ตอนที่ 3,262 : ศิษย์อัจฉริยะใต้สังกัดฉือหล่าง

การลงทะเบียนเข้าสู่วังเทียนฉือนั้น เรียกว่าง่ายดายมาก ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มีฉือหล่าง จักรพรรดิอมตะสมญานามนำพามาเลย ทุกเรื่องราวเสมือนไฟเขียวผ่านฉลุย

“สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆข้าและคนของข้าใช้บ่มเพาะ”

ภายใต้การนำทางของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็เดินทางมาถึงน่านฟ้าเหนือยอดเขาลูกหนึ่ง บนเกาะลอยฟ้าแห่งหนึ่งท่ามกลางหมู่เกาะ

เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยพื้นที่ป่าภูเขา กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ตามภูเขายังแลเห็นถ้ำบ่มเพาะที่ถูกขุดสร้างไว้อย่างดี นอกจากนั้นยังมีอาคารบ้านเรือนสวยงามให้เห็น

“ในด่านของข้ามีศิษย์อัจฉริยะทั้งสิ้น 6 คน…ส่วนผู้คนที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ ล้วนเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือไม่ก็สหายของพวกมัน”

(คำว่าด่านในที่นี้ มันคือ เหมิน ที่แปลว่าประตู ผมขอใช้คำว่าด่านนะ จะใช้สำนักก็แปลกๆเพราะตามลักษณะแล้ว จะเรียกว่าสำนักก็ไม่ใช่)

สายตาฉือหลางกวาดมองลงไปยังเบื้องล่างภูเขา พลางกล่าวกับต้วนหลิงเทียน

“เจ้าคงสังเกตเห็นแล้วว่ามีเขาทั้งสิ้น 10 ลูก…เขาลูกตรงกลางนั่นก็คือสถานที่บ่มเพาะของข้าเอง…สำหรับยอดเขาอีก 9 ยอดที่เหลือ 6 นั้นเป็นของศิษย์อัจฉริยะข้า เจ้าเองอีกไม่นานก็จักได้เลือก 1 ใน 3 ยอดเขาที่เหลือเป็นที่พักและฝึกฝน”

ฉือหล่างกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลงครู่หนึ่งค่อยพูดต่อ “เจ้าพักที่นี่สักวันสองวันเถอะ จากนั้นค่อยไปตำหนักลองกระบี่ เพื่อสมัครทดสอบเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์อัจฉริยะเสีย การได้รับฐานะศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ จักมีคุณประโยชนน์กับเจ้ามากมาย”

“ศิษย์อัจฉริยะ?”

สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายทันที

ก่อนหน้านี้ตอนเขาอยู่ในการทดสอบรับศิษย์ของวังเทียนฉือ เขาก็ได้ยินหลายๆคนที่เข้าร่วมการทดสอบพูดถึงศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือบ่อยครั้ง…

ที่แท้คิดจะเป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ ก็ต้องผ่านบททดสอบก่อนงั้นหรือ?

“ว่าแต่จะผ่านการทดสอบเป็นศิษย์อัจฉริยะได้ยังไง”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ถามด้วยความสงสัย

“ท้าทายอัจฉริยะคนอื่นๆในช่วงอายุเดียวกันแล้วเอาชนะให้ได้…สำหรับช่วงอายุที่ว่าก็เหมือนตอนที่เจ้าทดสอบนั่นล่ะ ของเจ้าก็อยู่ในช่วง 200-300 ปี และในวังเทียนฉือเราก็มีอัจฉริยะในอายุช่วงนี้อยู่ 10 คน”

“หากเจ้ากับฮ่วนเอ๋อคิดจะเลื่อนสถานะเป็นศิษย์อัจฉริยะ ก็ไปส่งเรื่องท้าทายอัจฉริยะที่อยู่อันดับท้ายๆเสีย”

“ส่วนอัจฉริยะที่ต้องท้าทายเป็นผู้ใดด่านพลังอันใด เจ้าสามารถชมดูได้ที่ตำหนักลองกระบี่ ที่นั่นจักมีรายนามอันดับของอัจฉริยะแต่ละช่วงอายุทั้งหมดในวังเทียนฉือเรา”

ฉือหล่างกล่าว

“ตอนนี้เจ้าไปที่บ่มเพาะของข้าก่อน ข้าได้เรียกศิษย์อัจฉริยะในด่านข้าให้มาพบเจ้า”

“อัจฉริยะที่อยู่ในด่านข้า ไม่ได้จัดลำดับตามพลังฝีมือเหมือนศิษย์อัจฉริยะของจักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆ หากแต่จัดลำดับตามการเข้าร่วมก่อนหลัง”

ฉือหล่างกล่าวจบคำ มันก็เหินนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อไปยังสถานที่บ่มเพาะของมันทันที

บนยยอดเขาสูงตระหง่านลูกนี้ มีลานสิลาอันกว้างใหญ่ลานหนึ่ง และหลังลานก็มีตำหนักโอ่อ่าวิจิตรปลูกสร้างเอาไว้

เป็นสถานที่พักบ่มเพาะของฉือหล่างเอง

ฉือหล่างพาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าไปในตำหนัก ก่อนจะนำไปยังโถงรับรองแห่งหนึ่งที่เปิดโล่ง ก่อนจะสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารออกมาบดขยี้ไม่กี่ชิ้น

ไม่นานนักก็ปรากฏเสียงฝ่าส่ายลมไวๆแว่วจากที่ไกลๆ และไม่ทันไรก็เข้ามายังโถงรับรองเสียแล้ว

“ฮ่าๆๆ…อาจารย์! ท่านไปฉกศิษย์น้อง 7 มาจากที่ไหนกัน?!”

เสียยงหัวเราะร่าหนึ่งดังนำมาก่อน จากนั้นก็ปรากฏชายร่างอ้วนท้วมในชุดแดงคนหนึ่งก้าวอาดๆเข้ามาในโถงจนไขมันหนั่นเนื้อทั่วร่างกระเพื่อมขึ้นๆลงๆ และด้วยความที่มันอ้วนเกินไป ใบหน้าของมันจึงคล้ายถูกบีบมารวมตรงกลาง ตาหยีๆหันมองไปทั่วโถง

สุดท้ายจึงมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียน

“ศิษย์น้อง 7 ของเจ้า คือศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือของเราวันนี้สดๆร้อนๆ…”

ขณะที่ฉือหล่างกล่าว ก็มีอีก 2 ร่างปรากฏตัวเข้ามาในโถง

เป็นสตรีในชุดสีน้ำเงินอากัปกิริยาเรียบร้อยใบหน้ากระจ่างน่ามอง แลดูสง่างามปานคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ นางมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอ่อนโยน กล่าวทักทายด้วยน้ำเสีงไพเราะ “ยินดีที่ได้พบศิษย์น้อง 7 ข้าคือศิษย์พี่หญิง 4 ของเจ้า”

อีกคนที่เข้ามาพร้อมกันเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำใบหน้าเย็นชาสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง อย่างไรก็ตามขณะมองมายังต้วนหลิงเทียน แววตาเฉยยยชาของมันก็แลดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย

“ยินดีต้อนรับศิษย์น้อง 7”

ชายหนุ่มชุดดำพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียน

“ศิษย์น้อง 7 นี่คือศิษย์พี่รอง…อีกทั้งศิษย์พี่รองยังแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา แม้อายุจะยังไม่ถึงพันปีแต่ด่านพลังบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะแล้ว”

ชายอ้วนที่แลดูอารมณ์ดีกล่าวแนะนำชายหนุ่มชุดดำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักด้วรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมแนะนำตัวเอง “จริงสิ ข้าคือศิษย์พี่ 6 ของเจ้า”

“หากเจ้าเอาชนะข้าได้ จะเรียกชื่อข้าห้วนๆหรือเจ้าอ้วนเลยก็ได้!”

ชายอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

จากนั้นไม่นานนักก็ปรากฏร่างผู้มาใหม่มาถึงโถงรับรองอีก 2 คน เป็นสตรีงามหมดจดรูปร่างยวนยั่วในชุดสีแดงเพลิงนางหนึ่ง กับบุรุษหน้าหยกที่แต่งตัวราวบัณฑิต

“เจ้าคือศิษย์น้อง 7 หรือ?”

สตรีอันมีรูปร่างเย้ายวนก้าวอาดๆมาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน จากนั้นท่ามกลางสาตาอึ้งๆของต้วนหลิงเทียนนางก็กนิ้วเชยปลายคางต้วนหลิงเทียน “ไม่เลว…ไม่เลวเลย กระทั่งเจ้ายังนับว่าหล่อเหลาเอาเรื่องยิ่ง…ศิษย์น้อง 7 เจ้าสนใจไปเอนกายสนทนาเรื่องราวความรักในฟ้าดินกับศิษย์พี่ 3 รึเปล่า?”

“ฮึ!”

การกระทำดังกล่าวของสตรีชุดแดงเพลิง ทำให้ฮ่วนเอ๋อที่ยืนข้างๆต้วนหลิงเทียนรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก นางแค่นคำเสียงเย็นคำหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นปัดมือของสตรีชุดแดงออกไปจากคางต้วนหลิงเทียน

“เอ๊ะ? นี่น้องสะใภ้หรอกหรือ? ขออภัยด้วย…ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่ทันเห็นเจ้า ว่าแต่ไฉนเจ้าถึงใส่ผ้าปิดหน้าซะเล่า?”

สตรีชุดแดงชักมือกลับ และในขณะที่ฮ่วนเอ๋อลดมือลง นางก็พุ่งมือฉับไวปลดผ้าปิดหน้าของฮ่วนเอ๋อออกไปด้วยความเร็ว

ทันใดนั้นพวงพักตร์งามพิลาศล้ำไร้ใดเสมอเหมือนก็ถูกเปิดเผยให้ทุกคนประจักษ์ทันที

จังหวะนี้ ภายในโถงกลับกลายเป็นเงียบงันไร้กระทั่งเสียงลมหายใจ

สตรีชุดแดงที่ก่อการ หลังอื้ออึงไปพักหนึ่งก็ดึงสติกลับมาได้ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าใต้หล้าจะยังมีสตรีที่งดงามเทียบเทียมกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ดำรงอยู่…ไม่สิ ยังนับว่างดงามยิ่งกว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่เสียอีก”

“หึ!”

และแทบจะทันทีที่สตรีชุดแดงเพลิงกล่าวจบคำ ชายหนุ่มุชดดำที่สะพายกระบี่พ่นลมหายใจเยียบเย็นออกมา ทำให้สตรีชุดแดงได้แต่คลี่ยิ้มแห้งงๆด้วยความละอายทันที “ศิษย์พี่รองอ่า ข้าแค่ล้อเล่นเอง อย่าได้หงุดหงิดเลย”

“ศิษย์น้อง 7 ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกนอกหยอกเจ้าไปแบบนั้นล่ะ…ส่วนข้าคือศิษย์พี่ 5 ของเจ้า โอวหยางฉีเฟย”

จากนั้นชายหนุ่มในชุดบัณฑิตก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม กล่าวแนะนำตัวเองออกมา

“ต้วนหลิงเทียน นี่คือศิษย์พี่รองของเจ้า หลู่จี้”

ตอนนี้เองจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ก็เริ่มกล่าวแนะนำศิษย์อัจฉริยะทั้ง 5 ของมันที่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก โดยเริ่มจากชายหนุ่มชุดดำสะพายกระบี่เป็นคนแรก

ด้านหลู่จี้ก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียน ใบหน้าที่แคร่งขรึมเย็นชาปรากฏรอยยยิ้มบางๆอย่างหาดูได้ยาก

“ส่วนนี่คือศิษย์พี่หญิง 3 ของเจ้า หูเหมย”

ถัดมาฉือหล่างก็ผามือไปยังสตรีชุดแดงเพลิง และนางก็ขยิบตาให้ต้วนหลิงเทียน ด้วยท่าทางเย้ายวน

เรียกว่านางหยอกเย้าต้วนหลิงเทียนอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งฮ่วนเอ๋อมองมาตาขวาง…

“ส่วนนี่คือศิษย์พี่หญิง 4 ของเจ้า เวิ่นหว่านเอ๋อ”

ฉือหล่างมองไปยังสตรีในชุดสีน้ำเงินที่แลดูเรียบร้อยพลางกล่าว และนางก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอีกรอบ รอยยิ้มนางยังอ่อนโยนปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ

“ส่วนนี่ก็คือศิษย์พี่ 5 ของเจ้าที่มันพึ่งกล่าวแนะนำตัวไปเมื่อครู่ โอวหยางฉีเฟย”

ฉือหล่างมองชายหนุ่มในชุดบัณฑิตค้างอยู่พักหนึ่ง คอยกล่าวออกมาสืบต่อ “กล่าวไปในบรรดาศิษย์พี่ทั้ง 6 คนของเจ้า ก็มีมันนี่ล่ะที่เป็นคนปกติ…”

ทันทีที่ฉือหล่างกล่าวประโยคนี้ออกมา ชายอ้วนก็มองไปทางฉือหล่างด้วยสายตาสลด “ท่านอาจารย์ ต่อให้ท่านจะเป็นอาจารย์ แต่ก็ไม่อาจใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้มิใช่หรือ”

“ท่านบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าข้าหงเฟยไม่ปกติตรงที่ใด? หากวันนี้ท่านไม่พูดออกมาให้รู้ความ ข้าจักกอดขาท่านไม่ปล่อย!”

พอชายอ้วนกล่าวจบคำ ร่างอ้วนของมันก็พุ่งตีลังกาม้วนหน้ากลิ้งหลุนๆไปฉับไว! พริบตาก็ไปกอดขาฉือหล่างไว้ราวลูกหมีแพนด้า ทำท่าราวกับหากฉือหล่างไม่บอกต่อให้โดนตีให้ตายมันก็จะไม่ปล่อย

“ไสหัวไป!!”

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานาม ฉือหล่างมีหรือจะยอมทำตามความต้องการของมัน? เพียงแค่นคำขับไล่เสียงดังคราหนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏพลังไร้สภาพปะทุออกจากขา ดีดร่างชายอ้วนให้ปลิดปลิวออกไปกระแทกผนังห้องโถงอย่างแรง

ตูมมม!!

ตึงงงง!!

เสียงกระแทกดัสนั่นปานแผ่นดินไหวก้องไปทั่วโถง กระทั่งตัวโถงยั่งสั่นสะเทือนไปอยู่พักหนึ่ง อย่างไรก็ตามชายอ้วนที่ถูกดีดออกไปกระแทกผนังอย่างจังกลับแลดูไม่เป็นไร เนื่องเพราะทั่วร่างมันปรากฏชั้นพลังสีกากีปกคลุมเอาไว้ จากนั้นคนก็ม้วนกลิ้งหลุนๆมาด้วยความเร็วสูง พุ่งมากอดขาฉื่อหลางพลางโอดครวญต่อ “อาจารย์ ท่านทำแบบนี้กับผู้อื่นไม่ถูกนา…รีบบอกมาเร็วๆ ข้าไม่ปกติตรงที่ใด”

เห็นฉากดังกล่าวมุมปากต้วนหลิงเทียนอดกระตุกขึ้นมาติดๆไม่ได้

เขารู้สึกว่าทั้ง 5 คนที่เป็นศิษย์อัจฉริยะของฉือหล่าง ไม่คล้ายศิษย์อาจารย์ทั่วไป

แลดูราวกลุ่มสหายที่สนิทสนมกันมากกว่า

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคงกำลังคิดอยู่กระมัง ว่าไฉนอาจารย์ของพวกเราแลดูไม่เหมือนอาจารย์เลย?”

สตรีในชุดแดงนามหูเหมย ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่หญิง 3 ของต้วนหลิงเทียน คลี่ยยิ้มพลางกล่าวออกมาว่า “อันที่จริงพวกเราทุกคนเคารพท่านอาจารย์มาก…อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์เป็นคนใจดีทั้งง่ายๆเป็นกันเอง ชมชอบเป็นเพื่อนกับพวกเรามากกว่า พวกเราก็ได้แต่ทำตามใจอาจารย์ ไปๆมาๆก็สนิทกันเช่นนี้”

“หากเจ้าปฏิบัติต่ออาจารย์เหมือนผู้อาวุโส และชอบทำอะไรเป็นพิธีการ ท่านอาจารย์จะรู้สึกหดหู่”

“เช่นนั้นวันหน้าเจ้าก็เห็นอาจารย์เป็นดั่งสหายคนหนึ่งเถอะ”

หูเหมยกล่าว

“หูเหมย เจ้าทำเจ้าอ้วนนี่เสียคนกลายเป็นตัวบ้าบอไปแล้วคนหนึ่ง นี่ยังจะทำให้ต้วนลิงเทียนเสียคนด้วยหรือ?”

ฉือหล่างถลึงตามองหูเหมยยด้วยท่าทีโกรธเคือง อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเห็นว่าแม้ท่าทางจะแลดูเอาเรื่องแต่ก็ไม่ได้ยึดถืออะไร แค่ทำท่าไปเท่านั้น

“ศิษย์น้องเล็ก ไว้เจ้าอยู่กับพวกเราไปสักพักเดี๋ยยวเจ้าก็จะคุ้นชินไปเอง…แม้ท่านอาจารย์จะเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งง แต่กับคนของตัวเองท่านก็ไม่ชมชอบพิธีการอะไรนักหรอก”

ศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อ มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“อ่า”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ในใจยังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ชวนให้รู้สึกเสมือนอยู่บ้านขึ้นมาพิกล

บางทีต่อไปที่นี่อาจเป็นบ้านอีกหลังให้เขากลับมา เป็นสถานที่ๆให้เขาสามารถผ่อนคลายทำตัวสบายๆได้

พอนึกถึงตอนที่ฉือหล่างพาเขาไปลงทะเบียนอะไร ต่อหน้าคนอื่นอีกฝ่ายก็แลดูจริงจังไม่น้อย ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดคิดไปไม่ได้ว่า บางทีที่นี่อาจเป็นที่เดียวที่ทำให้ฉือหล่างเป็นตัวของตัวเอง

“อา…ตอนนี้พวกเรามีศิษย์น้อง 7 แล้ว ข้าก็ไม่ศิษย์น้องคนเล็กอีกต่อไป วันหน้าคงไม่มีใครรักศิษย์น้องธรรมดาๆอ้วนๆเช่นข้าอีกแล้ว…”

ศิษย์พี่ 6 ของต้วนหลิงเทียนนามหงเฟย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสลด แน่นอนว่ายังกอดขาฉือหล่างไม่ยอมปล่อย…

“เจ้าอ้วน เจ้าก็กล้าพูดออกมาได้…เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยขาดความรักหรือ?”

ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยหันไปมองกล่าววกับชายอ้วนด้วยสีหน้าน้ำเสียงระอา “หากเจ้าหน้าตาหล่อเหลาทั้งมีรูปงามเหมือนศิษย์น้อง 7 ศิษย์พี่หญิง 3 คนนี้จักรักเจ้าตายเลย…แต่อ้วนกลมทั้งบ้าบอเช่นเจ้า ศิษย์พี่หญิง 3 ไม่อาจทำใจรักเจ้าได้ลงคอจริงๆ…”