WSSTH ตอนที่ 3,267 : สังเวียนอัจฉริยะ
“หืม? ข้าก็ได้เหมือนกัน..”
เสียงฮ่วนเอ๋อดังไม่ทันจบคำดี ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักไปวูบหนึ่ง เพราะมีข้อความจากอาวุโสตำหนักลองกระบี่ส่งตรงมาถึงเขาเหมือนกัน
อาวุโสตำหนักลองกระบี่ได้ส่งข้อความมาบอกเขาว่า ศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีอันดับล่างๆ บังเอิญอยู่ในวังเทียนฉือไม่ได้ไปไหน เช่นนั้นจึงตอบรับคำท้าเขาเรียบร้อย หลังจากนี้ 3 วันจะไปประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะวังเทียนฉือกับเขา
ในฐานะผู้ท้าชิง เขาไม่มีสิทธิ์เลือกเวลา และหากเขาไม่อาจไปปรากฏตัวในสังเวียนได้ในเวลาที่กำหนด เขาก็จะถูกปรับแพ้ทันที
“อัจฉริยะที่รับคำท้าข้า นัดหมายประลองในอีก 3 วันหลังจากนี้…ของฮ่วนเอ๋อล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามฮ่วนเอ๋อด้วยความสงสัย
“ของฮ่วนเอ๋ออีก 10 วัน”
ฮวนเอ๋อตอบ
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว วันเวลา 3 วันดุจลัดนิ้วมือเท่านั้น
หลังจากผ่านไป 3 วันเขาก็พาฮ่วนเอ๋อออกจากสถานที่พักบ่มเพาะในเขตของฉือหล่าง และเตรียมตัวเดินทางไปลานประลอง
อย่างไรก็ตามเขาพึ่งจะเหินร่างออกไปได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง “เฮ่ ศิษย์น้องเล็ก รอข้าด้วย!”
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนหยุดลงชั่วคราว พอหันกลับไปก็เห็นนร่างชายอ้วนท้วมในนชุดคลุมสีน้ำเงินกำลังเหินร่างมาทางนี้
ถึงแม้ร่างกายอีกฝ่ายจะแลดูอ้วนฉุเทอทะ แต่ความเร็วในการเหินบินของมันก็ไม่ใช่เล่นๆเลย
“ศิษย์พี่ 6 ไฉนมาหาข้าได้เล่า?”
ผู้ที่มาหาเขาก็คือศิษย์ลำดับที่ 6 ของฉือหล่าง หงเฟย
“อั้ย ศิษย์น้องเล็ก…วันนี้เป็นวันท้าประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะของเจ้าทั้งที จะขาดศิษย์พี่ไปให้กำลังใจได้อย่างไร เจ้าดูสิข้าไม่เหมือนศิษย์พี่คนอื่นใช่ไหม? ข้าน่ะใจดีกับศิษย์น้องเสมอล่ะ จำไว้เลยตอนเจ้ามีปัญหา เจ้าอาจไม่เห็นคนอื่น แต่เจ้าจะเห็นข้าเสมอ!!”
หงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มร่าพลางตบหน้าอกที่เต็มไปด้วยหนั่นเนื้อ แลดูเที่ยงธรรมนัก
“ว่าแต่ศิษย์พี่หงเฟยรู้ได้ยังกัน ว่าวันนี้ข้าต้องขึ้นประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ?”
ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย เพราะกระทั่งตัวเขาเองก็พึ่งจะได้ยินข้อความจากอาวุโสตำหนักลองกระบี่เมื่อ 3 วันก่อนเท่านั้นเอง แล้วยังไม่ได้บอกใครนอกจากฮ่วนเอ๋อด้วย
“อ้อ จริงสิ ศิษย์น้องเล็กคงยังไม่รู้เรื่องนี้…ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม หากมีการท้าทายชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะเกิดขึ้น จะช่วงอายุไม่ถึงร้อยปีก็ดี จะช่วงอายุ 900-1,000 ปีก็ดี ตราบใดที่ไปลงทะเบียนท้าประลองชิงตำแหน่งที่ตำหนักลองกระบี่ และผู้ถูกท้าตอบรับจนกำหนดวันประลองเป็นมั่นเหมาะแล้ว ทางตำหนักลองกระบี่ก็จะติดประกาศเปิดเผยสู่สาธารณะ”
หงเฟยกล่าว “และข้าก็ไปทำธุระที่ตำหนักลอกระบี่เมื่อวันก่อนพอดี เลยเห็นประกาศการประลองของเจ้าโดยบังเอิญ”
“บังเอิญ?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบหยีตามองหงเฟยด้วยสายตาแปลกๆ มุมปากเริ่มปรากฏรอยยิ้ม “อ้อ ที่แท้ศิษย์พี่หงเฟยรู้ว่าข้ามีนัดหมายประลองวันนี้เพราะความบังเอิญนี่เอง”
‘เวร เผลอหลุดปากไปซะได้!’
จังหวะนี้หงเฟยที่รู้ตัวว่าพลาดก็ไม่เสียอาการ จึงรีบแถออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “โฮ่! ใช้ได้เลยนี่นาศิษย์น้อง ที่ข้าพูดไปแบบนั้น ก็แค่จะทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าเท่านั้นล่ะ…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่ตื่นสนามแม้แต่น้อยร้ายกาจๆ”
“อันที่จริงตั้งแต่ที่เจ้ามา ศิษย์พี่คนนี้ก็ไปตำหนักลองกระบี่เพื่อตรวจสอบการประลองชิงตำแหน่งศิษย์อัฉริยะทุกวัน…ก็เลยเห็นประกาศชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะอายุ 200-300”
หงเฟยกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางทำราวกับที่มันพูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆ เป็นธรรมดาว่าเขาไม่เชื่อวาจาที่หงเฟยกล่าวแถออกมาภายหลังแน่นอน และเขายังได้รับทราบถึงความไร้ยางอายของหงเฟยมากขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าพึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือ เช่นนั้นคงไม่รู้กระมังว่าสังเวียนอัจฉริยะอยู่ที่ใด?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่สนใจคำพูดของมัน หงเฟยก็รีบเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องทันที
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ข้าก็เลยออกมาแต่เช้า คิดจะไปถามทางผู้คนแถวๆนั้นดูน่ะ”
“มาๆๆ ไม่ต้องไปถามใครให้เหนื่อย ศิษย์พี่จะพาเจ้าไปเอง”
หงเฟยคลี่ยิ้ม
ระหว่างเดินทางออกจากเขตที่พัก หงเฟยก็ยังคงพูดเก่ง “สังเวียนอัจฉริยะ ไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าใดๆของวังเทียนยฉือ แต่มันตั้งอยู่ทางตอนเหนือห่างออกไปจากเขตวังเทียนฉือ 10 ลี้”
“สังเวียนอัจฉริยะของวังเทียนฉือเรามีทั้งสิ้น 3 สังเวียน”
“อย่างไรก็ตาม คนที่จะใช้สังเวียนอัจฉริยะวันนี้ก็มีเจ้ากับหวงลู่หนานที่ถูกท้าแค่คู่เดียว…ทว่าสิ่งที่วังเทียนฉือมีไม่ขาดคือผู้ที่ชมชอบเรื่องบันเทิง1 ถึงแม้เจ้าจะยังเป็นที่รู้จักและเจ้าหวงลู่หนานนั่นก็เป็นแค่ที่โหล่ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี แต่ไม่พ้นต้องมีศิษย์วังเทียนฉือไปชมดูเรื่องราวที่สังเวียนอัจฉริยะหนาตาแน่”
“แน่นอนว่าศิษย์ที่จะไปชมดูการประลองของเจ้าวันนี้ก็คงเป็นศิษย์ธรรมดาเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่น่าจะมีศิษย์อัจฉริยะไปดูกันมากนัก”
…
พอหงเฟยกล่าวจบประโยค พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็มาถึงสังเวียนอัจฉริยะที่ตั้งห่างออกมา 10 ลี้ทางเหนือเรียบร้อย
ระหว่างเดินทางมา เขาเองก็สังเกตเห็นศิษย์วังเทียนฉือมากมายกำลังมุ่งหน้าไปยังสังเวียนอัจฉริยะ
“ให้ตายเถอะ ข้าหงเฟยก็นับว่ามีชื่อเสียงในวังเทียนฉือไม่น้อยนี่นา…ไม่คิดเลยว่าศิษย์วังเทียนฉือพวกนี้จะตาไม่ถึงขั้น พวกมันจดจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
พอเห็นว่าไร้ศิษย์วังเทียนฉือคนใดเหินร่างเข้ามาคารวะทักทาย ลูกตาเล็กๆของหงเฟยก็หยีลงแทบปิด แลดูไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็หยุดลงกลางหาว เพราะมาถึงสังเวียนอัจฉริยะแล้ว
สังเวียนอัจฉริยะที่ว่า เป็นสังเวียนประลองขนาดใหญ่ 3 สังเวียนลอยล่องอยู่กลางอากาศ กระจายตัวอยู่ห่างกันพอสมควรเรียงตัวคล้ายจุดยอดของ 3 เหลี่ยม
และจุดกึ่งกลางระหว่างสังเวียนยอัจฉริยะทั้ง 3 ก็มีเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่งลอยล่องอยู่ และบนเกาะที่ว่านอกจากแท่นศิลาขนาดมหึมาปานอนุสาวรีย์ตั้งอยู่เด่นหราแล้ว ก็ไม่มีใดอื่นอีก
บนแท่นศิลาปานอนุสาวรีย์ดังกล่าวก็มีคำว่า ‘สังเวียนอัจฉริยะ’ แกะสลักไว้อย่างบรรจง
ตอนนี้ก็มีคนของวังเทียนฉือหลายร้อยคนมาเหินรอใกล้ๆสังเวียนอัจฉริยะ ทั้งยังมีผู้ที่เหินร่างทยอยกันมาไม่หยุด
“ศิษย์พี่หงเฟย!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมอสำรวจสังเวียนอัจฉริยะ ก็มีศิษย์วังเทียนฉือคนหนึ่งเหินร่างเข้ามาหาพลางป้องมือประสานคารวะทักทายหงเฟยอย่างกระตือรือร้น
“อืม”
เมื่อเห็นว่ามีคนเหินโร่เข้ามาทักทายตัวเองแล้ว ความไม่พอใจในตาหยีๆของหงเฟยก็สลายหายไป พยักหน้ารับคำทักด้วยความพึงพอใจเร็วไว
แน่นอนว่าตอนมีผู้อื่นเข้ามาทัก หงเฟยก็กลับกลายเป็นจริงจัง ไม่เหลือความไร้ยางอายเหลวไหลอะไรเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียยนกับฮ่วนเอ๋อ
เมื่อมีศิษย์วังเทียนฉือคนแรกเข้ามาทักหงเฟยแบบนี้ ก็ดึงความสนใจจากศิษย์วังเทียนฉือรอบๆอยู่บ้าง
“คนผู้นั้นคือหงเฟยรึ?”
“ศิษย์อัจฉริยะที่อ่อนแอที่สุดใต้สังกัดใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง?”
“หงเฟยผู้นี้หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 600-700 ปี…อย่างไรก็ตามมันมักถูกชิงตำแหน่งไปบ่อยๆ ก่อนจะใช้เวลาฝึกปรือไปสักพัก ค่อยทวงตำแหน่งคืนมา…”
“อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่สู้ทวงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะอันดับ 10 ของช่วงอายุ 600-700 ปีกลับมาได้ แต่พลังฝีมือมันก็ไม่ได้เหนือกว่าคู่ต่อสู้แต่อย่างใด กว่าจะชนะเรียกว่าหืดขึ้นคอ…มาดไม่เหมือนศิษย์อัจฉริยะคนอื่นเลยจริงๆ”
…
ถึงแม้เสียงกระซิบกระซาบของศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ด้วยระดับพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ย่อมได้ยินมันชัดถนัดหู
จากนั้นทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน มุมปากยังกระตุกขึ้นมาตงิดๆ
ด้านหงเฟยที่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังกล่าวเช่นกัน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นมืดดำทมึงทึง หันไปกวาดตามองตวาดศิษย์โดยรอบอย่างดุร้าย “พวกเจ้าช่างปากดีกันนักนะ…ไม่ทราบพลังฝีมือจักดีเหมือนฝีปากหรือไม่ ไม่สู้ขึ้นสังเวียนอัจฉริยะแล้วตีกับข้าสัก 300 รอบเล่า! อีกทั้งข้าต่อให้พวกเจ้ามัดรวมกันมาให้หมด ข้าหงเฟยจะสู้คนเดียว หากพวกเจ้ารอดได้เกิน 3 ลมหายใจให้ถือว้าขาหงฟยแพ้เป็นไง!?”
ได้ยินเสียงตวาดท้าทายอย่างดุร้ายของหงเฟย เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่คุยกันสนุกปากเมื่อครู่ก็พร้อมใจกันเงียบกริบด้วยความละอาย ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ
“ฮ่าๆๆๆ…หงเฟย ยิ่งมาเจ้ายิ่งเหลวไหลใหญ่แล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าถึงขั้นท้าตีท้าต่อยกับศิษย์ทั่วไปแล้วรึ!?”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงหัวเราะดังร่ามากเย้ยหยันหนึ่งดังสนั่นมาแต่ไกล ช่วยให้ศิษย์วังเทียนฉือที่ถูกตวาดใส่จนทำอะไรไม่ถูก หลุดพ้นออกจากสถานการณ์ยากลำบากทันที
ครู่ต่อมาก็มีร่างชายหนุ่มผ่ายผอมที่ผิดกับบร่างอ้วนใหญ่ของหงเฟยคนละขั้วปรากฏตัวสู่สายตาทุกคน
“หลิวเจี้ยนเจ้าถ่อมาทำอะไรที่นี่?”
เห็นชายหนุ่มร่างผอมปานไม้เสียบผีเบื้องหน้า หงเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาโผล่ที่นี่แบบนี้
ขณะเดียวกันด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังของหงเฟยส่งตรงถึงหู “ศิษย์น้องเล็ก ไอ้เจ้าผอมกะหร่องนั่นเรียกว่าหลิวเจี้ยน มันอายุพอๆกับข้าและเป็นศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุเดียวกัน…อย่างไรก็ตามมันอยู่อันดับ 9 ส่วนข้าอยู่อันดับ 10”
“หึ! หากครั้งก่อนไม่ใช่เพราะข้าโชคร้าย ไม่งั้นข้าทุบตีมันจนเปลี้ยและชิงอันดับที่ 9 ของมันมาได้แล้ว!”
กล่าวจบหงเฟยก็ทำท่าฮึดฮัดราวเสียดายไม่หยุด
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงปล่อยให้วาจาของหงเฟยเป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านหู ไม่ได้เชื่ออะไร เพราะศิษย์พี่ 6 ผู้นี้ช่างไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือสิ้นดี
แน่นอนว่าแม้เขาจะคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดจะแฉอีกฝ่าย
“ข้ามาที่นี่เพราะศิษย์น้องเป็นธรรมดา…อ่อเจ้าคงไม่รู้สินะ วันนี้เป็นศิษย์น้องข้า หวงลู่หนาน ที่จะขึ้นสังเวียนประลองกับศิษย์น้องของเจ้า”
พอหลิวเจี้ยนกล่าวถึงจุดนี้ มันก็หยุดครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อ “ข้าเองก็พึ่งรู้ว่ามีศิษย์ใหม่นามต้วนหลิงเทียนท้าประลองชิงตจำแหน่งศิษย์อัจฉริยะกับศิษย์น้องข้า ทั้งยังพบว่าศิษย์ใหม่คนนี้ได้เข้าร่วมกับอาจารยย์เจ้า ฉือหล่าง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี…”
“หากข้าเดาไม่ผิด…ศิษย์ใหม่ที่ว่าสมควรเป็นเจ้าหนูชุดม่วงนั่นกระมัง?”
กล่าวถึงจุดนี้หลิวเจี้ยนก็หันขวับไปจับจ้องต้วนหลิงเทียน จากนั้นมุมปากมันก็เริ่มยกยิ้มแสยะดูแคลนขึ้นมา
“อะไร? เจ้าดูถูกศิษย์น้องข้ารึ?”
เห็นการเหยียดหยามที่มุมปากของหลิวเจี้ยน หงเฟยก็ย่นคิ้วเป็นปมเอ่ยถามเสียงหนัก
“ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกมัน…แต่ศิษย์ใหม่ทุกราย แม้พลังฝีมือจะไม่ใช่ชั่วแต่ก็มักประมาณตัวเองสูงไป ข้าว่าเป็นการดีเสียกว่าที่จักไปปิดด่านบ่มเพาะสักพัก เรียนรู้เรื่องราวในวังเทียนฉือให้มาก รอให้พลังฝีมือถึงขั้นก่อน ค่อยไปท้าทายชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะก็ยังไม่สาย”
หลิวเจี้ยนกล่าว “หากพลังฝีมือยังไม่ถึงขั้น คิดจะเอาชนะศิษย์อัจฉริยะ คงไม่ง่ายขนาดนั้น”
“ข้าเกรงว่าความพ่ายแพ้ อาจทำให้มีแผลใจ เกิดเงามืด ต่อไปจักไม่กล้าท้าทายตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ กระทั่งเลิกคิดจะเป็นศิษย์อัจฉริยะไปชั่วชีวิต”
“ใต้อาณัติใต้เท้าฉือหล่างมีศิษย์ทั้งสิ้น 7 คน ใช้การได้ 5 คน…แต่เดิมมีแค่ หงเฟย เจ้าเท่านั้นที่ไม่เอาไหน แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเจ้าจักได้ถังน้ำมันมาอีกขวด”
(ถังน้ำมัน = ตัวถ่วง)
กล่าวถึงประโยคท้ายย หลิวเจี้ยนก็มองสลับไปมาระหว่างต้วนนหลิงเทียนกับหงเฟย มุมปากไม่ขาดรอยยิ้มแสยะเย้ยหยัน
“ผายลมสุนัขมารดาเจ้า!!”
หงเฟยนั้นโพล่งออกมาด้วยความไม่พอใจ กลับกันด้านต้วนหลิงเทียนเพียงหยีตาลง จากนั้นก็ค่อยๆคลี่ยิ้มบางๆกล่าวว่า “รอให้หวงลู่หนานเอาชนะข้าได้ก่อน ค่อยพูดจะดีกว่า…”
“ข้ากลัวคำพูดเจ้า มันจะย้อนกลับไปตบหน้าเจ้าภายหลัง…”
ต้วนหลิงเทียนพูดจบก็มองจ้องตาหลิวเจี้ยนเขม็ง
“ถูกแล้ว! จะปากดีก็รอให้ต่อยตีจบก่อน!!”
หงเฟยก็โพล่งออกมาอย่างเห็นด้วย
“ย้อนกลับมาตบหน้าข้าเอง?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิวเจี้ยนก็ผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มย่ามใจออกมาอย่างอดไม่ไหว “เจ้าหนู ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจในตัวเองมากนักนะ…”
“อย่างไรก็ตามศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าวังเทียนฉือมาก็มักจะมั่นใจแบบเจ้า…แต่สุดท้ายพวกมันก็ไม่พ้นถูกทุบตีทำลายความมั่นใจจนย่อยยับ!”
กล่าวจบ สองตาหลิวเจี้ยนก็ทอประกายดุร้าย