจึงคิดว่ามังกรชั่วร้ายไร้สติปัญญา”

“อันที่จริงในฐานะสัตว์กึ่งเทพ โดยเฉพาะมังกรชั่วร้ายที่โตเต็มไวก็จะเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศอันทรงพลังแน่นอน…ตัวตนเช่นนี้จะไร้สติปัญญาได้อย่างไร?”

“หากไร้สติปัญญา ไหนเลยพวกมันจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้มากมาย?”

ได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจทันที เพราะหากไร้สติปัญญามังกรชั่วร้ายจะเข้าใจกฏได้อย่างไร?

เข้าใจตามสัญชาตญาณ?

ในความทรงจำของเขา เท่าที่รู้มาสัตว์ไร้สติปัญญาส่วนใหญ่แทบจะใช้พลังของกฏไม่ได้

ถึงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสัตว์ที่เดิมทีมีสติปัญญา จนเมื่อเข้าใจกฏแล้ว แต่ดันสูญเสียสติปัญญาไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

“แบบนี้นี่เอง”

เมื่อต้วนหลิงเทียนเข้าใจ ซูหลี่ที่ฟังอยู่ก็ตระหนักได้เช่นกัน

“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าพบกระบี่เทพระดับกลางให้ข้าแล้ว…ข้าว่าจะออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยหน่อย เจ้ากับฮ่วนเอ๋อไปต่อกัน 2 คนเถอะข้าไม่อยู่เป็นก้างดีกว่า”

หลังนิ่งงไปสักพัก ซูหลี่ก็หันไปเอ่ยกับต้วนหลิงเทียนพลางหัวเราะ

แน่นอนว่าเหตุผลที่มันอยากแยกตัวออกไป นอกจากเหตุผลอย่างที่เอ่ยออกมาแล้ว เป็นเพราะซูหลี่กังวลว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะหาอุปกรณ์เทพให้มัน

ถึงแม้การติดตามต้วนหลิงเทียนไปจะทำให้มันได้รับอุปกรณ์เทพมากมาย แต่ซูหลี่ไม่อยากใช้ประโยชน์จากต้วนหลิงเทียน

“ตามใจเจ้า ไว้เจอกัน”

ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซูหลี่คิดอะไรอยู่? เช่นนั้นเมื่อซูหลี่พยายามกล่าวเพื่อปลีกตัวออกไป เขาก็ไม่คิดจะฝืนใจอีกฝ่าย

อย่างไรก็ตามก่อนซูหลี่จะจากไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมขอแลกลูกแก้ววิญญาณกับซูหลี่เอาไว้ เพื่อให้ติดต่อกันได้สะดวกๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อได้เปรียบหนึ่งเดียวในซากระนาบเทพของเขาก็คือการค้นหาอุปกรณ์เทพเท่านั้น

สำหรับโอกาสและวาสนาอื่นๆเขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไร

บางทีการที่ซูหลี่แยกจากเขากับฮ่วนเอ๋อไป อาจจะไปพบพานวาสนาประเสริฐของตัวเองก็ได้

ด้านนอก…ด้วยมีมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวเฝ้าหน้าประตูเอาไว้ ทำให้ไม่มีอัจฉริยะคนไหนคิดจะลองดีอีก

“แป๊บๆ ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 นั่นเข้าไป…ถึงด้านในจะมีของงดีอะไร ป่านนี้พวกมันคงเอาไปหมดแล้วกระมัง?”

อัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งพร่ำบ่น สองตามากล้นไปด้วยความอิจฉา

อย่างไรก็ตามหลังมันบ่นจบคำไม่ทันไร ศิษย์นิกายปีศาจพันกรคนหนึ่งก็พ่นลมสบถกล่าวแย้ง “เฮอะ! นั่นเป็นไปไม่ได้! เจ้ารู้หรือว่าซากระนาบเทพมันใหญ่โตเพียงใด?”

“ถึงแม้ซากระนาบเทพนั่นจักกลายเป็นนซากปรักหักพัง แต่ก็ไม่มีทางที่จอมราชันอมตะคนหนึ่งจะสามารถเดินทางไปทั่วได้ในเวลาแค่เดือนเดียว”

“อีกทั้งขณะเหินร่างเดินทางถ้ามันต้องคอยมองหาสมบัติไปด้วย ข้าเกรงว่าป่านนี้พวกมันยังเดินทางสำรวจไปไม่ถึง 1 ใน 1,000 ส่วนของทั้งซากระนาบเทพด้วยซ้ำ”

คำกล่าวของศิษย์นิกายปีศาจพันกรคนนี้ ก็มีอัจฉริยะหลายคนเห็นด้วย

ทันใดนั้นอัจฉริยะรากหญ้าที่ไม่รู้ว่าซากระนาบเทพเป็นอย่างไร ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“แต่ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเรามากเพราะไปก่อน…แต่อย่างน้อยๆพวกมันก็มีเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม เว้นเสียแต่พวกมันจะดวงกุด…หาไม่แล้ววย่อมเก็บเกี่ยวได้มากกว่าพวกเราแน่นอน”

กระนั้น อัจฉริยะรากหญ้หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาอยู่ดี สุดท้ายพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็เข้าไปก่อนตั้งหนึ่งเดือนเต็มๆ

วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

ไม่ทันไร ระยะเวลารอคอย 1 เดือนก็หมดลง

“วันนี้แดนลับทวยเทพสมควรเปิดให้พวกเราเข้าไป…ตลอดสามวันหลังจากนี้ พวกเจ้าจงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด หาไม่แล้วคงยากที่จะได้รับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”

“อย่าได้หวังน้อยเลือกจะใช้เวลา 3 วันเพื่อบ่มเพาะเด็ดขาด พยายามตามหาอุปกรณ์เทพให้ได้สักชิ้น หาไม่แล้วก็เสมือนเสียโอกาสไปเปล่าๆ!”

“ซากระนาบเทพก็คืออดีตระนาบเทพที่อุดมสมบูรณ์ เพียงแค่ตอนนี้สรรพสิ่งดับสูญ ฟ้าถล่มแผ่นดินพลิกคว่ำ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ระดับเทพมากมายของเทพนับไม่ถ้วนนั้นกระจัดกระจายอยู่ทั่ว แน่นอนว่าที่พบเจอง่ายๆสมควรโดนบรรพชนของพวกเราเอาไปเกือบหมดแล้ว”

“แต่เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา เพราะแดนลับทวยเทพก็มิใช่ว่าจะพึ่งเคยเปิดออกเป็นครั้งแรก…”

เหล่าผู้นำขุมกำลังระดับ 1 ต่างๆเริ่มเอ่ยกำชับความสำคัญให้ศิษย์น้องฟัง

และในที่สุด เวลาที่เหล่าอัจฉริยะรอคอยก็มาถึง มังกรชั่วร้ายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

ทั้งหมดเห็นว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัว ได้แยกออกไปซ้ายขวา ราวกับเปิดทางให้ทุกคนเข้าสู่ประตูกลางหาวอย่างสะดวก

“เอ่อ มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่น…แค่ถอยไปข้างๆเนี่ยนะ? มันไม่ถูกส่งกลับไปหรือ?”

“หลบออกไปด้านข้างแบบนี้ เกิดมันหมั่นเขี้ยวพุ่งกลับมากัดพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”

“มีผู้ใดนำไปก่อนหรือไม่ ข้าไม่กล้าไป…เห็นว่ามังกรชั่วร้ายนี่มันไร้สติปัญญาไม่ใช่หรือไร? ใครจะแน่ใจได้ว่ามันจะไม่แว้งกัดเราจริงๆ?”

ถึงแม้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 จะฉากหลบออกข้างเปิดทางให้เดินสะดวกแล้ว แต่เหล่าอัจฉริยะที่รอคอยยอยู่กับไม่มีใครอยากเป็นวิหกจ่าฝูง เรียกว่ารอดูเชิงกันอยู่ครึ่งค่อนวัน

สุดท้ายเฟิ่งชีชีของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณก็ออกตัวคนแรก เหินร่างนำคนของเผ่าหส์ฟ้าโบราณมุ่งตรงเข้าประตูไปอย่างราบรื่น…

เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชีชีรวมถึงคนของเผ่าหงส์ฟ้าสามารถผ่านประตูไปได้อย่างราบรื่น เหล่าอัจฉริยะที่รอดูเชิงทั้งหลายก็พากันระบายมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เป็นธรรมดาว่า เริ่มมีคนที่เอะใจสงสัยอะไรบ้างแล้ว “เจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นมันไร้สติปัญญาแน่เหรอ? แล้วมันรูได้อย่างไรว่าตอนไหนต้องหลีกทางให้เรา ตอนไหนต้องกันไม่ให้พวกเราเข้าไป?”

“นั่นสิ หากบอกว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไร้สติปัญญาข้าก็รู้สึกเชื่อไม่ลงจริงๆ”

“ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะไร้สติปัญญาเหมือนกัน”

ท่ามกลางเสียงซุบซิบด้วยความสงสัย ไป๋หลี่หงเฟยก็เหินร่างนำคนตระกูลไป๋หลี่เข้าประตูไป

จากนั้นคนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ นำโดยอวี่เทียนสิงก็ทยอยกันเข้าสู่แดนลับทวยเทพไปติดๆ

ขณะเดียวกันเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าหลายคนก็เหินร่างทะยานเข้าประตูตามๆกันไป

เมื่อผู้ที่ยังหวั่นใจอยู่เห็นว่าทุกคนสามารถเข้าสู่ประตูกันได้อย่างราบรื่น พวกมันก็เริ่มมั่นใจว่าไร้เรื่องราวจึงพากันเหินร่างตามไปอย่างไม่รอช้า

และหลังจากที่กลุ่มของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำที่นำโดยเอี้ยอู๋เต้าผ่านเข้าประตูไปหมดแล้ว อวิ๋นเอี้ย ก็เริ่มเหินร่างนำผู้คนของนิกายปีศาจพันกรมุ่งหน้าสู่ประตูเช่นกัน

อัจฉริยะรากหญ้าหลายคนก็เหินร่างไปด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อคนของนิกายปีศาจพันกรเหินร่างมาอยู่ระหว่างมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เจียนจะผ่านพวกมันไปถึงประตูสู่แดนลับทวยเทพ ก็บังเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันขึ้น!

“ฮู่มม—!!”

“ฮู่มม—!!”

พร้อมๆกันกับเสียงคำรามดุร้าย 2 สำเนียงสนั่นลั่นก้อง มังกรชั่วร้ายทั้งคู่ อยู่ๆก็หันมามองจ้องคนของนิกายปีศาจพันกร ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง พ่นลมหายใจที่แลดูไม่ต่างใดจากลำแสงทำลายล้างออกมา ลบคนนิกายปีศาจพันกรทั้งหมดให้อันตรธานสาบสูญไปจากสวรรค์และโลกทันที…

เรียกว่าอวิ๋นเอี้ย รวมถึงศิษย์นิกายปีศาจพันกร ไม่มีใครรอดชีวิตสักคน

และคนที่ตกตายพร้อมพวกมัน ยังมีอัจฉริยะรากหญ้าบางส่วนที่เหินร่างอยู่ใกล้ๆ สิ่งนี้ทำให้อัจฉริยะคนอื่นๆที่กำลังเหินร่างตามมาด้านหลังหน้าเปลี่ยนสีทันที พากันหยุดร่างชะงักค้างลงกลางหาว มองจ้องเรื่องราวหน้าประตูด้วยความเสียขวัญ

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น!?”

“คนของนิกายปีศาจพันกร…ตกตายหมดสิ้นแล้ว?”

พอเห็นเหล่าอัจฉริยะของนิกายปีศาจพันกร รวมถึงอัจฉริยะรากหญ้าบางส่วนถูกฆ่า เหล่าอัจฉริยะรากหญ้ารวมถึงคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ที่กำลังจะเหินร่างเข้าประตู ตอนนี้ก็ได้แต่ลังเลไม่กล้าเคลื่อนไหวทันที

กระทั่งเนิ่นนานผ่านไปก็ไม่มีใครขยับตัว

จนเมื่อ มังกรชั่วร้ายที่เข่นฆ่าสังหารคนของนิกายปีศาจพันกรเริ่ม ทำตัวเอื่อยเฉื่อยคล้ายจะฟุบลงนอน หลายคนก็เริ่มเอะใจสงสัยอะไรบางอย่าง

“พวกมัน…ไฉนถึงแลดูเหมือนจงใจจะฆ่าแต่คนนิกายปีศาจพันกรเล่า?”

“นั่นสิ แปลกประหลาดยิ่งนัก…คนอื่นๆของขุมกำลังระดับ 1 เข้าไปก็ไม่มีใครมีปัญหา ไฉนพอถึงตอนคนนิกายปีศาจพันกร พวกมันกลับลงมือเข่นฆ่า?”

“ไฉนข้ารู้สึกว่า…มันจงใจฆ่าคนนิกายปีศาจพันกรโดยเฉพาะ?”

“พวกเจ้าว่า…จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกต้วนหลิงเทียนรึเปล่า?”

“นั่นน่ะสิ! เพราะสตรีข้างกายต้วนหลิงเทียนเป็นคนฆ่าอวิ๋นเซียวนายน้อยนิกายปีศาจพันกรไป จึงเป็นดั่งหนามยอกอกของนิกายปีศาจพันกร พอจับมารวมกับเรื่องที่พวกต้วนหลิงเทียนเข้าไปได้ก่อน ข้าว่าเรื่องนี้เอาจเกี่ยวข้องกับพวกมันจริงๆ”

“แล้วมันจะไปเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร? หรือเจ้าว่าพวกต้วนหลิงเทียนนั่นมันคุยกับมังกรชั่วร้ายแล้วบอกว่า ‘เฮ่ พี่มังกรขอพวกข้าเข้าไปก่อนนะ แล้วหลังจากนั้นพอคนปีศาจพันกรคิดจะเข้าก็ช่วยฆ่าให้ที’ แบบนี้รึ?”

“เหอะๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่มังกรชั่วร้ายกึ่งเทพทั้ง 2 นั่นมันไร้สติปัญญาหรือไร?”

“เห็นขนาดนี้แล้วเจ้ายังคิดว่ามันไร้สติปัญญาอีกรึ?”

หลังคนของนิกายยปีศาจพันกรถูกฆ่าล้าง ก็ไม่มีใครคิดจะไปไหนอยู่ 2 เค่อ…

สุดท้ายก็มีอัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งที่รวบรวมความกล้า ค่อยเหินร่างไปช้าๆราวเมฆคล้อย จนในที่สุดก็ผ่านเข้าประตูไปได้สำเร็จ…

แต่ต้นจนจบมังกรชั่วร้ายไม่แม้แต่จะเหลือบมองมันเลย

เมื่อมีผู้กล้าเปิด หลายคนก็ตามทันที

คนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ก็เช่นกัน

เมื่อคนที่อยู่ด้านหลังเห็นว่าไม่มีใครโดนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 โจมตีอีกแล้ว นอกจากโล่งใจพวกมันยังอดสงสัยไม่ได้

ไฉนมังกรชั่วร้ายคู่นี้ ต้องเข่นฆ่าเฉพาะคนของนิกายปีศาจพันกรด้วย?

ที่แท้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือตั้งใจกันแน่?

หากเป็นเรื่องบังเอิญก็แล้วไป แต่ถ้าจงใจ…หรือจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนและสตรีที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนจริงๆ?

หลายคนสับสนกับเรื่องนี้นัก