WSSTH ตอนที่ 3,259 : เข้าสู่วังเทียนฉือ

ชายหนุ่มชุดม่วงกับหญิงสาวในชุดขาวเบื้องหน้า ทั้งๆที่ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปี แต่กลับมีพลังสามารถเอาชนะจอมราชันอมตะ 6 ผสานได้!

ยิ่งไปกว่านั้น จอมราชันอมตะ 6 ผสานที่ว่า ก็เป็นศิษย์ของวังเทียนฉือของพวกมัน! ต่อให้จะเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาไม่ใช่ชนชั้นอัจฉริยะ แต่ก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าจอมราชันอมตะ 6 ผสานทั่วไปหลายขุม!

กระนั้นยังแพ้พ่ายต่อทั้งคู่!

ในวังเทียนฉือเองอัจฉริยะที่อายุไม่ถึง 300 ปีแล้วมีพลังฝีมือระดับนี้ เกรงว่าคงมีไม่ถึง 20 คน!

ด้วยเหตุนี้ทำให้เหลยอิงอดคิดไปไม่ได้ ว่าใช่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเป็นอัจฉริยะที่ขุมกำลังงสวรรค์อื่นใด ส่งมาแฝงตัวเป็นสายลับรึเปล่า…

“ผู้อาวุโส ที่พวกเราเลือกวังเทียนฉือเพราะรู้ว่าวังเทียนฉือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน…หาไม่แล้วพวกเราคงเลือกขุมกำลังระดับสวรรค์แห่งอื่นแต่แรก”

หลังถูกเหลยอิงเรียกทัก ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ตราบใดที่เจ้าสร้างผลงานในวังเทียนฉือเราได้ดี ยามใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์มาเยือนวังเทียนฉือของพวกเรา ข้าก็สามารถแนะนำเจ้าได้…”

เหลยอิงกล่าว

จังหวะนี้ เรื่องที่นางระแวงสงสัยในความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน ก็พูดได้ว่าเป็นความคิดจากจิตใต้สำนึก…

พอย้อนคิดดูดีๆ ไม่ว่าทั้งคู่จะเป็นใครแล้วมีความเป็นมาอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายมาเข้าร่วมการทดสอบเข้าวังเทียนฉืออย่างถูกกฏ และไม่ได้ทำการละเมิดกฏใดๆ นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธทั้งคู่

จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ย้อนกลับมา ก็เฝ้าดูผู้ทดสอบแผ่แรงกดดันเข้าใส่เหล่าผู้เข้ารับการทดสอบกลุ่มต่างๆอย่างเงียบงัน

ผ่านไปสักพัก ก็เริ่มมีบางคนทนไม่ไหวเลือดลมตีกลับ กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่

และคนเหล่านี้ก็ถูกคัดออกทันที

สุดท้ายจนผู้เข้ารับการทดสอบทั้ง 6,000 กว่าคน เหลือผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้ราวๆ 1,000 คน เหล่าผู้ที่สร้างแรงกดดันก็ล่าถอยกลับมา

“พวกเจ้าพันกว่าคนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ ถือว่าผ่านการทดสอบรอบแรก”

เหลยอิงกวาดตามองผู้คนที่ยังเหลืออยู่พันคนเศษเบื้องหน้าผ่านๆ ค่อยเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “การทดสอบรอบที่ 2 ก็จะจัดขึ้นที่เช่นกัน…และยังคงแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มตามช่วงอายุเหมือนเดิม”

ขณะที่เหล่ยอิงพูด ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เดินกลับมายังกลุ่มคนที่มีอายุ 200-300 ปีทันที

และพอทั้ง 2 เดินกลับมาถึง ผู้คนรอบๆก็เร่งทักทายต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่ ที่อยู่ห่างหน่อยก็ได้แต่ซุบซิบกล่าวกันด้วยความอิจฉา

เพราะตราบใดที่ไม่ใช่ตัวโง่งม ย่อมเห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อต้องได้เข้าสู่วังเทียนฉือแน่นอนแล้ว

“ด้วยความสำเร็จของทั้งคู่ในวัยไม่ถึง 300…หากเข้าสู่วังเทียนฉือได้ ไม่พ้นต้องได้รับการดูแลส่งเสริมอย่างดีแน่นอน น่าอิจฉาจริง”

“อิจฉาไปก็เท่านั้น…ใครใช้ให้พวกเราอ่อนด้อยกว่าผู้อื่นเขาเล่า? จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้ายอมรับพวกมันเลยจริงๆ…ช่างร้ายกาจกันนัก!”

“เหอะๆ ผู้ใดไม่ยอมรับก็แย่แล้ว มารดามันอายุไม่ถึง 300 ทีกลับมีพลังฝีมือสูงส่งอลังการ…ข้าว่าให้มองไปทั่ววังเทียนฉือ เกรงว่าคนที่มีวัยเท่าพวกมันแล้วร้ายกาจได้เท่าพวกมันก็คงมีไม่มากนักหรอก”

“เรื่องของเรื่องก็คืออัจฉริยะในวังเทียนฉือที่สมควรมีไม่กี่คนนั่น ไม่พ้นต้องถูกวังเทียนฉือปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ทั้งคู่ในเมื่อมาเข้ารับการทดสอบแบบนี้ ไม่พ้นต้องไร้ขุมกำลังระดับสวรรค์ขุมใดหนุนหลังและป้อนทรัพยากรให้มาก่อน…ข้าไม่ทราบจริงๆพวกมันบ่มเพาะมาถึงจุดนี้ได้ยังไง”

“ข้าว่าทั้งคู่คงไปประสบชะตาปฏิหาริย์อะไรมาแน่นอน!”

“จริง อย่างน้อยๆวาสนาที่พานพบโดยบังเอิญของทั้งคู่ ก็ต้องเป็นระดับมรดกของจักรพรรดิอมตะสมญานาม!”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับผู้คนที่กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม สำหรับฮ่วนเอ๋อนั้น ไม่แม้แต่จะเหลือบแลผู้ใดเลย

และไม่นาน การทสอบรอบที่ 2 ก็เริ่มต้นขึ้น

บททดสอบรอบที่ 2 เป็นการทดสอบไหวพริบและความสามารถในการเอาตัวรอด…500 คนแรกที่สามารถฝ่าค่ายกลออกมาได้ก่อน ก็จะเข้าสู่บททดสอบรอบที่ 3 ทันที

“บททดสอบรอบที่ 2 คิดกำจัดผู้คนออกไปกว่าครึ่งเชียวหรือ?”

หลังได้ฟังเหลยอิงกล่าวบอกจำนวนผู้ที่จะได้ไปต่อ สีหน้าผู้เข้ารับการทดสอบหลายๆคนก็มืดลงทันที

สำหรับผู้ที่ถูกคัดออกไปก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ได้จากไปไหนเพียงถอยออกไปชมดูเรื่องราวอยู่ห่างๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง และสามารถทำใจยอมรับเรื่องราวได้ “พันกว่าคนแต่เอาแค่ 500 คนแรกที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้…ต่อให้รอบแรกข้าจะทนฝ่ามาได้ แต่รอบนี้ก็คงไม่ไหวอยู่ดี…”

“โอยจักรพรรดิอมตะไร้ใจ ช่างโหดเหี้ยมไร้หัวใจเหลือเกิน…ดูท่าแล้วการทดสอบรับศิษย์ของวังเทียนฉือครานี้ จะมีผู้ที่ผ่านได้ไม่ถึง 100 คนจริงๆ”

“อย่างไรเสีย ให้เทียบกับรอบแรกแล้ว บททดสอบรอบที่ 2 ข้าว่ามีมาตรฐานเหนือกว่า…เพราะยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งฝ่าค่ายกลออกมาเร็วขึ้นเท่านั้น”

หลังเหลยอิงประกาศรายละเอียดได้ไม่นานนัก ก็มีผู้คนด้านหลังนางจำนวน 40 กว่าคนก้าวออกมา จากนั้นก็แยกตัวไป 4 คนต่อหนึ่งกลุ่ม ก่อนกระจายตัวล้อมกลุ่มผู้เข้าทดสอบที่รับผิดชอบแต่ละช่วงอายุเอาไว้ทั้ง 4 ทิศทาง

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลที่จะให้ฝ่าในบททดสอบรอบที่ 2 จะถูกจัดตั้งโดย คน 4 คน

“ตั้งค่าย”

พอเหลยอิงเอ่ยออกเสียงเบา ผู้คนทั้ง 40 คนที่กระจายตัวไปยังกลุ่มทั้ง 10 ก็เริ่มลงมือกันทันที ในแต่ละกลุ่มเห็นเป็นพลังหลากสีพุ่งมาจากร่างทั้ง 4 ที่อยู่คนละมุม ก่อนจะไปบรรจบกันเหนือฟ้าใจกลาง บังเกิดเป็นค่ายกลพิสดารค่ายหนึ่ง ล้อมกักผู้เข้าทดสอบนับพันแต่ละกลุ่มเอาไว้ชะงัด

“เริ่มฝ่าค่ายกลได้”

พอเหลยอิงกล่าวจบ ผู้คนนับพันก็เรื่มเคลื่อนไหว แต่ละคนโคจรเร่งเร้าพลังเตรียมตัว ราวกับพร้อมจะพุ่งทะลวงฝ่าค่ายในบัดดล

อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็ไม่มีใครรีบร้อนลงมือ หมายดูเชิงและรอฉกฉวยโอกาสทั้งสิ้น

ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเองก็นิ่งมองผู้คนโดยรอบครู่หนึ่ง

“หืม?”

ในขณะที่เหลยอิงสงสัยว่าไฉนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยังไม่ลงมือฝ่าค่ายกล นางก็พบว่าอยู่ๆร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลันอันตรธานหายไปพร้อมๆกัน

ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาผุดโผล่ยังพื้นที่ว่างจุดเดิมเบื้องหน้านางไม่ไกลแล้ว!

“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ?”

ลูกตาเหลยอิงหดเล็กลง เพราะนางรู้ดีว่าความเคื่อนไหวของทั้งคู่คืออะไร ถึงแม้ว่าทั้ง 4 คนที่ตั้งค่ายกลล้อมกักกลุ่มของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอาไว้จะยังมีด่านพลังจอมราชันอมตะ แต่ทว่าทั้ง 4 ก็เข้าใจความลึกซึ้งไม่ใช่ชั่ว เช่นนั้นเว้นแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เคลื่อนย้ายข้ามมิติหนีออกจากค่ายกลมาดื้อๆได้แบบนี้

กล่าวได้อีกอย่างว่า…

อย่างน้อยๆ 1 ใน 2 คนเบื้องหน้าก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่!

“พวกเจ้าทำเช่นนี้นับว่าผิดกฏเกณฑ์อยู่บ้าง…”

เหลยอิงมองไปยังต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลางกล่าว “พวกเจ้ามิอาจช่วยเหลือผู้อื่นฝ่าค่ายกลได้…ทุกคนต้องพึ่งกำลังของตัวเองในการฝ่าค่ายกลออกมาเท่านั้น”

“ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เป็นผู้ใดในพวกเจ้าใช้เคลื่อนมิติออกมา ข้าจักปล่อยให้อีกคนกลับเข้าไปในค่ายและฝ่าออกมาใหม่…”

เหลยอิงกล่าว

ถึงแม้จากพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่เผยออกก่อนหน้า ไม่ว่าใครก็อาศัยพลังของตัวฝ่าค่ายกลออกมาได้ทั้งนั้น แต่เหลยอิงก็คิดชมดูพลังสามารถที่แท้จริงของทั้งคู่ จะได้ประเมิณศักยภาพพรสวรรค์ของทั้งคู่ได้ถูก

ได้ยินคำของเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็หันมามองหน้ากันรอบหนึ่ง จากนั้นฮ่วนเอ๋อก็เคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับเข้าไปในค่ายกล ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับมายังจุดเดิมในพริบตา

และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อเคลื่อนย้ายข้ามมิติกลับมา ไม่ทันที่เหลยอิงจะทันได้พูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างกลับเข้าไปในค่ายกล ก่อนที่จะวูบร่างกลับมาในเสี้ยวพริบตาเช่นกัน

‘ทั้งคู่…ล้วนแล้วแต่เข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่!’

เหลยอิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะนางไม่ทันคิดถึงผลลัพธ์แบบนี้เอาไว้เลย!

และกลุ่มคนของวังเทียนฉือทียืนอยู่ด้านหลังเหลยอิง พอเห็นการกระทำของต้วนหลิงเทียนกับบฮ่วนเอ๋อ ต่างก็ประหลาดใจกันยกใหญ่ “ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้พานพบต้นกล้าชั้นเลิศเช่นนี้!”

“ให้ตายเถอะ ตอนข้าอายุไม่ถึง 300 ปี เกรงว่าข้ายังไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บทั้งคู่ด้วยซ้ำ!”

“ข้าด้วย”

เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เลยกลายเป็น 2 คนแรกที่ผ่านบททดสอบในรอบที่ 2 แต่สิ่งนี้เหลยอิงกับคนอื่นๆของวังเทียนฉือก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

หลังจากผ่านไปราวๆ 2 เค่อ ในที่สุดก็มีคนฝ่าค่ายกลออกมาได้

และในระหว่างรอ ต้วนหลิงเทียนก็ได้สังเกตค่ายกลของแต่ละกลุ่มช่วงอายุ จนหยั่งถึงตื้นลึกหนาบางได้ทั้งหมด

เป็นธรรมดาว่าค่ายกลที่ล้อมกักกลุ่มคนอายุไม่ถึง 100 ปีย่อมอ่อนด้อยที่สุด

สำหรับกลุ่มคนอายุ 900-1,000 ปี ก็ต้องเจอกับค่ายกลที่ทรงพลังอานุภาพรุนแรงที่สุด แน่นอนว่าทั้งหมดอิงตามอายุ ทุกคนจึงเสมือนพบพานขุนเขาที่ยากจะข้ามดุจเดียวกัน

‘จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ จอมราชันอมตะ 6 ผสาน…มีแม้แต่จอมราชันอมตะ 7 ดาราเชียวรึ?’

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองไปยังกลุ่มคนอายุ 900-1,000 ปี เขาก็พบว่าในบรรดาผู้ที่เข้ามาทดสอบช่วงอายุนี้ มียอดฝีมือมาเข้าร่วมไม่น้อย

ผู้ที่ด่านพลังฝึกปรือสูงสุดยังเป็นถึงจอมราชันอมตะ 7 ดารา!

และหลังจากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแล้ว ผู้ที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้เป็นคนที่ 3 ก็คือจอมราชันอมตะ 6 ผสานในกลุ่มนี้

จอมราชันอมตะ 6 ผสานที่ทำเวลาผ่านการทดสอบได้เป็นอันดับ 3 มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มมาในชุดจอมยุทธ์สีครามที่แลดูมั่นใจและกำลังอารมณ์ดีไม่น้อย อย่างไรก็ตามพอมันเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อมายืนรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มมันก็ชะงักค้างไปทันที

‘อะไร…พวกมันออกมาไวกว่าข้าอีกเรอะ!?’

ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามอดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะมันหลงคิดว่าตัวเองจะผ่านการทดสอบเป็นคนแรกเสียอีก แต่พอนึกย้อนดูมันก็พอจะเข้าใจได้ ‘ก็นะ บททดสอบแรกพวกมันสำแดงพลังเหนือชั้นขนาดนั้น บททดสอบรอบที่ 2 ยังจะนับเป็นอะไรได้เล่า…’

‘อย่างไรเสียบททดสอบที่พวกมันพบเจอ ก็ยากไม่ถึง 1 ใน 3 ของบททดสอบที่ข้าพบเจอด้วยซ้ำ…หากพวกมันเจอบททดสอบเดียวกับข้าเผลอๆยังผ่านกันไม่ได้เลย’

ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ราวกับมันลืมเลือนไปเสียสิ้น ว่าจะต้วนหลิงเทียนก็ดีฮ่วนเอ๋อก็ดี ล้วนมีอายุไม่ถึง 300 ปีกันสักคน…

แต่ตัวมันล่อไป 900 กว่าปีแล้ว…

“เจ้าทำได้ไม่เลว”

เหลยอิงหันไปมองกล่าวชมชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามก่อน ค่อยเอ่ยถามออกมาเสียงเบาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

“ท่านจ้าวตำหนักเหลย ข้าเรียกว่า จวินฮ่าวซวน”

ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีครามกล่าวตอบ

“อืม”

เหลยอิงพยักหน้ารับทราบเบาๆ จากนั้นก็หันกลับไปมองคนอื่นๆ

หลังผ่านไปอีก 2 เค่อ ก็มีคนฝ่าค่ายกลออกมาได้สำเร็จเป็นคนที่ 4 จากนั้นผู้คนก็ทยอยกันฝ่าค่ายกลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

หลังการทดสอบผ่านไปทั้งสิ้น 1 ชั่วยามก็มีคนสามารถฝ่าค่ายกลออกมาได้ 200 กว่าคน

สุดท้ายหลังผ่านไปอีก 2 เค่อ ในที่สุดคนที่ 500 ก็ฝ่าออกมาได้สำเร็จ

และพอครบกำหนดแล้วเหล่าผู้ทดสอบทั้ง 4 ของแต่ละกลุ่มก็ประกาศยุติออกมา ก่อนจะถอนรั้งพลังคืนกลับ ทำให้เหล่าคนที่ยังไม่อาจฝ่าค่ายกลออกมาได้ชักสีหน้าสลดหดหู่กันเป็นแถบ

“ข้าพลาดแล้ว…”

“เฮ่อ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…เมื่อครู่ข้าจะฝ่าออกไปได้แล้วเชียว”

“บ้าเอ๊ย! ถ้ามีให้ข้าอีกสักเสี้ยวลมหายใจ ข้าก็จะฝ่าออกไปได้แล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ผู้ใดดันตัดหน้าข้าเป็นคนที่ 500 ไปก่อนซะได้…”

ถึงแม้ว่าหลายคนจะรู้สึกยากยอมรับอยู่บ้าง เพราะขาดอีกแค่เล็กน้อยก็จะผ่านการทดสอบแล้ว แต่ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เช่นนั้นพวกมันก็ถือว่าไร้วาสนากับวังเทียนฉือ แต่ต้นจนจบพวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้าไปในวังเทียนฉือด้วยซ้ำ

“500 คนที่ผ่านบททดสอบ ต่อไปให้ติดตามข้าเข้าไปในวังเทียนฉือ”

ภายใต้การนำของเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อและคนอื่นๆทั้ง 500 คนก้าวอาดๆตามเหลยอิงไปติดๆ สำหรับผู้คนที่มากับเหลยอิงนั้น ไม่ได้ติดตามเข้ามาด้วย แต่อยู่รักษาความสงบด้านหน้าวังเทียนฉือต่อสักพัก จนกว่าผู้ที่มาจะกลับไปกันหมด

หลังผ่านม่านเมฆหมอกมาสักพัก ฉากเรื่องราวของวังเทียนฉือก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน

ถิ่นที่อยู่ของวังเทียนฉือทั้งหมดนั้น มันอยู่เหนือทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยม่านเมฆหมอกปกคลุมแห่งหนึ่ง เป็นเกาะลอยฟ้าที่ลอยล่องเหนือทะเลสาบ ตัวเกาะแต่ละเกาะ มองจากไกลๆก็เห็นชัดว่าเต็มไปด้วยความเขียวขจีทั้งพฤกษาหลากสีงดงาม บรรยากาศสมแล้วกับที่เป็นแดนสวรรค์ ไม่ใช่อะไรที่จะพบเจอได้ในแดนมนุษย์…

ภายใต้การนำของเหลยอิง ในที่สุดพวกต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็ได้มาลงจอดยัง 1 ใน 16 เกาะลอยฟ้าเหนือทะเลสาบ