ตอนที่ 3,247 : พี่ชายน้องสาวจูเก่อ

“ผู้นำของสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ทั้งคู่จึงมีหน้าตาคล้ายกันเป็นธรรมดา”

กงซุนจิ้งที่ได้ยินคำพูดฮ่วนเอ๋อ ก็รีบกล่าวอธิบายออกมาทันที

“นอกจากนี้ถึงแม้หากลงมือตัวคนเดียว ไม่ว่าผู้นำสายก้านเจี้ยงหรือม่อเหยียจะไม่อาจสู้ท่านปู่ข้ากับท่านประมุขได้ ทว่ายามรวมมือกันต่อให้เป็นท่านปู่ข้าหรือท่านประมุข ก็ไม่อาจมีเปรียบ กระทั่งยิ่งสู้ไปนานเข้าจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกด้วย”

พอกงซุนจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ ก็พยายามลดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม “ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามคนล่าสุดที่คิดมาปกครองแดนทักษินยุทธ์ก็ถูกทั้งคู่กลุ้มรุมสังหาร”

“หากทั้งคู่ร่วมมือกัน…ไม่ใช่แค่นิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเราเท่านั้น ให้มองไปทั่วแดนทักษินยุทธ์ก็ยากจะพบเจอผู้ใดทัดเทียม”

กงซุนจิ้งกล่าว “ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นฝาแฝด เช่นนั้นจึงสามารถผนึกกำลังร่วมมือกันได้อย่างเลิศล้ำ ร้ายกาจสุดที่ผู้ใดจะทาบติด”

ได้ยินคำอธิบายของกงซุนจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็จำต้องมองคู่ชายหนุ่มหญิงสาวใหม่อีกรอบ สองตายังทอประกายสว่างไสวขึ้น

เขาดูอย่างไรก็บอกไม่ได้เลยว่าคู่ชายหนุ่มหญิงสาวหน้าตาดีคู่นี้ ที่แลดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยต่อสรรพชีวิตใดๆ ที่แท้จะเป็นตัวตนที่ร้ายกาจขนาดนั้น!

เป็นตัวตนที่เข่นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม!

“พี่กงซุน พลังฝีมือของปู่ท่าน…ไม่อ่อนด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้วใช่หรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปถามกงซุนจิ้ง

“ข้าได้ยินท่านปู่เล่าว่า ในอดีตท่านเคยประมือกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่บ้าง…หนึ่งในนั้นด้อยกว่าท่านปู่ แต่อีกหนึ่งมีพลังฝีมือพอๆกัน”

คำตอบผ่านพลังรอบนี้ของกงซุนจิ้งทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที

พลังความแข็งแกร่งของกงซุนคัง ผู้นำสายซวนหยวนแห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ…ทัดเทียมกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม!

“แล้วพลังฝีมือของประมุขอวี่เล่า?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลังไปอีกรอบ

“พลังฝีมือของประมุขอวี่ไม่ได้ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามแม้แต่น้อย…หากประมุขอวี่ต้องการ ท่านสามารถเดินทางไปยังวิหารเฟิงฮ่าวเพื่อรับสมญานามได้ตลอดเวลา”

พอกงซุนจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ “หลายปีก่อนท่านประมุขกับท่านปู่ข้าก็เคยประมือกันรอบหนึ่ง แต่ผลออกมาคือเสมอ…แต่ในปัจจุบันข้าคิดว่าพลังฝีมือของประมุขอวี่สมควรก้าวข้ามท่านปู่ไปได้แล้ว”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเป็นอันรับทราบเบาๆ อย่างไรก็ตามในใจยังอดปั่นป่วนไปไม่ได้

นิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งนี้ มีตัวตนที่สามารถสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานาม อีกทั้งยังมีผู้ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกถึง 2 คน!

แต่ขุมพลังเช่นนี้กลับเป็นเพียงขุมกำลังระดับ 1?

‘ถึงจะเป็นขุมกำลังระดับ 1 ขั้นสูง ก็ได้ยินว่ามีจักรพรรดิอมตะสมญานามอย่างมากแค่คนสองคนไม่ใช่รึไง? ขุมพลังที่แท้จริงของนายกระบี่หมื่นหายนะตอนนี้แม้จะเทียบกับในอดีตไม่ได้ แต่ก็เหนือกว่าขุมกำลังระดับ 1 ไปไกลแล้ว…’

จากความเข้าใจเกี่ยวกับขุมกำลังในระนาบเทวโลก ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้วนหลิงเทียนจะสรุปได้

ขณะเดียวกัน สายตาเขาก็หวนกลับมาชมดูเรื่องราวในห้องโถงหลักของยอดเขาท่ายอาอีกครั้ง

เมื่อสองยอดฝีมือจากสายก้านเจี้ยงและม่อเหยียมาถึง บรรยากาศภายในโถงหลังก็ตึงขึ้นทันที

“อะไร? เจ้าหนูน้อย 2 คนนี้…ก็คิดจะมาแย่งชิงผู้คนด้วย?”

เป็นกงซุนคังที่กล่าวทำลายความเงียบออกมาก่อนใคร กล่าวถามออกไปด้วรอยยิ้มฝืนๆในแววตาฉายความจนใจออกมาอยู่บ้าง

ถึงแม้ทั้ง 2 คนเบื้องหน้า ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่อาจสู้มันได้ แถมลำดับอาวุโสยังอ่อนกว่าหนึ่งรุ่น จนต้องเรียกหามันว่าอาจารย์อา อย่างไรก็ตามพอทั้งคู่ร่วมมือกัน พลังฝีมือก็เหนือมันไปแล้ว

“อาจาร์อา ข้าต้องการฮ่วนเอ๋อ”

ผู้นำสายม่อเหยีย ที่เป็นหญิงสาวงดงามนางหนึ่งกล่าวกับกงซุนจิ้งด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“ต้วนหลิงเทียน”

สำหรับผู้นำสายก้านเจี้ยง เพียงกล่าวคำออกกมาสามพยางค์เท่านั้น ราวกับหวงแหนวาจาดั่งทองคำ

“แล้วกันไปเถอะ…แล้วกันไปเถอะ…ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนูทั้ง 2 จะสนใจเด็กน้อยสองคนนั่นด้วย…เช่นนั้นเราแม่เฒ่าไม่แย่งคนแล้ว”

ซีเหมินหวานหว่าน ผู้นำสายอวี๋ฉาง ในรูปลักษณ์หญิงชราส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ ก่อนจะวูบร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“อั้ยในเมื่อศิษ์หลานทั้ง 2 ออกปากแบบนี้ อาจารย์อาแก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ค่อยดี จะไปสู้พวกเจ้าได้อย่างไร”

ฉงจิ่วส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะจากไปอีกคน

“ศิษย์พี่ฟง ศิษย์พี่หญิงอวิ๋น…”

จังหวะนี้ กระทั่งอวี่เจี้ยนเฉิง ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆทักทายผู้นำสายก้านเจี้ยงและสายม่อเหยียทั้ง 2

ผู้นำสายก้านเจี้ยงนั้นเรียกว่า จูเก่อฟง ส่วนผู้นำสายม่อเหยียเรียกว่า จูเก่ออวิ๋น

“ศิษย์น้องเจี้ยนเฉิง เจ้าคงไม่คิดแย่งชิงคนกับพวกเราใชไหม?”

จูเก่ออวิ๋นกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ในเมื่อศิษย์พี่ฟงกับศิษย์พี่หญิงอวิ๋นมาเพื่อทั้งคู่ แล้วข้าจะกล้าแย่งชิงได้อย่างไร”

อวี่เจี้ยนเฉิงได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม

ได้ยินคำพูดของอวี่เจี้ยนเฉิง จูเก่ออวิ๋นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็หันไปมองกงซุนคัง “อาจารย์อากงซุนเจ้าขา…ท่านก็คงไม่คิดจะแย่งคนกับพวกเราสองพี่น้องที่โดดเดี่ยวหงอยเหงาใช่ไหม?”

“โดดเดี่ยวหงอยเหงา?”

ต้วนหลิงเทียนอึ้ง

“ไม่เหงาธรรมดา แต่เรียกว่าโคตรเหงายังได้ เพราะยอดเขาก้านเจี้ยงกับม่อเหยีย มีแค่ผู้นำทั้ง 2 คนเท่านั้น ไม่มีศิษย์สาวกแม้แต่คนเดียว…”

กงซุนจิ้งกล่าวเตือน “แต่เรื่องนี้กล่าวไปยังน่าประหลาดยิ่ง ทั้งคู่ไม่มีศิษย์ไปเข้าร่วมแดนลับอัจฉริยะแท้ๆ แต่ไฉนถึงได้รับข่าวรวดเร็วนักเล่า”

“ไม่ใช่ข้าบอกไปแล้วหรือ ว่าข้ารายงานให้อาจารย์ผู้เฒ่าทราบแต่แรก…”

ซูหลี่ที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น

“ฮะ! จริงสิ! ข้าก็ลืมไปว่าสายเฉิงหยิ่งของเจ้าสนิทกับทั้งคู่มาก!”

กงซุนจิ้งคลี่ยิ้มโง่งม

“ซูหลี่ เดิมทีข้าคิดว่าที่เจ้าชวนกงซุนจิ้งให้เข้าสู่แดนลับทวยเทพกับพวกเราก่อนเพราะคิดให้ข้าเข้าสายซวนหยวนเสียอีก…”

ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งเสียงผ่านพลังคุยกับซูหลี่ทันที “แต่ที่จริง…เจ้าคิดให้ข้ากับฮ่วนเอ๋อเข้าสายก้านเจี้ยงม่อเหยียแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?”

“ต้วนหลิงเทียน ที่ข้าเลือกจะชวนกงซุนจิ้งไป เพียงแค่ให้ผู้นำสายซวนหยวนรู้สึกติดค้างเจ้าเท่านั้น”

ซูหลี่ก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ “แต่ให้เทียบกกับสายซวนหยวนแล้ว ข้าอยากให้พวกเจ้าสองคนแบ่งไปเข้าสายก้านเจี้ยงกับสายม่อเหยียมากกว่า”

“ปรมาจารย์ฟงกับปรมาจารย์อวิ๋นนั้นเชี่ยวชาญการโจมตีผสาน มีคำกล่าวทั่วแดนทักษินยุทธ์ว่า ยามเมฆลมประสานคนดั่งมังกรทะยานไร้ผู้ต้าน หากเจ้ากับฮ่วนเอ่อสามารถฝึกปรือวิชาจากทั้งคู่ได้ย่อมเป็นเรื่องดี! สำหรับเรื่องอื่นๆ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากผู้ใดแล้วกระมัง?”

“นอกจากนี้ปรมาจารย์ทั้งสองยังมีพลังอำนาจสะกดผู้อื่นได้น่ากลัวที่สุด…หากเจ้ากับฮ่วนเอ๋อกลายเป็นศิษย์ในสายของทั้ง 2 คนจริง อย่าว่าแต่ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะเลย ต่อให้พวกเจ้าออกนอกนิกายกระบี่หมื่นหายนะก็ไม่มีผู้ใดกล้าแหยมกับพวกเจ้าหรอก”

ซูหลี่กล่าวออกมารวดเดียวจบ

“ต้องขอบใจเจ้าแล้ว ซูหลี่”

หลังได้ยินเสียงผ่านพลังของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนนย่อมมองเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาพลางทอดถอนใจ

“ระหว่างเข้ากับเจ้า ยังต้องเกรงใจอะไร”

ซูหลี่ยิ้ม มันกับต้วนหลิงเทียนเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว?

มันยิ่งไม่เคยคิดเคยฝันด้วยซ้ำว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งที่อวี้หวงเทียนแห่งนี้ กระทั่งได้เป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน

“ในเมื่อเจ้าสองคนต้องตาพึงใจเด็กน้อยทั้ง 2 ข้าย่อมไม่คิดแย่งกับพวกเจ้าแล้ว…ดีเสียอีกที่พวกเจ้าหัดรับศิษย์กันบ้าง สายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียของพวกเจ้าจะได้ไม่เปลี่ยวร้างวังเวงเกินไป”

กงซุนคังส่ายหัวกล่าว ก่อนจะเดินจากไปอีกคน

ตั้งแต่ที่ผู้นำสายก้านเจี้ยงกับม่อเหยียมาถึงแบบนี้ มันก็ไม่อาจแข่งขันอะไรกับทั้งคู่ได้อีก และทุกคนก็พร้อมใจกันยกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้ทั้งคู่ด้วย

“ฮ่วนเอ๋อ เจ้ายินดีจะเข้าร่วมสายม่อเหยียของข้าหรือไม่?”

ถึงแม้คนอื่นๆจะไม่มีใครคิดช่วงชิง แต่จูเก่ออวิ๋นก็ยังเลือกจะมองถามฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม เพราะนี่เป็นเรื่องของฮ่วนเอ๋อ สุดท้ายก็ต้องให้นางเป็นคนตัดสินใจ

ได้ยินคำถามดังกล่าว ฮ่วนเอ๋อก็ไม่รีบตอบ เพียงหันไปมองขอความเห็นจากต้วนหลิงเทียนก่อน

“ฮ่วนเอ๋อ รีบตอบรับสิ”

ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว ในเมื่อซูหลี่ปูทางไว้ให้พวกเขาอย่างดี ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความหวังดีของซูหลี่

“อื้อ”

หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็หันไปหักหน้าจอบคำจูเก่ออวิ๋น

“เจ้าหนูคนนี้ ช่างโชคดีจริงๆ…”

จูเก่ออวิ๋นส่ายหัวไปมาพลางถอนหาใจ ค่อยหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “โชคดีที่ข้าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่งั้นข้าต้องอิจฉาเจ้าแน่”

“ใครบอกว่าผู้ชายต้องอิจฉาเสมอไป?”

พอจูเก่ออวิ๋นกล่าวจบคำ เสียงจูเก่อฟงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ดังขึ้นทันที

‘แล้วใครจะเป็นตาแก่ตายด้านเหมือนท่านเล่า?’

จูเก่ออวิ๋นหันไปมองจูเก่อฟงด้วยยสายตาทดท้อ เพราะนางสิ้นหวังเรื่องชีวิตคู่ของพี่ชายฝาแฝดผู้นี้แล้ว…

นางเคยส่งสตรีงดงามมากมายไปถึงเตียงพี่ชายด้วยซ้ำ แต่พี่ชายของนางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย วันๆเอาแต่ฝึกกระบี่ไม่หยุด…

จนสุดท้าย นางก็คิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางมีพี่สะใภ้แน่นอนแล้ว

“ต้วนหลิงเทียน เจ้ายินดีเข้าร่วมสายก้านเจี้ยงของข้าหรือไม่?”

เมื่อจูเก่อฟงหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจังของมันก็เผยรอยยิ้มหาดูได้ยากออกมา

และรอยยิ้มนี้ของจูเก่อฟง ก็ทำให้น้องสาวฝาแฝดที่อยู่ข้างๆอย่างจูเก่ออวิ๋นอึ้งไปไม่น้อย

กระทั่งคนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นอวี่เจี้ยนเฉิง ประมุขนิกายยกระบี่หมื่นหายนะ รวมถึงกงซุนจิ้ง ไม่เว้นซูหลี่ก็อึ้งไปไม่ต่าง

ผู้นำสายก้านเจี้ยง ที่ถูกเรียกหาว่าภูเขาน้ำแข็งผู้นี้ ยิ้มเป็นด้วยหรือ?

“ผู้อาวุโสข้ายินดีอยู่สายของท่าน…แต่ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว เช่นนั้นก่อนที่จะได้รับความเห็นชอบจากท่านอาจารย์ ชั่วชีวิตข้าไม่คิดรับผู้ใดเป็นอาจารย์คนที่สอง”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับจูเก่อฟงอย่างตรงไปตรงมา “หากผู้อาวุโสคิดรับข้าเป็นศิษย์และให้ข้าเรียกหาว่าอาจารย์ ข้าเกรงว่าคงไม่อาจเข้าร่วมสายของท่านได้”

“ก็แค่ชื่อเรียกหยุมหยิม ข้าไม่สนใจหรอก”

ในขณะที่จูเก่อฟงส่ายหัว ก็อดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนนด้วยยความชื่นชมเพิ่มขึ้นหลายส่วน เพราะต่อหน้าผลประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยังรักษาหลักการของตัวเองเอาไว้ได้

“เช่นนั้นข้าต้วนหลิงเทียน ขอคารวะผู้นำสาย”

ได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวทักแบบนี้ จูเก่อฟงก็คลี่ยิ้มสดใสออกมามากกว่าเดิม แววตายังฉายชัดถึงความถูกใจต้วนหลิงเทียนถึงที่สุด

พลังฝีมือส่วนตัวของมัน ด้อยกว่าประมุขนิกายอย่างอวี่เจี้ยนเฉิงเสมอ

และปกติอวี่เจี้ยนเฉิงก็มักจะโม้เรื่องสถิติที่สร้างไว้ในแดนลับอัจฉริยะ…ที่สำคัญคือเจ้าของสถิติยอดเขาแรงโน้มถ่วงกับหอคอยจิตวิญญาณเดิม ก่อนที่จะถูกอวี่เจี้นเฉิงทำลายลงไปนั้น…ก็คือมันเอง!

ตอนนี้พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนสามารถทำลายสถิติของอวี่เจี้ยนเฉิงได้ทุกอย่าง มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้น

เจ้าอวี่เจี้ยนเฉิงทำลายสถิติของข้าได้แล้วอย่างไรเล่า?

ไม่ใช่ศิษย์ในสายข้าก็ทำลายสถิติของเจ้าได้รึไง?

ถึงแม้จูเก่อฟงจะแลดูเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ หากแต่จริงๆแล้วในใจของมันนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย

แน่นอนว่าที่มันรู้สึกพึงพอใจต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถทำลายสถิติของอวี่เจี้ยนเฉิงได้เท่านั้น แต่ยังพึงพอใจกับพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย

ดุจเดียวกับซูหลี่ อายุยังไม่ถึง 300 ปี…แต่กลับแข็งแกร่งกว่าซูหลี่!

ก่อนหน้านี้มันก็มีอิจฉาผู้นำสายเฉิงหยิ่งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันไม่อิจฉาอะไรแล้ว

เพราะในปัจจุบันทุกคนเสมือนเท่าเทียม กระทั่งศิษย์ในสายมันคนนี้มันยังร้ายกาจกว่าซูหลี่ด้วยซ้ำ!