ตอนที่ 3,353 : อเวจีหมื่นแปลง

คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้ชื่อจริงอีกต่อไป แต่เปลี่ยนชื่อเป็น เซี่ยเฟยหวู่

ชื่อแซ่ใหม่ของเขานั้น เอาแซ่เซี่ยมาจากตระกูลเซี่ยในแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพของเค่อเอ๋อ เฟยนั้นมาจากชื่อของลี่เฟย ส่วนหวู่ก็มาจากชื่อตัวสุดท้ายของเฟิ่งเทียนหวู่

สําหรับฮ่วนเอ๋อนั้น ตั้งชื่อว่า ตู้เทียนหลิง

เดิมที่แซ่ของฮ่วนเอ๋อสมควรใช้เหลียนตามบิดา แต่ทว่านางกลับเลือกจะใช้แซ่ตู้ของมารดาอย่างตู้เสวียนที่คุ้นเคยมากกว่า สําหรับเทียนหลิงก็เอามาจากชื่อของหลิงเทียน

สําหรับเสี่ยวจินนางตั้งง่ายๆว่า จินเยว่

จินนั้นมาจากชื่อเสี่ยวจินของนาง ส่วนเยว่ก็มาจากขุมกําลังของนางอย่างจันทร์โลหิตที่ว่านโช่วเทียน เพราะอย่างไรเสียเสี่ยวจินก็ถือว่าผูกพันธ์กับหุบจันทร์โลหิตไม่น้อย

เซี่ยเฟยหวู่ ตู้เทียนหลิง จินเยว่

ต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 เลือกจะเข้าสู่สมรภูมิอเวจีอีกครั้งโดยใช้นามแฝงดังกล่าว แน่นอนว่าแต้มรบของทั้ง 3 ก่อนหน้าก็ถูกลบหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จริงอยู่ที่ถึงจะถูกลบไปแล้ว หากผู้แข็งแกร่งที่สุดที่มีส่วนในการสร้างสมรภูมิอเวจีอยากเห็นก็ทําได้

แต่เป็นธรรมดาว่าถึงผู้แข็งแกร่งที่สุดจะสร้างสมรภูมินี้เพื่อความบันเทิงจะตรวจสอบได้ แต่ไหนเลยจะมัวมาสนใจคนในอันดับท้ายๆ

“แปลงร่างด้วย”

ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวจิน

หลังกล่าวจบคํา ร่างต้วนหลิงเทียนก็กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ 16-17 ปี มาในชุดขาวราวหิมะ แลดูหล่อเหลาทั้งสง่างาม ราวกับบัณฑิตน้อยยตระกูลผู้ดีที่หลุดออกมาจากภาพวาด

ฮ่วนเอ๋อก็เลือกจะแปงร่างเป็นเด็กสาวในชุดขาว ดูแล้วอายุราวๆ 15-16 ปี ถึงแม้จะไม่ได้งามพิลาศไร้ผู้ต้านเหมือนเดิม แต่ใบหน้าก็แลดูเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา เป็นสาวน้อยที่หน้าตาน่ารักมากคนหนึ่ง

ด้านเสียวจนเลือกจะแปลงร่างเป็นเด็กหญิงตัวน้อย แลแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 10 ขวบ ถักเปียสองข้าง หน้าตาจิ้มลิ้มชวนให้ผู้คนบังเกิดอาการอยากหยิกแก้มเล่นสักครา

“ฮ่าๆๆ..ตอนนี้ต่อให้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปมายืนตรงหน้า ก็ไม่มีทางจดจําพวกเราได้แน่นอน!”

เสี่ยวจินหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

“นั่นก็เป็นธรรมดา ตอนนี้รูปร่างหน้าตาพวกเราเปลี่ยนไปมาก”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางยิ้มกล่าวว่า “หลังจากนี้พวกเราหลีกเลี่ยงการคุยกันตามปกติ เพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลเถอะ เว้นเสียแต่จะมั่นใจว่าผู้คนที่พบตัวตนเดิมของพวกเราตายหมดแล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยาก ใช้เสียงผ่านพลังอย่างเดียวไปเลยจะดีกว่า”

“เข้าใจแล้วพี่ใหญ่ หลังจากนี้พวกเราจะคุยกันด้วยเสียงผ่านพลัง”

เสี่ยวจินขานรับผ่านพลังเร็วไว

ด้านฮ่วนเอ๋อแน่นอนว่าไม่มีความเห็นเป็นอื่น

“เสี่ยวจิน ในสมรภูมิอเวจี แต้มรบของคนที่ตาย…คนที่จะได้ก็คือคนที่ฆ่าสินะ?”

ต้วนหลิงเทียนจําได้ว่าเสี่ยวจินเคยบอกเขาไว้แบบนี้

“ใช่แล้วพี่ใหญ่”

เสี่ยวจินตอบ “ผู้ใดเป็นคนฆ่าผู้นั้นจะได้รับแต้มรบทั้งหมด…หากคิดจะมอบแต้มรบให้ผู้ใดก็จําต้องจัดการคู่ต่อสู้ให้เหลือลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ แล้วให้ผู้ที่จะรับแต้มเป็นคนลงดาบคนสุดท้ายถึงจะได้รับแต้มรบ”

“หาไม่แล้วต่อให้ท่านฆ่ามัน ไม่ว่าจะอยู่ห่างแค่ไหน แต้มรบของคนที่ตายก็จะยังเข้าตัวท่านอยู่ดี”

เสี่ยวจินส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวย้ำเพื่อความมั่นใจ

“อืม”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ

วันเวลาผ่านไปราวกระพริบตา ไม่ทันไรพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็เข้ามายังสมรภูมิอเวจีเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ

อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งเดือนทั้ง 3 พบเจอศัตรูไม่มากนัก แถมคนที่พบเจอก็มีแต้มรบติดตัวน้อยจนน่าสงสาร แม้ต้วนหลิงเทียนจะฆ่าทุกคน แต่แต้มรบของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่มาก กระทั่งไม่ติดอยู่ใน 100,000 อันดับด้วยซ้ำ

“เสี่ยวจิน พวกเราไปยัง “อเวจีหมื่นแปลง” กันเลยดีกว่า”

ต้วนหลิงเทียนหันไปพูดผ่านพลังกับเสี่ยวจิน

อเวจีหมื่นแปลง มันก็คือพื้นที่ส่วนกลางของสมรภูมิอเวจี และในพื้นที่ส่วนกลางนี้ก็จะมีแดนลับอิสระปรากฏขึ้นบ่อยครั้งที่สุด ด้วยเหตุนี้ผู้คนกว่าครึ่งที่เข้ามายังสมรภูมิอเวจี ก็เลือกที่จะไปปะทะกันที่อเวจีหมื่นแปลง

ในพื้นที่ใจกลางที่เรียกว่าอเวจีหมื่นแปลงนั้น การฆ่าฟันมีให้เห็นทุกทั่วหัวระแหง แต่ละวันมีผู้คนตกตายเป็นเบือ!

แน่นอนว่าสถานที่ๆเป็นดั่งทุ่งสังหารกลายๆเช่นนี้ ย่อมเป็นสถานที่ๆให้ผู้คนเก็บแต้มรบได้รวดเร็วที่สุด!

ส่วนที่เรียกว่า “แดนลับอิสระ” นั้น หมายถึงแดนลับที่ไม่จําเป็นต้องจ่ายแต้มรบเพื่อเข้าไป มันจะสุ่มปรากฏขึ้นไปทั่วสมรภูมิอเวจี และไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้ทั้งสิ้น และเมื่อคนเข้าไปมากถึงระดับหนึ่ง ทางเข้าแดนลับอิสระดังกล่าวก็จะหายไป

ผู้คนที่เข้าไปแล้ว ก็สามารถแสวงหาโชควาสนาในนั้นได้

ทําให้ในพื้นที่อเวจีหมื่นแปลง ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยผู้ที่ต้องการเก็บแต้มรบจํานวนมากเท่านั้น แต่ยังมีผู้ที่ไปเตร็ดเตร่แถวนั้นอย่างระวัง ด้วยหมายจะโชคดีพบเจอแดนลับอิสระเช่นกัน เพราะจะอย่างไรในพื้นที่อเวจีหมื่นแปลงก็มีอัตราการสุ่มปรากฏแดนลับอิสระสูงสุด

กล่าวโดยสรุปแล้ว….อเวจีหมื่นแปลงเป็นดั่งสรวงสวรรค์ของสมรภูมิอเวจี กล่าวได้ว่าเป็นจุดศูนย์รวมผู้คนที่เข้าสู่สมรภูมิอเวจีก็ว่าได้ แน่นอนว่ายังเป็นนรกสําหรับผู้ที่อ่อนด้อยอีกด้วย

จะอยู่หรือจะตาย บางครั้งก็แค่ห้วงคิดเดียว

“พี่ใหญ่หลิงเทียน พวกเราค่อยๆเป็นค่อยๆไปไม่ดีกว่าหรือ? ถึงแม้อเวจีหมื่นแปลงจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้คนในพื้นที่นั้นก็มีหนาตากว่าที่อื่นมาก…หากโชคไม่ดีพบเจอผู้ที่ถือครองเทพเบญจธาตุที่มีระดับ 8 ขึ้นมา ท่านจะจัดการมันอย่างไรเล่า?”

ได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินรู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง และเห็นได้ชัดว่านางห่วงเรื่องความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนมากกว่าอะไร

หากพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางไม่มีเทพเบญจธาตุ จะไปที่นั่นก็ไม่เป็นอะไรหรอก

กระทั่งต่อให้ความแข็งแกร่งจะลดลงมาก แต่สถานการณ์โดยรวมยังถือว่าปลอดภัยกว่ากันเยอะ เพราะอย่างน้อยๆก็จะไม่ถูกเหล่าผู้ถือครองเทพเบญจธาตุเพ่งเล็ง

แต่ตอนนี้พี่ใหญ่หลิงเทียนของนางดันครอบครองเทพเบญจธาตุ แถมยังมีครบทั้ง 5 ธาตุอีกด้วย สิ่งนี้แตกต่างจากผู้ถือครองเทพเบญจธาตุคนอื่นๆที่มักมีกันแค่ธาตุเดียวหลายขุมนัก!

ก็อย่างเช่นผู้ถือครองเทพเบญจธาตุที่เป็นธาตุทอง โดยปกติแล้วมันก็มักจะลงมือกับผู้ที่ถือครองเทพเบญจธาตุที่มีธาตุทองดุจเดียวกันเท่านั้น

เพราะการไปเผชิญหน้ากับผู้ถือครองเทพเบญจธาตุคนอื่นๆ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาที่ไร้เทพเบญจธาตุสักนิด เพราะต่อให้ฆ่าผู้ถือครองเทพเบญจธาตุที่ต่างธาตุได้ สุดท้ายก็ไม่อาจครอบครองเทพเบญจธาตุของอีกฝ่ายได้อยู่ดี เพราะเทพเบญจธาตุนั้นจะไม่ยอมอยู่ในร่างของผู้ที่ครอบครองเทพเบญจธาตุๆอื่น

เทพเบญจธาตุนั้น ล้วนแล้วแต่หยิ่งผยองกันทั้งสิ้น พวกมันไม่คิดจะอยู่ร่วมร่างต้นเดียวกันกับเทพเบญจธาตุอื่น!

สถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนนั้น แทบจะมีอยู่แต่ในความฝันเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นได้ยากมาก

แน่นอนว่ากรณีของต้วนหลิงเทียนนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเขาได้รับเทพเบญจธาตุมาตั้งแต่สมัยที่เทพเบญจธาตุนั้นมีระดับต่ำ ความหยิ่งผยองลําพองอะไรถึงจะมี แต่ก็ยังไม่มากเท่าเทพเบญจธาตุระดับขึ้นสูงๆ ไม่ต้องกล่าวถึงสถานการณ์ที่ค่อนข้างบีบบังคับพวกมันให้ตัดสินใจด้วยเลย

สําหรับวารีเทพชําระโลกาที่มาพบเจอในภายหลังนั้น แน่นอนว่าตอนแรกนางก็หยิ่งยโสไม่น้อย แต่เนื่องจากกิ่งพฤกษาเทพกําเนิดชีพในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน ดันไปดูดซับพฤกษาเทพกําเนิดชีพที่เป็นของอดีตร่างต้นนางที่ตายตกไป ซ้ำนางก็ปรารถนาจะมีชีวิตรอดและหลบหนีออกจากซากระนาบเทพนั่นเป็นทุน เช่นนั้นนางก็ได้แต่เลือกจะวางอัตตาลง แล้วอยู่ร่วมกับเทพเบญจธาตุคนอื่นๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางก็ถือได้ว่าเป็นแค่ผู้มาทีหลังเท่านั้น

“ในสมรภูมิอเวจี เผลอๆอาจจะไม่มีเทพเบญจธาตุขั้น 8 อยู่เลยก็ได้”

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ

“อีกทั้งต่อให้มีแล้วจะอย่างไร? หรือว่าก่อนที่เทพเบญจธาตุในร่างมันจะเล่นงานเทพเบญจธาตุในร่างข้า ตัวข้าจะฆ่าร่างต้นของมันก่อนไม่ได้เชียว? ทันทีที่ข้าฆ่าร่างต้นมันได้…พอถึงตอนนั้นอย่างดีมันก็แค่ทําได้ปกป้องตัวเองเท่านั้น และพลังงานมันหมดเมื่อไหร่ ก็ได้แต่รอให้เทพเบญจธาตุในร่างข้ากลืนกินเท่านั้น”

กล่าวถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายเยียบเย็นขึ้น

เรื่องนี้เขาก็ได้หารือกับวารีเทพชําระโลกามาแล้วเช่นกัน ว่าหากเจอศัตรูดังกล่าวจะทําอย่างไร

แต่เป็นธรรมดาว่า ในสถานการณ์จริงมันคงไม่ง่ายดายอย่างที่ปากเขาพูดไปแน่ จะอย่างไรก็ต้องเสี่ยงอันตรายไม่ใช่น้อย

แต่ที่เขาพูดออกไปให้มันดูเหมือนไม่ได้ร้ายแรงอะไร ก็เพื่อจะปลอบใจเสี่ยวจิน ยังเป็นการปลอบใจและคลายกังวลให้ฮวนเอ๋อด้วย เพราเขาสัมผัสได้ว่าตอนเสี่ยวจินเอ่ยทักเรื่องนี้ออกมา แขนของฮ่วนเอ๋อที่คล้องเขาอยู่ก็เหมือนจะกระชับแน่นขึ้น เห็นได้ชัดว่านางเองก็กังวลถึงความปลอดภัยเขาไม่น้อย

เช่นนั้นเขาจะยังกล่าวความจริงออกมาได้หรือ?

“เอาล่ะ ทัพมาตั้งทัพสู้ น้ำมาก่อทํานบกั้น ข้าต้วนหลิงเทียนหรือไม่เคยผ่านพ้นสถานการณ์ยากลําบากมาก่อน? อันตรายหรือเสี่ยงหรือ.โชคลาภความมั่งคั่งย่อมมาพร้อมความเสี่ยงอยู่แล้ว อย่างไรเสียคนที่คิดจะฆ่าข้ามันก็ต้องเตรียมตัวถูกฆ่าข้าเช่นกัน!”

จังหวะนี้สองตาต้วนหลิงเทียนฉายชัดถึงความแน่วแน่ยิ่งกว่าครั้งใด

“อเวจีหมื่นแปลง”

พื้นที่ต่างๆของสมรภูมิอเวจีนั้น หากล่วงรู้ชื่อและต้องการที่จะไป มันก็เสมือนจุดเคลื่อนย้ายเพียงแค่คิดในใจ ก็จะมีเจตจํานงลึกลับคอยชี้นําทางไปให้

นอกจากนั้นยิ่งเข้าใกล้อเวจีหมื่นแปลงมากเท่าไหร่ ความรู้สึกของเจตจํานงลึกลับที่ชี้นําก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ หรือเสี่ยวจิน เมื่อสัมผัสได้แล้วก็เริ่มสื่อสารกันน้อยลง และพยายามระแวดระวังตรวจจับความเคลื่อนไหวโดยรอบมากขึ้น

และในที่สุดหลังจากผ่านการเดินทางอย่างระแวดระวังไม่กี่วัน คนที่ตกตายด้วยน้ำมือกลุ่มต้วนหลิงเทียนก็มีมากกว่า 10 คน เรียกว่ายังมากกว่าจํานวนคนที่เขาฆ่าไปตลอดเดือนที่ผ่านมาเสียอีก

“ที่นี่…สมควรเป็นพื้นที่อเวจีหมื่นแปลงแล้วกระมัง?”

ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าดินแดนเปลี่ยวร้าง บรรยากาศมืดมิดอึมครึม และมีหมอกสลัวบดบังทัศนวิสัยปกคลุมไปทั่ว อยู่ๆก็แปรเปลี่ยนไปในพริบตา กลับกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยแดงฉานปานโลหิต!

สถานที่แห่งนี้ หาได้รกร้างว่างเปล่าอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ภูเขา

มองไปตามสันเขาทั้งยอดเขา ไกลๆ ก็พบเห็นคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทุกแห่งหนคล้ายมีคนเอาเลือดมาชโลมย้อมภูเขาก็ไม่ปาน

“พี่ใหญ่หลิงเทียน ดูเหมือนจะมีคนซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น แถมยังมีมากกว่าหนึ่งอีกด้วย”

ไม่นานเสี่ยวจินก็คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง นางยกมือขึ้นให้ทุกคนหยุด ก่อนจะมองจ้องไปยังสันเขาสูงชันแห่งหนึ่งเร็วไว เพราะได้กลิ่นอะไรบางอย่างโชยมาจากด้านหลังสันเขาดังกล่าว!

ตัวนางนั้นเป็นสัตว์อมตะสายพันธุ์หนูชั้นยอด ประสาทรับกลิ่นของนางเหนือล้ำกว่าสัตว์อมตะทั่วไปมาก กระทั่งสัตว์เทพก็ไม่แน่ว่าจะจมูกดีกว่านาง

หลังต้วนหลิงเทียนเห็นสัญญาณมือทั้งได้ยินคําเตือนผ่านพลังของเสี่ยวจิน เขาก็หยุดร่างลงก่อนหยีตามองจ้องไปยังสันเขาดังกล่าวทันที

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ฮ่วนเอ๋อหยุดร่างมองตามไป ก็มีเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากด้านหลังสันเขาที่อยู่ไกลห่างนั่น “นี่พวกเราถูกเจอตัวจริงๆหรือ?”

“พี่เซี่ยน ดูเหมือนสาวน้อยทั้ง 2 คนนั่นจะไม่ใช่มนุษย์…”

“อย่าว่าแต่ไม่ใช่มนุษย์เลย กระทั่งสัตว์อมตะส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางค้นพบพวกเรา…พวกนางสมควรเป็นสัตว์อมตะที่มีประสาทรับกลิ่นเลิศล้ำ”

หลังเสียงสนทนาดังขึ้นไม่นาน ก็ปรากฏร่าง 4 ร่างเหินขึ้นมาจากด้านหลังสันเขาไกลตา ทั้งหมดเป็นชายหนุ่ม มาในชุดคลุมสีน้ำเงิน รูปร่างหน้าตายังเหมือนกันทุกประการ

เป็นธรรมดาว่าในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ ต่อให้ไม่ใช่พี่น้องฝาแฝด ไม่ว่าใครก็สามารถแปลงร่างให้มีรูปลักษณ์เหมือนกันได้

และทั้ง 4 คนเบื้องหน้า หากสังเกตให้ดี ก็จะพบว่าท่วงท่าลักษณะของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

“พวกเจ้านับว่าโชคร้ายจริงๆที่ต้องมาเจอกับพวกเรา 4 คน”

ชายหนุ่มคนหนึ่งคลี่ยิ้มกล่าว และมันก็เป็นผู้ที่เห็นร่างนําขึ้นฟ้ามาก่อนใคร

ส่วนอีก 3 คนที่เหลือก็เห็นร่างตามมันมาติดๆดั่งเงาตามตัว

พริบตาต่อมาทั้ง 4 ก็แยกย้ายกันไปทั้ง 4 ทิศ ล้อมพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เอาไว้จากลักษณะความเคลื่อนไหว คล้ายพวกมันกําลังจะตั้งค่ายกลอะไรบางอย่าง

“ค่ายกลผสานการโจมตีงั้นรึ?”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ

“ฮิฮิ ใครจะโชคร้าย มันก็ยังไม่แน่นักหรอก”

หลังเสี่ยวจินส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนแล้ว พบว่าทั้ง 4 คนเบื้องหน้าไม่มีใครมีเทพเบญจธาตอยู่เลย นางก็อดโล่งใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็หันไปกล่าวคําเสียงแจ้วกับทั้ง 4 ด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน