ตอนที่ 3,328 : คนรู้จักในชั้น 3
เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียน คิดให้สัญญาณทุกคนลงมือทำลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการเอาไว้พร้อมๆกัน และเริ่มต้นหลบหนีในอีก 5 วันหลังจากนี้ ทั้งหมดเพราะหลังจากนี้อีก 5 วัน ไม่พ้นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าคงเดินทางไปถึงสถานที่ๆเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเรียบร้อย
ถึงตอนนั้นต่อให้ทั้งคู่จะได้รับแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะรีบกลับวังเทียนฉือแค่ไหน อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโกลที่ใกล้ที่สุด 5-6 วัน ก่อนจะกลับมาถึงวังเทียนฉือได้
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่เหมาะสมแก่การลงมือที่สุดก็คือในอีก 5 วันหลังจากนี้!
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะนัดแนะกับทุกคนให้ดี”
หญิงชราตอบ “และเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าเชื่อว่าทุกคนสมควรให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะนี่คือโอกาสที่ยากจะปรากฏขึ้นสักครั้ง”
หลังกล่าวเห็นด้วยไม่กี่คำ สองตาหญิงชราก็ทอประกายวับวาวนัก
เพราะสำหรับตัวนางกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คนที่ถูกจับขังอยู่ที่นี่ โอกาสครั้งนี้สมควรเป็นโอกาสหลบหนีที่ดีที่สุดที่จะปรากฏขึ้นในหลุมอาจมแห่งนี้แน่นอน! หากสำเร็จก็กำไรใหญ่หลวง หากล้มเหลวอย่างดีก็แค่ถูกจับกลับมาขังเหมือนเดิม…
สำหรับพวกมันแล้ว เรื่องครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากยืดเส้นยืดสายเพื่อลุ้นอิสระภาพแม้แต่น้อย
“ดี”
ต้วนหลิงเทียนย่อมยินดีที่หญิงชราจะช่วยเขาติดต่อกับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คนที่เหลือ เพราะหากให้เขาไปดำเนินการ แม้สุดท้ายก็คงราบรื่น แต่ต้องเหนื่อยพูดกับคนอีก 5 คนก็ลำบากไม่น้อย
ได้หญิงชราช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น ย่อมดีกว่า
นอกจากนั้นเขาก็ได้บอกวิธีทำลายค่ากลและข่ายอาคมพันธนาการให้หญิงชราไปแล้ว ตราบใดที่หญิงชรานำไปสอน คนอื่นๆก็ทำได้ไม่ยากนัก
“ผู้อาวุโส”
แต่เพื่อความปลอดภัย และไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่งเสียงผ่านพลังไปกำชับหญิงชราอีกรอบ “ตอนที่ท่านบอกอาวุโสทั้ง 5 เรื่องนี้ ขอให้ท่านช่วยยเน้นย้ำกับทุกคนว่าอย่าได้ผลีผลาม เพียงรออีก 5 วันค่อยลงมือ…แน่นอนว่าที่ให้รออีก 5 วันนั้นข้ามีเหตุผล”
“เพราะอีก 5 วันหลังจากนี้จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าสมควรเดินทางไปยังสถานที่ๆข้าอุปโลกน์ขึ้น…และกว่าจะเดินทางกลับมาถึงที่นี่ได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องกินเวลา 5-6 วัน”
“หากมีใครไม่อดทนรอแล้ววู่วามลงมือก่อนขึ้นมา เกิดวังเทียนฉือระดมกำลัง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าที่พึ่งไปได้ไม่ไกลก็จะย้อนกลับมาได้ทันเวลา ถึงตอนนั้นเรื่องราวก็ย่ำแย่จนทุกคนยากหลบหนีแล้ว…”
ฟังจากคำพูดประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าเขากังวลเรื่องที่จักรพรรดิอมตะสมญานามคนอื่นๆจะใจร้อน ลงมือทำลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการก่อนเวลาอันควร
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”
หญิงชราตอบ “ที่เหลืออีก 5 คนนั้น หลายคนถูกจับมาขังนานกว่ายายแก่ผู้นี้มาก และกระทั่งยายแก่เช่นข้ายังไม่รีบร้อน…เช่นนั้นกับอีกแค่รออีก 5 วันทุกคนย่อมไม่รีบร้อน”
ได้ยินคำพูดรับรองของหญิงชรา ต้วนหลิงเทียนก็วางใจไปเปราะหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี”
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงเดินลาดตระเวนบนชั้นที่ 3 กับชายชราแซ่เซี่ย หลังเดินวนครบรอบหนึ่งชายชราก็หัวเราะกล่าวว่า “ค่ายกลกับข่ายอาคมไม่มีอันใดผิดปกติ…ต่อไปพวกเราก็บ่มเพาะพลังที่นี่เป็นเวลา 4 เดือนเถอะ”
“หลังผ่านไป 4 เดือนแล้ว ค่อยแลกเปลี่ยนชั้นกับคู่อื่น”
พอชายชรากล่าวจบคำมันก็ก้าวอาดๆนำไปยังพื้นที่ใกล้ๆบันใด ก่อนจะนั่งลง
“อ่า”
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ เขาก็เดินไปยังพื้นที่ใกล้ๆบันใด หาที่ว่างแล้วนั่งลงเช่นกัน จากนั้นก็หลับตาบ่มเพาะพลัง
เห็นฉากดังกล่าวชายชราก็หลับตาลง จากนั้นไม่นานมันก็จมจ่อมลงสู่ภวังค์บ่มเพาะ
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาไปพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลึกลงไปในแววตายยังเผยสีสันแปลกๆปราฏขึ้น ‘อีก 5 วัน…’
5 วันต่อมา จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหมดในชั้น 3 จะทำลายค่ายกลและข่ายอาคมพันธนาการทั้งหมดพร้อมกัน
นอกจากนี้ ทุกคนก็รับทราบวิธีการฝ่าทำลายค่ายกลและข่ายอาคมที่จัตุรัสสิ้นสุดแล้ว ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนจะใช้ช่วงที่คุกหมื่นพันธนาการเกิดความโกลาหลช่วยบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อออกไป!
‘พอถึงตอนนั้น…หากทำได้ก็สมควรลอบปล่อยนักโทษคนอื่นๆออกไปให้มากที่สุด’
‘จะคนของวังเทียนฉือก็ดีจะไม่ใช่คนของวังเทียนฉือก็ดี’
‘เพราะยิ่งมีคนเยอะเท่าไหร่ สถานการณ์มันก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่ข้าจะพาบิดามารดาฮ่วนเอ๋อหลบหนีไปได้ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
หลังคิดว่าเข้าท่า เขาก็ลองส่งเสียงผ่านพลังไปหารือกับหญิงชราผ่ายผอมที่อยู่ไกลๆดู
“เจ้าทำตามเห็นสมควรเถอะ”
ขณะที่หญิงชรากล่าวตอบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่า นอกจากหญิงชราที่นั่งอยยู่นอกกระต๊อบกำลังมองมาที่เขา ก็มีอีกคนจากกระต๊อบอื่นๆกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
ชายหนุ่มที่แลดูเย็นชาครั้งก่อน ตอนนี้ก็กำลังก้าวออกมาจากกระต๊อบแล้วเช่นกัน
นอกจากนั้นเขายังได้เห็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ไม่ได้เห็นตอนมาครั้งก่อน อีกฝ่ายเป็นชายชราที่มีรูปร่างอ้วนท้วมพอสมควร
แน่นอนว่านอกจากชายร่างอ้วนคนนี้แล้ว จนบัดนี้เขาก็ยังไม่แลเห็นอีก 1 คน เพราะไม่ว่าจะครั้งก่อนหรือวันนี้อีกฝ่ายก็อยู่ในกระต๊อบไม่ได้ออกมา
กล่าวได้ว่าในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 คนบนชั้น 3 ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะเคยเห็นแค่ 5 ขาดอีก 1 ที่ยังไม่พบเจอ
“เจ้าหนู ว่าแต่เจ้าเรียกว่าอะไรเล่า ข้าก็ลืมถาม”
หญิงชราส่งเสียงผ่านพลังมาถามต้วนนหลิงเทียน
“ผู้อาวุโสข้าชื่อต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
“ข้าแซ่เซี่ย ชื่อจินฮัว หรือจักรพรรดิอมตะผกาทอง”
หลังจากหญิงชราแนะนำตัวเองให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักแล้ว นางก็ค่อยๆแนะนำจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 4 คนที่เหลือให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักเช่นกัน และคนแรกที่นางแนะนำก็คือชายชราที่เส้นผมขนคิ้วกระทั่งหนวดเคราเป็นสีขาวโพลน “ชายชราซ้ายสุดเรียกว่า เคอไป๋ลู่ และนำชื่อ ไป๋ลู่ มาตั้งเป็นสมญานาม เรียกว่าจักรพรรดิอมตะกวางขาว”
“ชายชราผู้นี้มิใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อมตะ…แล้วก็อย่าได้เข้าใจผิดมันมิใช่สัตว์อมตะอย่างกวางขาวเล่า แค่มันมีชื่อว่ากวางขาวเท่านั้น แต่ร่างที่แท้จริงของมันเป็นสัตว์อมตะสายพันธ์หมาป่า”
หญิงชรากล่าว
หลังจากแนะนำชายชราผมขาวโพลนแล้ว หญิงชราก็กล่าวแนะนำชายหัวโล้นร่างกำยำทันที “เจ้าโล้นนี่เรียกว่า เถิงฉงป้า หรือจักรพรรดิอมตะขยี้เมฆา”
“สำหรับชายชราร่างอ้วนนั่นเรีกว่าหม่าฉือ จักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาท…เจ้าอย่าได้ถูกสมญานามของมันหลอกเชียว มันมิได้เชี่ยวชาญกฏสายฟ้าอันใด แต่เชี่ยวชาญกฏแห่งดินเหมือนพวกเรานั่นล่ะ”
“หากกฏที่มันเชี่ยวชาญเป็นกฏสายฟ้า ป่านนี้ไม่พ้นมันถูกโหยวเฟิงอวี้ จ้าววังเทียนฉือฆ่าทิ้งไปแล้ว”
หญิงชรากล่าวจบก็หันไปมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาที่ยังไม่ได้แนะนำ และชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาผู้นี้ แค่ต้วนหลิงเทียนมองมัน เขาก็รู้สึกเสมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็งแล้ว
“เจ้านี่ก็เหมือนกับผู้เฒ่าเคอไป๋ลู่ มันมิใช่มนุษย์…แต่ร่างที่แท้จริงของมันดูเหมือนจะเป็นบุปผาน้ำแข็งทมิฬ ที่ถือกำเนิดใต้ธารน้ำแข็งล้านปี เป็นบุปผาอมตะชนิดหนึ่ง”
“พลังฝีมือของชายผู้นี้ ในบรรดาพวกเราทั้ง 6 เรียกว่าเป็นรองผู้ที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาแค่คนเดียว…และไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญกฏน้ำแข็งเท่านั้น ยังเชี่ยวชาญกฏแห่งดินอีกด้วย”
“แน่นอนว่ากฏที่มันเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือกฏน้ำแข็ง แต่กระนั้นมันกลับสามารถรอดชีวิตมาได้ด้วยกฏแห่งดินที่มันเข้าใจ”
หญิงชราส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “มันถือกำเนิดมาก็ไม่รู้จักใคร ภายหลังจึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเฉียนปิง และมันก็ตั้งสมญานามว่าน้ำแข็งทมิฬ…ผู้คนเรียกหามันว่าจักรพรรดิอมตะน้ำแข็งทมิฬ”
เมื่อชายชรากล่าวแนะนำชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก ด้านชายหนุ่มที่สังเกตว่าต้วนหลิงเทียนมองอยู่ก็หันมาพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทาย และมันก็พยายามยกยิ้มให้เขาเช่นกัน ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แลดูฝืนธรรมชาติใบหน้ามันที่สุด จนแลดูน่าเกลียดไม่ต่างอะไรกับคนร้องไห้…
“ผู้อาวุโสในเมื่อคนที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย สมควรเป็นคนที่มีพลังฝีมือสูงสุดในบรรดาพวกท่านทั้ง 6 แล้วมิทราบพลังฝีมือของคนผู้นั้น ให้เทียบกับจ้าววังเทียนฉือแล้วเป็นเช่นไรหรือ?”
หลังละสายตากลับมาจากชายหนุ่ม ต้วนหลิงเทียนก็มองหญิงชรา พลางส่งเสียงผ่านพลังไปถามอีกรอบ
“กับคนผู้นั้น..โหยวเฟิงอวี้ยังมิใช่คู่มือด้วยซ้ำ!”
หญิงชรากล่าว
“อะไร!?”
ได้ยินคำตอบของหญิงชรา ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงโดยพลัน “จ้าววังเทียนฉือ มิใช่คู่ต่อสู้…แล้วไฉนคนผู้นั้นถึงโดนจับมาขังในคุกหมื่นพันธนาการได้เล่า?”
“สิ่งที่มันเก่งคือการป้องกัน ส่วนโหยวเฟิงอวี้นั้นเก่งโจมตี…แน่นอนว่าการโจมตีของคนผู้นี้ก็มิใช่ชั่ว หากมันประมือกับโหยวเฟิงอวี้เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดมันก็ต้องเป็นฝ่ายเอาชนะโหยวเฟิงอวี้ได้แน่ๆ…”
“แต่เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ว่า มันนานมากพอให้จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนเร่งรุดมาช่วยเหลือแล้ว”
กล่าวถึงจุดนี้หญิงชราก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน “เมื่อมีจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนมากลุ้มรุมลงมือ มันไหนเลยจะสู้ได้ สุดท้ายก็ทำได้แค่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถึงคิดจะหนีก็คงหนีไม่พ้น”
“ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าคนสุดท้ายที่ยังไม่ออกชมาจากกระต๊อบจะมีพลังร้ายกาจถึงขนาดที่ จ้าววังเทียนฉืออย่างโหยวเฟิงอวี้ก็สู้ไม่ได้ แถมถ้าสู้กันนานพอจะแพ้เอา!
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังถูกจับขังคุกหมื่นพันธนาการ เพราะจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนมารุม
“กล่าวไปแล้ว คนผู้นี้ก็มีจุดประสงค์เหมือนเจ้านะ เจ้าหนุ่ม”
หญิงชรากล่าว
“จุดประสงค์เหมือนข้าหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงชราถึงพูดแบบนี้
“เพราะเหตุผลที่มันมามีเรื่องมีราวกับวังเทียนฉือได้ ก็เพื่อช่วยคน…กล่าวให้ชัดคือตอนแรกมันก็แค่ต้องการให้วังเทียนฉือปล่อยคนที่จับขังคุกไว้คนหนึ่งเท่านั้น แต่วังเทียนฉือเลือกจะปฏิเสธ เช่นนั้นมันจึงได้แต่ลงมือหมายกำราบโหยวเฟิงอวี้”
หญิงชรากล่าวผ่านพลังสืบต่อ “ด้านโหยวเฟิงอวี้นั่น หลังสู้ไปสักพักก็ตระหนักได้ว่าหากสู้กันต่อไป ไม่พ้นต้องแพ้พ่ายแน่ เช่นนั้นจึงเร่งรุดขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน”
“และกระทั่งจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนมาช่วยกันรุม ก็ไม่ใช่ว่าจะสยบมันได้ง่ายๆต้องลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะจับมันมาขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการได้เช่นนี้…”
พอหญิงชรากล่าวถึงจุดนี้ นางก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “น่าเสียดายที่ชายคนนี้เชี่ยวชาญกฏแห่งดิน ไม่ถนัดเรื่องการโจมตี”
“หาไม่แล้วหากเปลี่ยนเป็นกฏที่โดดเด่นในเรื่องการโจมตี แล้วมีความเข้าใจระดับเดียวกันล่ะก็ โหยวเฟิงอวี้อาจจะตกตายไปแล้ว และค่ายกลรวมถึงข่ายอาคมพันธนาการในคุกนี่ก็กักขังมันไว้ไม่อยู่หรอก…”
ในบรรดากฏต่างๆนั้น กฏแห่งดินเรียกว่ายืนหนึ่งเรื่องป้องกัน
จุดนี้กระทั่งกฏสูงสุดทั้ง 4 ก็ไม่อาจเทียบได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เป็นกฏที่โดดเด่นในเรื่องการป้องกันอย่างสุดโต่ง ในแง่ของการโจมตีรวมถึงความเร็วจึงอ่อนด้อยกว่ากฏอื่นๆ
“ถึงจะเป็นผู้ช่วยที่เจ้าหามาได้อย่างเมิ่งชวน ในแง่ความแข็แกร่งแล้ว ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับคนผู้นี้เลย…ต้องเป็นเมิ่งหลัว จักรพรรดิอมตะกร่างสวรรค์ พี่ชายของเมิ่งชวนคนนั้น ถึงจะอยู่ในระดับเดียวกัน”
หญิงชรากล่าวสืบต่อ
หญิงชรากล่าวถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน และจากนั้นไม่ทันไรหญิงชราก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “มันกำลังจะออกมาแล้ว”
พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของหญิงชรา ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกระต๊อบหลังสุดท้ายที่ประตูยังปิดอยู่ทันที
ครู่ต่อมาประตูไม้ก็ค่อยๆเปิดออก จากนั้นก็ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากด้านใน
และผู้ที่ก้าวออกมาจากด้านในนั้น ก็มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม มาในชุดสีขาวกระจ่างปานหิมะบริสุทธิ์
ชายหนุ่มคนนี้จะรูปร่างหน้าตาท่วงท่าลักษณะ หรือความรู้สึกที่ส่งออกมา ล้วนไม่ธรรมดาเหนือผู้คน ราวกับเพียงปรากฏตัวก็ทำให้สรรพสิ่งโดยยรอบหมองลงถนัดตา
อย่างไรก็ตามพอเห็นหน้าค่าตาชายหนุ่มชัดๆ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันใด ใบหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อ
เพียงเพราะเขารู้จักชายหนุ่มคนนี้!!
“พะ…พี่ใหญ่เผย!?”
ชายที่พึ่งปรากฏตัวสู่สายตาต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่ใหญ่เผย ที่มอบแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับให้ต้วนหลิงเทียน เผยหยวนจี๋!