ตอนที่ 3363 : หนูเทพสังหาร 9 ยมโลก”

เปรี้ยะ!

หลังจากเฝ้ารอไปอีก 2-3 ปี ในที่สุดก็มีเสียงปริร้าวหนึ่งดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อและดึงความสนใจของทั้งคู่ไปทันที

จากนั้นท่ามกลางสายตาที่หันไปชมมองของทั้งคู่ ก็พบว่ารังไหมสีเลือดที่ห้อหุ้มร่างเสี่ยวจินเอาไว้เบื้องหน้านั้น เริ่มบังเกิดรอยปริร้าวหนึ่ง!

รอยปริร้าวดังกล่าว แรกปรากฏก็เป็นแค่รอยเล็กๆ ทว่ายิ่งมามันก็ยิ่งลุกลามใหญ่โต ไม่ทันไรก็แพร่กระจายไปทั่วรังไหมโลหิต!

ตูมมม!!

เมื่อรอยปริร้าวลุกลามไปทั่วรังไหมโลหิต จนเสมือนมีใยแมงมุมอันเขื่องปกคลุมไปทั่วรังไหมในที่สุดก็บังเกิดเสียงระเบิดหนึ่งดังขึ้น เป็นรังไหมดังกล่าวแตกระเบิดออกไปทุกทิศทาง!

แต่ตัวนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่ได้สนใจปรากฏการณ์ดังกล่าวสักเท่าไหร่

ความสนใจของทั้งคู่จดจ่ออยู่กับบางสิ่งภายในรังไหมโลหิต!

ภายในรังไหมโลหิตนั้น “ลูกชิ้นเนื้อ สีทองเข้ม ที่ขดตัวเป็นก้อนกลมปานภูเขา อยู่ๆก็กางแขนกางขายึดหัวเผยให้เห็นว่าที่แท้ลูกชิ้นเนื้อสีทองก้อนกลมปานเนินเขาย่อมๆ เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง

หนูยักษ์ตัวเขื่องสีทองเข้ม เผยรูปร่างลักษณะให้ตัวนหลิงเทียนยกับฮ่วนเอ๋อประจักษ์ชัดถนัดตา!

หนูยักษ์ตัวนี้ นอกจากจะมีสีทองเข้มแล้ว กรงเล็บของมันดูวับวาวราวกับโลหะแกร่งเผยประ-กายเยียบเย็นแหลมคมเหลือเกิน แค่มองก็รู้สึกเสมือนดวงตาถูกบาด โดเฉพาะเขี้ยวแหลมคมทั้ง 2 นั่นช่างชวนให้ผู้คนขนลุกนัก!

และ

9 ดวงเนตรสีแดงฉานปานก้อนโลหิตนั้น…น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก!!

“เสี่ยวจิน?”

พอเห็นร่างมหึมายืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อมองหนั่นเนื้อสีทองอยู่นาน ก็ดึงสติกลับคืน พลางเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “เจ้า…ทําสําเร็จรึเปล่า?”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ..!”

เสี่ยวจินใช้การระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นลั่นหล้าเป็นการตอบคําถามของต้วนหลิงเทียนและตัวนหลิงเทียนก็ได้รับทราบคําตอบจากเสียงหัวเราะดังกล่าวชัดเจน รอยยิ้มสดใสราเริ่งพลันขับไล่ความกังวลยใบหน้าออกไปหมดสิ้น

สําเร็จแล้ว!

เสี่ยวจินวิวัฒนาการสําเร็จแล้ว!!

“พี่หลิงเทียน ร่างที่แท้จริงของเสี่ยวจนตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจาก “หนูเทพสังหาร 9 ยมโลก” ในมรดกความทรงจําของฮ่วนเอ๋อเลย”

และด้วยเสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อที่ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนพอดิบพอดี ก็เป็นการตอกย้ําความมั่นใจให้ตัวนหลิงเทียนเพิ่มเติม

เสี่ยวจิน หลังจากกลืนกินพยัคฆเทพวารีพิสุทธิ์ ในที่สุดก็วิวัฒนาการจากสัตว์อมตะชั้นยอดไปเป็นสัตว์เทพ หนูเทพสังหาร 9 ยมโลกได้อย่างราบรื่น!

“เสี่ยวจิน เจ้าน่าทึ่งมาก..ไม่คิดเลยว่าเจ้าลองครั้งเดียวก็จะประสบผลสําเร็จได้แบบนี้”

ต้วนหลิงเทียนมองร่างมหึมากลมๆของเสี่ยวจิน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี

ต่อมาสายตาเขาก็พร่ามัวเล็กน้อย ฉากการพบกันครั้งแรกกับเสี่ยวจินยังชัดเจนในความทรงจําหนูน้อยที่ถูกผู้คนจับขังและหวาดกลัวทุกสิ่ง จนหลังประมูลได้มาก็ชอบมุดอยู่ในอกเสื้อของเขาเพื่อหาไออุ่นและความปลอดภัยในตอนนั้น บัดนี้เติบโตมาได้อย่างดีขนาดนี้แล้ว

และใช้คําว่าเตคิบโตอย่างดีคงไม่พอ เพราะบัดนี้เสี่ยวจินหาใช่สัตว์อมตะชั้นยอดอีกต่อไปแต่เป็นถึงสัตว์เทพแล้ว!

วู้มมม

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังเหม่อคิดถึงความหลัง ทั่วร่างหนูทองตัวเขื่องก็ทอประกายสีทองสว่างจ้าเรืองรอง จากนั้นร่างมหึมาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ปรากฏเป็นร่างเด็กหญิงวัยประถมในชุดสีทองตัวน้อย ถักเปีย 2 เส้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแลดูจิ้มลิ้มชวนหยิก เป็นรูปลักษณ์ที่เสี่ยวจินเลือกแปลงร่าง หลังเข้ามาในสมรภูมิอเวจี

“พี่ใหญ่ๆ พวกเราจะออกจากสมรภูมิอเวจีกันเมื่อไหร่เหรอ? ตอนนี้ข้ารอกลับไปว่านโซ่วเทียนและไปหาเสียวเฮยกับเสียวไปที่เผ่ามังกรไม่ไหวแล้ว!”

ระหว่างกล่าวคําด้วยน้ําเสียงตื่นเต้น สองตาเสี่ยวจินก็ฉายชัดถึงความวาดหวังระคนสนุกสนานถึงขีดสุด!

“ทําไม? เจ้าคิดไปอวดร่างสัตว์เทพกับเสี่ยวเฮยและเสียวไปหรือไง?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“แฮ่ๆ พี่ใหญ่รู้มากจริง”

เสี่ยวจินที่ถูกต้วนหลิงเทียนมองความคิดทะลุปรุโปร่ง คลี่ยิ้มซุกซนออกมา

สมรภูมิอเวจี

ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินคําว่าสมรภูมิอเวจี ส่งแรกที่เขาคิดถึงก็คือ หอชําระบาปของวังเทียนฉือที่เขาเคยผ่านเพราะโถงลงทัณฑ์ที่นั่นก็เรียกว่าโถงอเวจี

อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้คําว่าอเวจีเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน อย่างมากก็ไม่พ้นลอกเลียนชื่อหรือตั้งให้ฟังดูน่ากลัวๆเท่านั้น

สุดท้ายสมรภูมิอเวจีก็มีมาเนิ่นนานเกินจะนับแล้ว

หอชําระบาปเอย โถงอเวจีเอย ก็แค่สิ่งที่มามีในภายหลังเท่านั้น

สมรภูมิอเวจีนั้นเป็นเวทีให้จอมราชันอมตะเข้ามาเข่นฆ่าแสวงโชคและที่เหนือไปกว่าที่นี่ก็คือสมรภูมิ 9 ยมโลกที่เป็นดั่งลานเข่นฆ่าเสรีและดินแดนแห่งโอกาสของชนชั้นจักรพรรดิอมตะ!

ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิอมตะที่สามารถผ่านพ้นสมรภูมิ 9 ยมโลกและสร้างชื่อให้ตัวได้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งโดยแท้จริง!

ร่างที่แท้จริงของเสียวจนตอนนี้ก็คือหนูเทพสังหาร 9 ยมโลก และคําว่า 9 ยมโลกในหนูเทพสังหาร 9 ยมโลก ก็มีความเกี่ยวข้องกับสมรภูมิ 9 ยมโลกไม่น้อย

เพราะในประวัติศาตร์ของระนาบเทวโลก ดูเหมือนหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกตัวแรก จะถือกําเนิดขึ้นในสมรภูมิ 9 ยมโลก

และสิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏอยู่ในมรดกความทรงจําของเสี่ยวจิน หลังวิวัฒนาการเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกได้สําเร็จ

ภายใต้การนําอย่างเริงร่าคึกคักของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ออกจากสมรภูมิอเวจีและไปยังระนาบว่านโช่วเทียน แน่นอนระหว่างทางถึงแม้วนหลิงเทียนจะแผ่กลิ่นอายมนุษย์จําออกมา แต่ก็ไม่มีสัตว์อมตะตนใดกล้าแหยม เพราะกลิ่นอายสัตว์เทพถึง 2 ข้างๆต้วนหลิงเทียน ทําให้พวกมันขวัญหนีดีฝ่อกันหมด!

“เสี่ยวจิน ว่าแต่เจ้าไม่คิดกลับไปหุบจันทร์โลหิตของเจ้าเพื่อรายงานความสําเร็จนี้ก่อนเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง เพราะหลังมาถึงว่านโซ่วเทียน เสี่ยวจินก็ชักชวนเขาไปเผ่ามังกรทันที ตอนแรกเขาคิดว่านางจะกลับไปรายงานเรื่องราวที่หุบจันทร์โลหิตก่อน ไม่คิดว่าความอยากไปอวดเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปจะรุนแรงถึงขนาดนี้

เพราะเท่าที่เขาทราบ หุบจันทร์โลหิตไม่เพียงเป็นดั่งบ้านที่เสี่ยวจินพักพิงมาตลอดหลังขึ้นสู่ว่านโซ่วเทียน แต่อาวุโสใหญ่ของหุบจันทร์โลหิตก็รับนางเป็นบุตรบุญธรรมแล้วด้วย เรียกว่าเอ็นดูเสี่ยวจินเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ๆก็ว่าได้

“พี่ใหญ่ พวกเราไปเที่ยวเผ่ามังกรกันก่อนดีกว่า หุบจันทร์โลหิตไว้ไปทีหลังก็ได้”

เสี่ยวจินตอนนี้ ในใจคิดแต่จะไปอวดความร้ายกาจของตัวกับเสี่ยวเฮยเสี่ยวไปเต็มพิกัด ถึงขั้นละวางความคิดกลับหุบจันทร์โลหิตไปก่อน

แน่นอนว่านางคิดอยู่แต่ในใจไม่ได้พูดออกมา

ไม่นานภายใต้การนําของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็มาถึงสถานที่ตั้งเผ่ามังกรซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่สืบทอดมรดกต่อๆกันมายาวนานที่สุดแห่งหนึ่งในว่านโซ่วเทียน

และเนื่องจากเสี่ยวจินได้ส่งข้อความถึงเสี่ยวเฮยเสี่ยวไปแต่แรก ด้านเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปก็เลยออกมารอรับทั้งคู่หน้าเผ่าแต่หัววัน

“พี่ใหญ่หลิงเทียน”

“ฮ่วนเอ๋อ”

พอได้พบเจอต้วนหลิงเทียนกับส่วนเอื้ออีกครั้งเสี่ยวไปก็มีความสุขมาก สําหรับเสี่ยวเฮยแม้จะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางก็ยินดีออกหน้าออกตา ไม่เหลือมาดขรึมเย็นชาตามปกติให้เห็น

“เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป พอดีข้ามีความก้าวหน้าไม่น้อยเลย..ไปๆๆ พวกเราไปเวทีประลองของเผ่ามังกรพวกเจ้ากัน ในเมื่อพวกเราไม่เจอสักพักแล้ว ก็ต้องมาประลองกระชับมิตรกันหน่อย”

ไม่ทันที่ตัวนหลิงเทียนจะได้เอ่ยคําทักทายอะไรกับเสี่ยวเฮยเสี่ยวไป เสี่ยวจินก็ชวนเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปไปลานประลองของเผ่ามังกรเสียอย่างนั้น

“ฮีเจ้าอยากประลองกับใครเล่า?”

เสี่ยวไปมองค้อนเสี่ยวจินทันที พลังของเสี่ยวจินนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงเสี่ยวเฮยที่แข็งแกร่งกว่ามาก เสี่ยวจินยังอ่อนกวว่านางหลายส่วนด้วยซ้ํา

“อิอิ คราวนี้ให้พวกเจ้าสองคนมัดรวมกันมาเลย!”

เสี่ยวจินเชิดหน้าขึ้นกล่าวออกด้วยความภาคภูมิมั่นมาด

“เสียวจิน เจ้าเป็นอะไรไป?”

เสี่ยวไปเอ่ยถามด้วยความงุนงง กระทั่งมือยังเอื้อมไปทาบหน้าผากเสี่ยวจินโดยไม่รู้ตัว “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา…หรือเจ้าจะไปโดนใครตีหัวมาจริงๆ?”

“อั้ย! ไปกันๆ”

เสี่ยวจีนคว้ามือเสี่ยวไปที่มาทาบหน้าผากนาง ก่อนจะลากเสี่ยวไปพุ่งลิ่วเข้าไปในเผ่ามังกรทันทีด้านตัวนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อ และเสียวเฮยก็ได้แต่มองตาปริบๆ

เห็นความคึกอย่างออกหน้าออกตาของเสี่ยวจิน ต้วนหลิงเทียนก็อดส่ายหัวไปมาไม่ได้

“พี่ใหญ่ ฮ่วนเอ๋อ ตามมาเร็วๆ!!”

หลังจากลากเสี่ยวไปไปได้สักพัก เสี่ยวจินก็ไม่ลืมหันกลับมากล่าวชวน ทําให้ตัวนหลิงเทียนส่วนเอ้อ แล้วก็เสี่ยวเฮยได้แต่เห็นร่างตามไปลานประลองของเผ่ามังกรอย่างช่วยไม่ได้

ระหว่างทางแม้จะพบเจอกับหน่วยลาดตระเวนของเผ่ามังกร แต่ทุกคนล้วนรู้จักเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปดี จึงไม่ได้เข้ามาหยุดพวกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแต่อย่างไร

ลานประลองของเผ่ามังกร ค่อนข้างกวางขวางพอสมควร และมีผู้คนมากมายแยกย้ายกันไปประลองตามพื้นที่ว่างๆ บ้างก็อยู่ในรูปลักษณ์มนุษย์ บ้างก็อยู่ในร่างมังกร

ด้วยเหตุนี้ลานประลองของเผ่ามังกรไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยเสียงการต่อสู้ แต่เสียงมังกรคํารามที่ดังสนั่นสะท้านแดนดินก็แว่วดังมาเป็นระยะๆ

“ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ พวกเจ้ามาแล้ว”

ไม่นานหลังจากที่พวกต้วนหลิงเทียนยมาถึงลานประลอง จี้หนิงอวิ๋น อาวุโสลําดับ 4 ของเผ่ามังกรก็ปรากฏตัวขึ้น ต้วนหลิงเทียนพอเห็นการมาของอีกฝ่าย ก็เร่งประสานมือคารวะทักทายด้วยรอยยิ้มทันที “อาวุโส 4 พบกันอีกแล้ว”

“ว่าแต่นี่พวกเจ้าไปสมรภูมิอเวจีกันมาจริงๆหรือ?”

จี้หนิงอวิ๋นเอ่ยถาม

“ใช่อาวุโส”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “พวกเราพึ่งจะกลับออกมา”

“แล้วเจ้าหนูเสี่ยวจิน ก็ไปกับพวกเจ้ามาด้วย?”

จี้หนิงอวิ๋นเอ่ถามอีกรอบ

“ใช่ พวกเราไปด้วยกัน 3 คน”

ตัวนหลิงเทียนพยักหน้าตอบไปตามตรง

“ดูเหมือนเจ้าหนูน้อยเสี่ยวจินจะพบพานความก้าวหน้าในสมรภูมิอเวจีไม่น้อย.ได้รีบแจ้นมาเผ่ามังกรทันที เพื่อมาท้าตีท้าต่อยกับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋แบบนี้ได้”

เมื่อเห็นร่างสาวน้อยทั้ง 2 อย่างเสี่ยวไปและเสี่ยวจินลอยอยู่บนฟ้าเหนือลานประลองมุมหนึ่งจี้หนิงอวิ่นอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางยิ้ม

ถึงแม้นางจะพอเดาได้ว่าเสี่ยวจินต้องไปพบเจออะไรดีๆในสมรภูมิอเวจีมาจนมีความก้าวหน้าไม่น้อย แต่นางก็ไม่เสียใจเลยสักนิดที่ห้ามไม่ให้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปไปที่นั่น

กระทั่งนางยังเชื่อไปตามจิตใต้สํานึก ว่าถึงเสี่ยวจินจะก้าวหน้ามาก แต่ก็คงไม่ดีไปกว่าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป ที่ได้รับทรัพยากรเลิศล้ําที่เผ่ามังกรป้อนให้

“ท่านแม่”

ไม่นานนัก ก็มีร่างหนึ่งเดินมาหยุดลงข้างๆจี้หนิงอวิ่น เผยโฉมให้ต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวเฮยเห็นชัดถนัดตา

เป็นสตรีที่แลดูองอาจมาดมั่นนางหนึ่ง และด้วยความที่นางเรียกหาอาวุโสลําดับ 4 แห่งเผ่ามังกรอย่างงี้หนิงอวิ๋นว่า ท่านแม่ ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาตัวตนนางได้ทันที

อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดของเผ่ามังกร จี้เชียง!

ตอนที่เขาได้พบเจอกับพวกเสี่ยวเฮยเสี่ยวไปและเสี่ยวจินครั้งแรก เขาก็ได้รับทราบจากเจ้าพวกตัวเล็กทั้ง 3 มาแล้ว ว่าไฉนทุกคนถึงถูกพามายังว่านโซ่วเทียนได้

เสี่ยวจินนั้นถูกชายคนหนึ่งที่เรียกว่า เมิ่งเยา พาตัวไปหุบจันทร์โลหิต ซึ่งเป็นขุมกําลังระดับสวรรค์ของว่านโซ่วเทียน

สําหรับเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไปนั้น ถูก จี้เซียง อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดของเผ่ามังกรแห่งว่านโชวเทียนพาตัวไป

จี้เซียงเป็นลูกสาวคนเดียวของ จื่อวี่เหนียน อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกร กับ จี้หนิงอริ้น อาวุโส4 ของเผ่ามังกร

“เซียงเอ๋อ นี่คือต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ”

ภายใต้การแนะนําของขี้หนิงอริ้น ต้วนหลิงเทียนกับจี้เชียงก็ได้ทักทายทําความรู้จักกัน สําหรับฮ่วนเอ๋อที่ชอบนิ่งไม่พูดจากับคนแปลกหน้านั้น จี้เชียงคล้ายจะรู้มาแต่แรก จึงไม่ได้ไม่พอใจ อะไรยังคงยิ้มทักอย่างมากอัธยาศัย

“ต้วนหลิงเทียน ดูท่าความก้าวหน้าของเสี่ยวจินจะไม่เบาเลยทีเดียว..ในอดีตหลังจากที่นางเคยมาท้าสู้เสียวไปจนแพ้ไปหลายครั้ง ทําให้ต่อมาพอเสี่ยวไปเบื่อๆ อยากท้านางประลองกับนางบ้าง นางก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงตลอด”

จี้เซียงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม

ในปัจจุบัน นางก็จับจ้องมองไปยังร่างสตรี 2 คนที่ลอยเผชิญหน้ากันกลางหาวไม่วางตาเช่นกันหนึ่งในนั้นแลดูดั่งลูกคุณหนูแสนอ่อนโยนมาในชุดคลุมสีขาวราวหิมะแรกฤดูหนาวอีกคนมาในชุดทองอร่ามท่าทางแลดูราวกับคุณหนูแก่นแก้วจากตระกูลร่ํารวย

“เสี่ยวจินน่ะ ไม่ได้มาแค่ท้าประลองกับเสี่ยวไปอย่างเดียวหรอก”

อย่างไรก็ตาม พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคําพูดของเซียง เขาก็ส่ายหัวไปมาพลางหัวเราะ

ในขณะที่จี้หนิงอวิ๋นกับจี้เชียงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าไฉนวนหลิงเทียนจึงพูดแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวเสริมออกมาว่า “วันนี้ที่เสียวจินมา นางคิดจะประลองกับเสียวเฮยและเสียวไป…”

“กระทั่งนางยังคิดจะประลอง 1 ต่อ 2 กับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไปอีกด้วย”

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั้งจี้เซียงและจี้หนิงอวิ๋นก็อึ้งไปตามๆกัน ยากจะดี งสติกลับมาได้อยู่นาน

“เฮ เสี่ยวเฮย เจ้ายังยืนที่มอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า มาๆๆ! มาร่วมมือกับเสี่ยวไปแล้วให้ข้าชี้แนะเสียดีๆให้เสี่ยวไปเจอกับข้าคนเดียวนางไม่ไหวหรอก ยังไม่รีบมาช่วยน้องสาวคนดีของเจ้าอีก!”

จนเมื่อเสียงท้าทายด้วยความมั่นใจของเสี่ยยวจินดังขึ้น จึงปลุกสติจี้เซียงกับจี้หนิงอวิ๋นให้ตื่นจากอาการเหม่อลอย

“เสี่ยวจิน ต่อให้เจ้าไปพบพานการผจญภัยสุดวิเศษอะไรในสมรภูมิอเวจีมา แต่นี่เจ้าจะไม่ถือ ดีเกินไปหน่อยรึไง?”

คําพูดที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจเต็มพิกัดของเสี่ยวจิน ทําให้เสี่ยวไปที่มักอารมณ์ดีอยู่เสมอหน้าบึงขึ้นมาอยู่บ้าง “อย่าได้ลืมเชียว…แต่ก่อนเจ้าก็ถูกข้าตีจนเตลิดหนีทุกรอบ”