WSSTH ตอนที่ 3,306 : จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า

ท่ามกลางความว่างเปล่ารอบๆสังเวียนอัจฉริยะตอนนี้ เต็มไปด้วยกลุ่มคนมากมายหนาตา มองไกลๆแทบไม่ต่างอะไรจากแพเมฆทะมึนคลุมพสุธาปิดฟ้าบังตะวัน

ผู้อาวุโสฉินจากตำหนักลองกระบี่ ก็มาลอยร่างเหนือแท่นศิลาบนเกาะลอยที่อยู่ ณ กึ่งกลางสังเวียนอัจฉริยะทั้ง 3 สังเวียนแต่หัววัน

และตอนนี้ผู้คนยังคงหลั่งไหลมารวมตัวกันรอบๆสังเวียนอัจฉริยะไม่หยุดหย่อน ราวกับยังมีคนที่ยังมาไม่ถึงอีกมาก!

“หือ? คนผู้นั้นมิใช่ ซือหม่าอวี้ ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะหรอกหรือ? ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา พลังฝีมือของมันเป็นรองก็แค่ 5 ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ากระทั่งมันก็จะมาชมดูการประลองครั้งนี้ด้วย….”

เมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ถือกู่ฉินเหินร่างมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ศิษย์วังเทียนฉือหลายยคนที่จดจำมันได้ ก็เริ่มกระซิบกล่าวกับสหายข้างๆ

ซือหม่าอี้เป็นศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ อายุไม่ถึงพันปีแต่ก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 10 ทิศ แถมยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่เชี่ยวชาญบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้นแล้ว

“ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่า มันกับหานอวิ๋นจิ่นเคยประมือกันครั้งหนึ่ง น่าเสียดายวันนั้นมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หานอวิ๋นจิ่นไปหลังประมือกันได้ 100 กระบวนท่า…อย่างไรก็ตามเรื่องของเรื่องก็คือวันนั้นมันก็ยังมีด่านพลังจอมราชันอมตะ 10 ทิศเท่านั้น! หลายคนคาดว่าทันทีที่มันบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะเมื่อใด ต้องสามารถเอาชนะหานอวิ๋นจิ่นได้แน่นอน!!”

“ไม่ผิด ข้าก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ทราบมันจะทะลวงด่านพลังเมื่อใด ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอดูชมยิ่ง!”

“ดูเหมือนมันจะสนใจการประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่นวันนี้ไม่น้อย…หาไม่แล้วมันคงไม่มาชมดูด้วยตัวเองแบบนี้”

การมาของชายหนุ่มที่หอบหิ้วกู่ฉินไว้ในมือผู้นี้ นับว่ากระตุ้นความสนใจให้เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาถึงสังเวียนอัจฉริยะก่อนไม่น้อย

ทั้งหมดเพราะมันคือซือหม่าอวี้ ศิษย์อัจฉริยะที่นอกจาก 5 ศิษย์อัจฉริยะแล้ว พลังฝีมือของมันก็ไม่พ่ายแพ้ผู้ใดในบรรดาศิษย์อัจฉริยะที่เหลือ…กระทั่งหลายคนยังเรียกขานมันว่า ศิษย์อัจฉริยะคนที่ 6!

แน่นอนว่าในวังเทียนฉือ ศิษย์อัจฉริยยะที่โดดเด่นที่สุดปกติแล้วจะมีกันแค่ 5 คนเท่านั้น คนนอกก็เลยรู้จักแค่ 5 ศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในวังเทียนฉือเท่านั้น…

เว้นเสียแต่ซือหม่าอวี้จะสามารถเอาชนะและแทนที่หานอวิ๋นจิ่นได้ หาไม่แล้วชื่อมันก็จะไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนนอก อย่างดีก็มีแค่ชื่อเสียงในวังเทียนฉือเท่านั้น

“เฮ่ย ดูนั่นเร็ว! กระทั่งหลิวไป๋เฟิ่งก็มา!!”

เสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจใครหลายๆคนให้หันไปชมมองต้นเสียงทันที

หลังจากนั้น ทุกสายตาก็มองตามสายตาผู้ตะโกน จนไปหยุดลงบนร่างสตรีที่สวมหมวกงอบผ้ามาในชุดคลุมลมดำหลวมโครกปกปิดร่างอรชรของนางได้มิดชิด กำลังเหินฟ้ามาแต่ไกล

แม้ชุดคลุมจะหลวมโครก แต่ยามถูกลมตีจนแนบเนื้อ ก็เผยทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้า พาลให้จินตนาการผู้คนพรั่งพรูไม่น้อย

เนื่องเพราะเจ้าของร่างที่ชุดคลุมลมตัวใหญ่ไม่อาจปกปิดความเย้ายวนได้มิดนางนี้ก็คือ หลิวไป๋เฟิ่ง 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือ และเป็นศิษย์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาศิษย์อัจฉริยะทั้ง 5!

แม้นางจะเป็นศิษย์หญิง หากแต่พลังฝีมือกลับกล้าแข็ง ลงมือดุดันเด็ดขาด จนร้ายกาจติด 3 อันดับแรกของเหล่า 5 ศิษย์อัจฉริยะ แถมเคยเอาชนะหานอวิ๋นจิ่นมาแล้ว…!

เรียกว่าแม้นางจะเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่พลังฝีมืออันกล้าแข็งและความสามารถของนาง ก็ทำให้ผู้ชายนับไม่ถ้วนได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความละอาย

“ให้ตายเถอะ กระทั่งศิษย์พี่หญิงหลิวไป๋เฟิ่งยังมาชมดูเชียวหรือ?”

“ศิษย์พี่หญิงหลิวไม่เพียงแต่พลังฝีมือร้ายกาจเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกอีกด้วย…ปกติแล้วนางเป็นดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหาง แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่านางจะมาปรากฏตัวท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้เพราะการประลองเป็นตาย…”

“ดูเหมือนการประลองเป็นตายวันนี้จะน่าสนใจเป็นอย่างมาก…ข้าไม่ทราบจริงๆว่าจะมีใต้เท้าจักรพรรดิอมตะสมญานามท่านใดมาชมดูเป็นการส่วนตัวอีกหรือไม่?”

“คราวก่อน…ตอนต้วนหลิงเทียนประลองเป็นตายกับฝานฉี จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กับจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกก็มาเพื่อกันท่าไม่ให้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง สอดมือช่วยต้วนหลิงเทียนจากการประลองเป็นตายใช่ไหม?”

“มิผิด ที่มากันท่า เพราะย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นข้าได้ยินมาว่า หลังต้วนหลิงเทียนฆ่าหลิวเจี้ยน จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ก็เร่งรุดมาหาความหมายลงมือจัดการต้วนหลิงเทียน แต่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะไร้ใจมาทัน กระทั่งกลุ้มรุมทุบตีจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊จนเผ่นป่าราบ…จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊จึงอยากเห็นต้วนหลิงเทียนถูกฝานฉีฆ่าตาย”

“กล่าวไปล้วนเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งสิ้น คราวนี้หากไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆ ก็ไม่น่าจะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามคนใดมากระมัง”

หลิวไป๋เฟิ่งเป็นศิษย์หญิงคนโตของจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก

และจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ก็เป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานาม

อาจารย์ของ ซือหม่าอวี้ จักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะนั้น…ก็เป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเช่นกัน

ในบรรดาทั้งคู่ จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือสูงติด 3 อันดับแรกของวังเทียนฉืออีกด้วย!

ในวังเทียนฉือนั้น จักรพรรดิอมตะสมญานามที่แข็งแกร่งติด 3 อันดับแรกก็ได้แก่ จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก กับจ้าววังเทียนฉือ!

ผู้ที่มีพลังฝีมือรองลงมาก็ได้แก่จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง และจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง

ถัดลงมาก็คือ จักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ กับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีกคน

ผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดก็คือจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก

หลังการมาของซือหม่าอวี้กับหลิวไป๋เฟิ่ง แม้ต่อจากนั้นจะมีศิษย์ของจักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นมา แต่ไม่ได้เรียกร้องความสนใจของผู้คนเท่า ไม่ได้ดูฮือฮาเหมือนตอนซือหม่าอวี้กับหลิวไป๋เฟิ่งปรากฏตัว…

จนกระทั่งชายหนุ่มผู้หนึ่งมาถึง

ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีเทาเก่าๆ บริเวณเอวข้างหนึ่งห้อยแขวนน้ำเต้า เส้นผมยาวหยักศกรกรุงรัง ถูกปล่อยสยายปรกบ่า กอปรกับเอวอีกข้างเหน็บพลองยาวเก่าๆเล่มหนึ่งเอาไว้ หนุนเสริมให้มันแลดูมอซออย่างไรชอบกล

อย่างไรก็ตามการมาของมันทำให้หลายคนตาเป็นประกายทันที

“นั่น ซุนชิง!!”

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากระทั่งซุนชิงก็มา!”

“ซุนชิงผู้นี้เป็นศิษย์ของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้า แถมยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าอีกด้วย…ว่กันว่ามันยังเคยได้รับการชี้แนะจากจักรพรรดิอมตะ 3 ตาหยางเจี่ยนแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนเป็นการส่วนตัวหลายครั้ง…ทำให้มันแข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา กระทั่งหลิวไป๋เฟิงกับหลู่จี้ศิษย์ของจักรพรรดิทุ่งขจีฉือหล่างก็ด้อยกว่ามันอยู่บ้าง”

“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะหอนฟ้านั้นเคยเป็นสุนัขที่ติดตามอยู่ข้างกายจักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยน…ไม่ทราบเป็นความจริงหรือไม่?”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจริงไหม แต่เรื่องที่จักรพรรดิอมตะหอนฟ้าเป็นสุนัขอมตะนั้น ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นจริง!”

จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า ก็เป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ พลังฝีมือของมันก็พอๆกับจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ และจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะ

แน่นอนว่านี่เป็นการจัดอันดับที่หลายคนจัดให้คร่าวๆ

เพราะตั้งแต่ที่จักรพรรดิอมตะหอนฟ้าเข้าวังเทียนฉือมา นอกเหนือจากที่เรื่องที่เคยทุบตีสั่งสอนจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกครั้งหนึ่ง จนทำให้จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกไม่กล้าหืออือ ก็ไม่เคยมีใครเห็นมันลงมืออีกเลย

เช่นนั้นผู้คนในวังเทียนฉือจึงจัดให้มันอยู่ในอันดับเหนือกว่าจักรพรรดิคลื่นหมอก และเทียบเท่าจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กับจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะไปก่อน…

“ให้ตายเถอะ…กระทั่งซุนชิงยังมาที่นี่ด้วย เช่นนั้นหากหานอวิ๋นจิ่นมาถึง ก็เท่ากับ 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือเราจะมารวมตัวกันถึง 3 คน!”

“ศิษย์พี่รองของต้วนหลิงเทียนก็คือหลู่จี้ เช่นนั้นหลู่จี้จะอย่างไรก็ต้องมาด้วยแน่…ถึงตอนนั้นในบรรดา 5 ศิษย์อัจฉริยะ ก็จะมารวมตัวกันถึง 4 คน!”

ในขณะที่เหล่าศิษย์วังเทียนฉือกำลังสนทนากันอย่างออกรส ก็ปรากฏกลุ่มคน 5 คนเหินร่างมาแต่ไกล และผู้ที่เหินร่างอยู่ตรงกลางก็คือชายหนุ่มในชุดสีม่วง โดยข้างกายมีสตรีชุดขาวข้างกายกุมมือเอาไว้แน่น แม้นางจะสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ แต่ก็ยากจะซ่อนความงามเฉิดฉันท์ได้มิดชิด

ส่วนข้างกายอีกด้านของชายหนุ่มชุดม่วง ก็มีสตรีอันมีทรวดทรงองค์เอวเย้ายวนยั่วใจ แต่งองค์ทรงเครื่องมาเต็มสูบ มากล้นไปด้วยเสน่ห์นัก

ส่วนด้านข้างของนางมีชายหนุ่มที่แลดูเงียบขรึมคนหนึ่ง ส่วนอีกด้านของสตรีชุดขาวก็มีสตรีที่แลดูอ่อนโยนสง่าปานหยก ทุกคราที่นางคลี่ยิ้ม ชวนให้ผู้คนรู้สึกเสมือนมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน

“นั่นเป็นลูกศิษย์ทั้ง 4 คนในด่านของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง…ส่วนที่กำลังกุมมือชายหนุ่มชุดม่วงนั่นก็คือศิษย์คนที่ 3 ของจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง!”

การปรากฏตัวของทั้ง 5 พร้อมๆกัน ทำให้ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจขึ้นมาครั้งใหญ่

“ชายหนุ่มชุดม่วงที่หล่อๆนั่น ก็คือ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คนที่ 7 ของใต้เท้าฉือหล่าง? ผู้ที่จักขึ้นสังเวียนเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นใช่หรือไม่?”

“ใช่ เป็นมัน!”

“ส่วนชายหนุ่มมาดขรึมหน้าเย็นซ้ายสุดนั่นก็คือหลู่จี้ 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือของพวกเรา ชื่อเสียงทัดเทียมกับหลิวไป๋เฟิ่ง พลังฝีมือเป็นรองก็แต่ซุนชิงเท่านั้น”

“ส่วนสตรีอีก 2 นอกจากสตรีชุดขาวนั่นก็คือหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อ ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของใต้เท้าฉือหล่าง”

หลังพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 5 ปรากฏตัว แม้หลู่จี้จะเป็นคนที่ทุกคนรู้จักกันดีที่สุด แต่วันนี้ต้วนหลิงเทียนกับได้รับความสนใจมากที่สุด

ท้ายที่สุดแล้ววันนี้ต้วนหลิงเทียนก็เป็นดั่ง ‘ตัวเอก’

“ศิษย์น้องเล็ก!!”

ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งมาถึง ก็อดตกใจกับจำนวนผู้คนที่เนืองแน่นเต็มฟ้าไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีศิษย์วังเทียนฉือมาดูการประลองมืดฟ้ามัวดินถึงขนาดนี้ และในขณะที่กำลังชมดูมวลชนจนละลานตา ก็มีเสียงคุ้นเคยหนึ่งโพล่งดังเข้าหูเขาแต่ไกล

“ศิษย์พี่ 6 ศิษย์พี่ 5”

พอหันมองไปตามเสียง ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นหงเฟยอันมีโอวหยางฉีเฟยเหินร่างอยู่ข้างๆทันที เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยตอนที่ศิษย์พี่หญิง 3 พาเขาแวะไปที่พักของทั้งคู่จะไม่เจอคน

“ฮี่ๆๆ ศิษย์น้องเล็ก รอเจ้าฆ่าหานอวิ๋นจิ่นนั่นได้เมื่อไหร่ ข้ามีอะไรจักทำให้เจ้าประหลาดใจด้วยล่ะ”

หงเฟยคลี่ยิ้มสนุกสนาน

“ประหลาดใจ?”

ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มโง่งมออกมา “หรือศิษย์พี่ 6 มีของขวัญอะไรจะให้ข้างั้นหรือ?”

“หึหึ! พอถึงตอนนั้นเจ้าก็รู้เองแหล่ะ”

หงเฟยทำเป็นลึกลับ

“แล้วหานอวิ๋นจิ่นเล่า มันยังไม่มาอีกหรือ?”

หูเหมยที่กวาดตามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของหานอวิ๋นจิ่น ก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมา “เจ้านั่น คงไม่ใช่ว่าปอดแหกจนไม่กล้ามาแล้วหรอกนะ?”

“หึ! หากวันนี้มันกล้าไม่มา ก็อย่าได้หวังจะอยู่ในวังเทียนฉือได้อีกต่อไปเลยเถอะ…เพราะถึงตอนนั้นไม่พ้นมันต้องจมน้ำลายศิษย์วังเทียนฉือจนตายแน่!!”

หงเฟยหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

หลังจากนั้นหงเฟยก็หันไปมองกล่าวกับเวิ่นหว่านเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง 4 วันนี้ท่านรอชมดูศิษย์น้องเล็กจัดการไอ้ชั่วนั่นระบายโทสะให้ท่านเถอะ!”

“อื้อ”

เวิ่นหว่านเอ๋อยิ้มรับคำเสียงนุ่ม อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตาอ่อนโยนของนาง กลับฉายชัดถึงความเคียดแค้นชิงชังขึ้นวาบหนึ่ง ยากที่ใครจะสังเกตเห็น

“ฮ่วนเอ๋อ ข้าไปก่อนนะ”

หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวทักฮ่วนเอ่อและทุกคนแล้ว เขาก็เหินร่างไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“อาวุโสฉิน พบกันอีกแล้ว”

หลังจากขึ้นไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปยิ้มทักอาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ลอยร่างเหนือแท่นศิลาบนเกาะกลาง เขาเองก็มีความประทับใจอันดีกับอาวุโสตำหนักลองกระบี่คนนี้ไม่น้อย

“อืม”

อาวุโสตำหนักลองกระบี่ยิ้มรับคำทักทาย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “วันนี้เจ้ามั่นใจหรือไม่?”

ถึงแม้มันจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับหานอวิ๋นจิ่น แต่เพราะมันดูแคลนการกระทำของหานอวิ๋นจิ่นกับศิษย์สตรีในวังเทียนฉือจับใจ มันจึงหวังว่าผู้ที่จะเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายและคว้าชัยชนะวันนี้ไปจะเป็นต้วนหลิงเทียน

“อาวุโส ท่านรอดูชมเรื่องสนุกสนานเถอะ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบพลางคลี่ยิ้มอย่างไร้เรื่องราว เผยความมั่นใจให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ได้เห็น แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขามั่นใจแค่ไหนก็ตาม

“จะว่าไปต้วนหลิงเทียนผู้นี้ แค่เวลาไม่กี่ปีที่เข้าร่วมวังเทียนฉือเรามา ก็นับว่าได้เคลื่อนไหวใหญ่โตไม่น้อย…กล่าวไปในประวัติศาสตร์ของวังเทียนฉือเรา ไม่มีใครมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดเช่นมันเลยกระมัง?”

“จนถึงตอนนี้ยังไม่มีจริงๆ”

“แต่วันนี้เรื่องที่มันจะรอดชีวิตเป็นนคนสุดท้ายและคว้าชัยชนะไปก็ช่างยากเย็นจริงๆ สุดท้ายมันก็ยัมีอายุไม่ถึง 300 ปีที…”

ข้าแค่อยากทราบ ว่ามันจะต้านทานรับมือไปได้นานเพียงใด…”

เหล่าศิษย์วังเทียนฉือหลายคนหลังเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปรอบนสังเวียน ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพราะพวกมันรู้สึกว่าการขึ้นสังเวียนครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ไม่ต่างอะไรกับขึ้นไปตาย “หากข้าเป็นมัน ต่อให้ข้าจะไม่อยากเสียชื่อเสียงเพียงใด ข้าก็คงเลือกจะไม่มาดีกว่า…”

“ด้วยวัยของมัน การที่สามารถฆ่าฝานฉีได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว…วันนี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนมันแน่! อย่างน้อยๆตอนหานอวิ๋นจิ่นอายุเท่ามัน ก็อ่อนด้อยกว่ามันมากมายนัก”