ตอนที่ 3,340 : ฉือหย่าชี
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่?”
พอได้ยินคําที่อีกฝ่ายเอ่ยทักมา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาตัวตนของสตรีเบื้องหน้าได้ทันที
ฉือหย่าชี!
ลูกสาวของ ฉือหล่าง ครูเขา นอกจากนั้นนางยังเป็นศิษย์คนโตในด่านฉือหล่างอีกด้วย
ที่สําคัญนางยังเป็น 1 ใน 3 พัสดีแห่งคุกหมื่นพันธนาการ และจ้าวหอเกิดดับ!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เขาเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นตัวกลับต้องมาพบเจอกันที่นี้ในสถานการณ์แบบนี้
“ต้วนหลิงเทียน ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่หญิงใหญ่”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยทักสตรีเบื้องหน้าด้วรอยยิ้มเหยเก ในน้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความลําบากใจประการหนึ่ง
“พัสดีคือ เจ้านับว่ามาได้ทันเวลาพอดี!”
เมื่อเห็นฉือหย่าชีปรากฏตัวขึ้นมาได้ประจวบเหมาะ สองตาจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ หลี่เฉวียนเทียน ก็ส่องแสงจ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงอํามหิตว่า “รีบฆ่าพวกมันทั้งคู่เสีย!”
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ยินเสียงอํามหิตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ แต่ฉือหย่าชีกลับลอยร่างแน่นิ่งกลางหาว เพิกเฉยคําพูดมันโดยสมบูรณ์ สองตาเพียงมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน มุมปากปรากฏรอยยิ้มขี้เล่นหนึ่ง “ศิษย์น้องเล็ก เจ้านับว่าร้ายกาจโดยแท้…ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่าน ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธนาการได้ง่ายดายปานเดินเล่นในสวนหลังบ้านเช่นเจ้ามาก่อนเลย”
“ค่ายกลกับขายอาคมทั้งหลายในคุกหมื่นพันธนาการ แม้แต่จ้าววังเทียนฉือยังไม่มีปัญญาจะใช้กําลังบุกฝ่าออกมาได้ด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับพาทุกคนบุกฝ่ามาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน
วาจาของฉือหย่าชี คล้ายคุยเล่นมากกว่าจะถามคาดคั้นอะไร
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ข้าแค่ใช้ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มโง่งม ตอบกลับ
ศิษย์พี่หญิงใหญ่เบื้องหน้าอย่างไรก็เป็น 1 ใน 3 พัสดีคุกหมื่นพันธนาการ โดยไม่ต้องคํานึงถึงความสัมพันธ์หรือหน้าที่ จะอย่างไรวันนี้ ศิษย์พี่หญิงใหญ่เบื้องหน้าก็ไม่อาจปล่อยเขาไปท่ามกลางสายตาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 ได้
หากทว่าจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ใช้พลังไร้สภาพหยุดขวางเขาเอาไว้ นางกลับไม่ได้เผยท่าที่จะลงมือลงไม้ใดๆ ต่อเขาเลย
“ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆของเจ้าปรมาจารย์ค่ายกลกว่า 9 ส่วนของอู๋หยาเทียน ไม่มีปัญญาทําได้ด้วยซ้ำ”
ฉือหย่าชีกล่าว
“พัสดีคือเจ้ายังมัวเสวนาอันใดอยู่อีก นี่ใช่คิดใช้อํานาจโดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องหรือไม่?
พอเห็นว่าฉือหย่าชีไม่เพียงแต่จะไม่ลงมือใดๆต่อต้วนหลิงเทียน ยังจะไปคุยเล่นกับต้วนหลิงเทียนหน้าระรื่น จักรพรรดิอมตะมังกรกู้ฉางเจียง ที่ผละร่างถอยออกมาจากจักรพรรดิอมตะขยี้เมฆาหลังเสียเปรียบหนัก ก็หันไปตะคอกใส่ฉือหย่าชีเสียงดัง!
อย่างไรก็ตามฉือหย่าชี ทําราวกับเสียงตะโกนของกู้ฉางเจียง เป็นแค่เสียงนกเสียงกาหาได้นําพาไม่ นางเพียงมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง สองตายังเริ่มฉายแววเย็นชา เอ่ยออกเสียงเข้มว่า “ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงใหญ่จะให้ทางเลือกเจ้า 2 ทาง
“ทางเลือกแรกคือนําตัวเหลียนชิวผู้นี้กลับไปคุกหมื่นพันธนาการพร้อมศิษย์พี่หญิงใหญ่หลังจากนั้นเจ้าก็จะยังเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า และข้ารับประกันได้ว่าในวังเทียนฉือจะไม่มีผู้ใดหาญกล้าแตะต้องเจ้าอีก”
กล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าแววตาทั้งสภาวะทั่วร่างของฉือหย่าชีก็เปล่งความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม หนักแน่นมั่นคงปานภูผา ห้าวหาญไม่แพ้บุรุษคนไหน
“ทางเลือกที่ 2 คือเจ้ากับข้ารวมถึงศิษย์พี่คนอื่นๆตัดขาดกัน ต่อไปพวกเราจักเป็นคนแปลกหน้า”
ฉือหย่าชีกล่าวสืบต่อ “แน่นอนว่าหากเจ้าเลือกทางที่ 2 วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป..แต่หลังจากนี้ต่อไป ข้าจะเห็นเจ้าเป็นศัตรู”
“นอกจากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไปแค่ 3 วันเท่านั้น หลังผ่านไปครบ 3 วันข้าจะไปตามล่าหาตัวเจ้า และจับเจ้ากลับมา!”
ขณะกล่าวประโยคท้าย น้ำเสียงของฉือหย่าชีก็กลายเป็นเยียบเย็นนัก
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขึ้นขม “วันนี้จะอย่างไรข้าก็ต้องพาอาวุโสเหลียนชิวจากไป…สําหรับทางเลือกที่ 2 ข้าก็ไม่อาจเลือกได้
“เป็นครูสอนสั่งหนึ่งวันก็เป็นดั่งบุพการีไปชั่วชีวิต”
“ทั้งในสายตาข้าศิษย์พี่กับศิษย์พี่หญิงทุกคนก็เป็นดั่งครอบครัวแล้ว ถึงแม้วันนี้ข้าจะพึ่งได้พบเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่เป็นครั้งแรก แต่ข้าก็ไม่เห็นท่านเป็นคนนอก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เช่นนั้น…สรุปคือเจ้าจะพาคนไปให้ได้?”
ฉือหย่าชีเหลือบไปมองเหลียนชิว ค่อยวกกลับมาถามต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าแน่วแน่
“เช่นนั้นแต่นี้ต่อไป เจ้าไม่ใช่ศิษย์น้องเล็กของข้าอีก”
จากนั้นร่างฉือหย่าชีก็ไหววูบ ก่อนจะหลบออกเปิดทางให้ด้วนหลิงเทียนกับเหลียนชิว มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงเย็น
“ไม่ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่จะเห็นข้าเป็นศิษย์น้องเล็กก็ดี ไม่เห็นข้าเป็นศิษย์น้องเล็กก็ดี..แต่ข้าจะยึดถือท่านเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้าเสมอ รวมถึงครูและศิษย์พี่คนอื่นๆด้วยเหมือนกัน”
ต้วนหลิงเทียนมองฉือหย่าชีด้วยสายตาซาบซึ้ง จากนั้นก็เตรียมตัวพาเหลียนชิวจากไป
ปงงงง!!
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงระเบิดสนั่นลั่นฟ้าพลั่นดังขึ้น เป็นจ้าววังเทียนฉือ โหยวเฟิงอวี้ ที่จู่ๆ ก็ฉกฉวยโอกาสตอนเมิ่งชิวพลั้งเผลอ หันไปรวมรั้งพลังสายหนึ่งทุ่งยิงทําลายลูกกรงที่เผยหยวนจี๋ ใช้กักขังเหลยอิงเอาไว้
“เหลยอิง ฆ่าพวกมันให้หมด!!”
และในขณะเดียวกับที่ลูกกรงของเผยหวนที่กักขังเหลยอิงไว้ถูกพลังของโหยวเฟิงอวี้เจาะทะลวง เสียงโหยวเชิงอ ก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ เป็นวาจาอํามหิตกล่าวคําพิพากษาโทษตายให้ต้วนหลิงเทียนกับเหลียนชิว จากนั้นยังหันไปตะโกนกล่าววกับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าที่พึ่งจะหายจากอาการมึนหัว “หอนฟ้า เจ้าไปช่วยฟ้าลี้ลับถ่วงรั้งเผยหยวนจี๋เอาไว้”-
“ทราบแล้วจ้าววัง!”
ในขณะที่จักรพรรดิอมตะหอนฟ้าระเบิดพลังพุ่งร่างเข้าใส่เผยหยวนจี๋ที่ประมือกกับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ เหลยอิงเองก็เร่งพุ่งร่างทะยานออกไปปานสายฟ้าฟาด เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนกับเหลียนชิวอย่างไม่รอช้า!
เมื่อสัมผัสได้ถึงเหลยอิงที่ห้อเหยียดมาพร้อมจิตฆ่าฟัน สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไป และพร้อมจะใช้ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว เพื่อปกปิดกลิ่นอายยามใช้พลังของเทพเบญจธาตุ ซัดทําร้ายให้เหลยอิงล่าถอย
ฟุบ!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ ฉือหย่าชี ที่เห็นร่างหลบออกข้างเปิดทางให้เขากับเหลียนชิว อยู่ๆก็วูบร่างดั่งเงาพราย มาหยุดขวางระหว่างเขากับเหลยอิงเอาไว้
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่…”
ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงไม่น้อย เพราะในสายตาเขา วันนี้การที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ขวางให้เขาจากไปก็ดีมากแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่านางยังจะช่วยอะไรเขาอีก
เรียกว่าการออกหน้าช่วยเหลือของศิษย์พี่หญิงใหญ่ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเขาจริงๆ
“ฉือหย่าชี เจ้าทําเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เหลยอิงที่พุ่งมาด้วยสภาวะอํามหิต พลันหยุดร่างมองจ้องไปยังฉือหย่าชีตาเย็น เอ่ยถามออกด้วยน้ำเสียงเข้มต่ำ “เจ้าที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เลือกจะปล่อยต้วนหลิงเทียนไปก็นับว่าผิดมหันต์แล้ว แต่นี่เจ้ายังกล้าขวางข้าที่ได้รับคําสั่งตรงจากท่านจ้าววังอีกหรือ?”
“ หรือเจ้าไม่เห็นท่านจ้าววังอยู่ในสายตาแล้วจริงๆ?”
เหลยอิงเอ่ยออกเสียงเย็น
“ข้าบอกไปแล้วว่าหลังจากนี้อีก 3 วันข้าจะไปจับตัวคนกลับมาเอง”
ฉือหย่าชีกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“ฉือหย่าชี!!”
ตอนนี้เองจ้าววังเทียนฉือที่ไม่ได้พูดอะไรกับฉือหย่าชีมาก่อน ในที่สุดก็เหลือบไปมองกล่าวกับนางเสียงเย็น
“เจ้าคิดปล่อยคนข้ายังพอรับได้ แต่ตอนนี้เจ้าถึงกับกล้าขวางเหลยอิง ข้าเกรงว่านี่มันจะมากเกินไปหน่อยกระมัง?”
กล่าวถึงท้ายประโยคเสียงจ้าววังเทียนฉือก็เย็นลงปานจะแช่ร่างผู้คนให้เป็นน้ำแข็ง
“จ้าววังมิใช่ข้าบอกไปแล้วหรือ ว่าหลังจากนี้อีก 3 วันข้าจะไปตามจับคนกลับมาเอง”
เสียงของฉือหย่าชียังสงบมั่นคง ไม่สั่นคลอนใดๆ แม้จะโดนจ้าววังเทียนฉืออย่างโหวเฟิงอวี้คาดคั้น
“ฉือหล่าง ดูลูกสาวคนดีของเจ้าเถอะ! ยังไม่รีบจัดการนางอีก!!”
จังหวะนี้ โหยวเชิงอรื้อดไม่ได้ที่จะหันไปตะคอกใส่ฉือหล่างเสียงหนัก
“ท่านจ้าววัง…ท่านคิดว่าหากข้าจัดการนางได้ นางจะยังเป็นเหมือนทุกวันนี้อยู่หรือไม่?”
ฉือหล่างได้แต่ยิ้มแห้งๆ กล่าวคําเสียงสลด
โหยวเฟิงอวี้พ่นลมสบถเสียงเย็นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปกล่าวกับเหลยอิงว่า “เหลยอิง ในเมื่อนางกล้าหยุดเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ยั้งมือ!!”
“ทราบ จ้าววัง!”
เหลยอิงราวกับรอวาจาไฟเขียวประโยคนี้ของโหยวเฟิงอวี้อยู่ก็ไม่ปาน หลังขานรับโหยวเฟิงอวี้แล้ว นางก็หันไปมองกล่าววกับฉือหย่าชีด้วยใบหน้าเย้ยเยาะทันที “ฉือหย่าชี ข้าได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้าไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม..เช่นนั้นวันนี้ให้ข้า เหลยอิงตรวจสอบสักคราเถอะ!”
“ให้ขาดู ว่าเจ้ายังอ่อนกว่าพ่อเจ้าฉือหล่างขนาดไหน!”
สิ้นคําดุร้ายของเหลยยิ่ง ทั่วร่างนางปะทุอัสนีพลังออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นคนก็คล้ายกลับกลายเป็นเทพเจ้าสายฟ้า เข่นฆ่าไปทางฉือหย่าชีด้วยอํามหิต แววตาเห็นชัดว่าต่อให้ไม่ฆ่าก็ต้องมีถลกหนัง!
“จักรพรรดิอมตะไว้ใจ ขาเองก็อยากชมดูเช่นกันว่าเจ้าอาศัยอะไร ถึงได้มีชื่อเสียงทัดเทียมกับพ่อข้าในวังเทียนฉือ”
เผชิญหน้ากับการจู่โจมเข้ามาด้วยอํามหิตของเหลยอิง ฉือหย่างชีเพียงกล่าวคําด้วยน้ำเสียงไม่แยแส จากนั้นทั่วร่างพลันระเบิดไอพลังมืดดําออกมาขุมหนึ่ง และอยู่ดีๆก็อุบัติร่างๆหนึ่งที่ราวกับจะพุ่งออกมาจากร่างกายนาง!!
ร่างดังกล่าว มีรูปร่างหน้าตาเหมือกันกับฉือหย่าชีไม่ผิดเพี้ยน
เพียงแค่เป็นฉือหย่าชีที่มีสองตาแดงฉานปานก้อนโลหิต และไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆให้เห็น สิ่งนี้เพียงดูก็บอกได้ทันทีว่ามันคือร่างแยกแห่งความตาย ของกฏแห่งความตาย!
และทันทีที่ฉือหย่าชีสองตาแดงปานก้อนเลือดปราฏออกมา หนึ่งเท้าก็เหยียบอากาศแตกระเบิดเป็นวงคลื่น ส่งร่างให้พุ่งทะยานเข้าใส่เหลยอิงปานจุดระเบิด!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
ร่างแยกแห่งความตายของฉือหย่าชีห้อตะบึงออกไปไม่ทันไร ไอพลังมืดดําก็แทบจะปกคลุมจนไม่เห็นร่างคน จากนั้นท่ามกลางไอพลังมืดดําก็ก่อเกิดกระบี่สีดําสนิทเล่มหนึ่ง อันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแหลมคมชั่วร้าย พุ่งทะยานเข้าใส่เหลยอิงอย่างดุดัน!
ด้านเหลยอิงที่เห็นกระบีทมิฬเปี่ยมล้นไปด้วยสภาวะพลังดุดันพุ่งเข้ามา สองมือเหี่ยวย่นก็สะบัดตบออกไปเบื้องหน้าฉับไว อัสนี้สีม่วงรอบกายก็ควบรวมก่อเกิดมังกรสายฟ้าตัวใหญ่ เปล่งเสียงคํารามอย่างผยอง โถมตะครุบเข้าใส่กระบีทมิฬมืด
“ต้วนหลิงเทียน รีบไป!!”
ตอนนี้เอง เผยหยวนจี๋ก็ตะโกนออกมาเสียงดังอีกครั้ง หมายกระตุ้นให้ต้วนหลิงเทียนฉกฉวยโอกาสหลบหนีจากไป เพราะนี่นับเป็นโอกาสดีที่หาได้ยากยิ่ง
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่”
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เร่งรุดจากไปแต่แรก เพราะกลัวว่าฉือหย่าชีจะต้องเจ็บตัวสาหัสจากการต่อต้านเหลยอิงเพื่อช่วยเขา จึงเตรียมลงมือคลี่คลายสถานการณ์ แต่พอได้ยินเสียงตะโกนของเผยหยวนจี๋้เขาก็ดึงสติกลับมาได้ทันที
“จากระดับพลังที่เผยออก พลังของศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเหลยอิงแม้แต่นิดเดียว…นอกจากนั้นต่อให้นางจะเทียบเหลยอิงไม่ได้ แต่เหลยอิงก็ไม่มีทางลงมือถึงขั้นฆ่านางได้ลงคอ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เหลยอิงก็ไม่อาจไม่เห็นแก่หน้าครู
ความแข็งแกร่งของฉือหล่างไม่ได้ด้อยยไปกว่าเหลยอิงแม้แต่น้อย
หากเหลยอิงกล้าสังหารมื้อหย่าชี ฉือหล่างย่อมไม่มีวันเลิกราแน่ และถึงแม้จ้าววังเทียนฉือจะสั่งห้ามไม่ให้ฉือหล่างล้างแค้นเหลยอิง แต่ฉือหล่างไหนเลยจะยอมฟัง สุดท้ายไม่พันก็ต้องแตกหักกันไปข้าง และหาทางล้างแค้นให้ลูกสาวให้จงได้!
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงสรุปได้ในพริบตา ว่าจะอย่างไรเหลยอิงก็ไม่มีทางฆ่าฉือหย่าชีได้ลง
“ผู้อาวุโสเหลียนชิว ข้าจะใช้เคลื่อนมิติพาท่านไป”
ขณะกล่าวร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบไปวางมือบนไหล่เหลี่ยนชิว พลังมิติทั่วร่างพวยพุ่งฉับไวพาเหลียนชิววูบร่างข้ามมิติไปก่อนที่เหลียนชิวจะทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนที่หอบหิ้วเหลียนชีววูบร่างข้ามห้วงมิตินั้น หลังมาปรากฏตัวห่างออกไป 20 หว่างคิ้วก็ผ่นยู่เป็นปม เพราะเขาสัมผัสได้ว่าหัวงมิติรอบกายเขา เหมือนจะถูกพลังกล้าแข็งขุมหนึ่งสะกดกักเอาไว้
“ผู้ใด!?”
ทันใดนั้นสีหน้าท่าที่ต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปเร็วไว หลังหันมองซ้ายขวาครู่หนึ่ง เขาก็ตะโกนถามออกมาเสียงเข้ม
ในวังเทียนฉือไม่มีจักรพรรดิอมตะสมญานามคนไหนเชียวชาญกฏมิติ แต่ผู้ที่ใช้พลังสะกดห้วงมิติโดยรอบเอาไว้ในลักษณะนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เชี่ยวชาญกฏมิติ!
เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเลือกจะใช้พลังกักหัวงมิติรอบกายเขาไม่ให้ใช้เคลื่อนมิติหลบหนี เห็นชัดว่าที่ดีไม่มา ที่มาไม่ดี!
วูบ! วูบ!
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงตะโกนต้วนหลิงเทียนดังจบคํา เบื้องหน้าสายตาต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างหนึ่งผุดขึ้นจากอากาศธาตุ
เป็นชายชรามาในชุดคลุมสีเทาอ่อน เส้นผมหยักศกถูกปล่อยให้ยาวสยายไปด้านหลัง หน้าตาไม่คุ้นแม้แต่น้อย
และตอนนี้อีกฝ่ายก็มองตดระทางไกลห่างมาจดจ้องที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย้ยเยาะ กล่าวคําปรามาสออกมาอย่างขบขัน “ไอ้หนู ในพื้นที่กักกันของเราผู้เฒ่า ไม่งายเลยที่เจ้าจักใช้เคลื่อนมิติหลบหนีไปที่ใดได้”
“เจ้าเป็นใคร”
ต้วนหลิงเทียนมองจองไปยังชายชราเบื้องหน้าด้วยสองตาเคร่งเครียด เอ่ยถามออกไปเสียงเข้ม
“จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามชายชราคลุมเทาผู้มาใหม่ เสียงอุทานของจักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาท หม่าฉือ ก็ดังขึ้นพอดี
“จักรพรรดิอมตะท่องว่างเปล่า?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน เขาเคยได้ยินศิษย์พี่ 6 หงเฟยในด่านฉือหล่างเล่าให้ฟังครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีชื่อเสียงในอู๋หยาเทียนพอตัว!