ตอนที่ 3,397 : ต้วนหรูเฟิงโกรธ!
“ถูกพวกมันพบแล้วหรือ?”
สีหน้าลี่หลัวเปลี่ยนไปใหญ่หลวง นางไม่คิดเลยว่าพวกนางสิบกว่าชีวิต มาหลบซ่อนในสถานที่ไกลห่างแบบนี้ กระทั่งนางยังจัดตั้งค่ายกลปกปิดกลิ่นอายพลังเอาไว้แล้ว แต่ยังถูกอีกฝ่ายพบเจอได้!
เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วกว่าสิบชีวิตก็แตกตื่นเสียขวัญกันใหญ่ “อาวุโส 9 คะ หากถูกพวกมันพบเจอพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
“อาวุโส 9 ข้ายังไม่อยากตาย”
“อาวุโส 9”
…
สายตาเหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วได้แต่มองลี่หลัวด้วยความกลัว ในสายตาของพวกนางตอนนี้ลี่หลัวเป็นดั่งกระดูกสันหลังของพวกนางแล้ว
“พวกเจ้าอย่าพึ่งแตกตื่น พวกมันไม่แน่ว่าจะพบเจอที่นี่แล้ว”
ลี่หลัวสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มกล่าวกับเหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วสิบกว่าชีวิต “พวกมันอาจกล่าวเช่นนี้ทุกครั้งยามเดินทางมาถึงสถานที่ต้องสงสัย หมายให้พวกเราร้อนตัวและโยนตัวเองเข้าร่างแหของพวกมัน”
“พวกเราเพียงซ่อนตัวอยู่ที่นี่เงียบๆเถอะ หากพวกมันพบเจอร่องรอยพวกเราก็คือพบเจอ และพวกเราคงหนีไปไหนไม่รอด…แต่ถ้าที่แท้พวกมันไม่ได้พบเจอร่องรอยใดๆ หากพวกเราร้อนตัวเร่งรุดหลบหนีออกไป ก็เท่ากับพาตัวไปติดกับ เช่นนั้นที่สมควรรอดพ้นก็ไม่เหลือแม้แต่ความหวังรอดพ้นแล้ว”
พอได้ยินคำพูดของลี่หลัว เหล่าศิษย์สิบกว่าชีวิตก็พากันเงียบลง และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ตอนนี้เอง เสียงด้านนอกก็เงียบหายไปแล้ว
“ดูเหมือนพวกมันจะไปแล้ว ที่แท้ก็กล่าวหลอกล่อพวกเราจริงๆด้วย”
เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วเมื่อพบว่าเสียงด้านนอกเงียบหายไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ยังเป็นอาวุโส 9 ที่ใจเย็น หาไม่แล้วหากพวกเราทะเล่อทะล่าหนีออกไป ไม่พ้นถูกพวกมันเจอตัวแน่”
ศิษย์ฉวินซิ่วบางคนกล่าวขึ้นด้วความดีใจ
เหล่าศิษย์นิกายยฉวินซิ่วที่ไม่พูดอะไรตอนนี้ก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมาได้ พวกนางรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน ราวกับหายนะมาถึงตรงหน้าแต่กลับรอดพ้นมาได้อย่างฉิวเฉียด
สำหรับพวกนาง ภัยพิบัติครั้งนี้ของนิกายฉวินซิ่วมาได้รวดเร็วเกินไป รวดเร็วถึงขั้นที่พวกนางแทบไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้ทัน
กว่าจะรู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วก็ได้ยินคำตะโกนบอกให้แยกย้ายกันหลบหนีไปแล้ว และอาวุโสแต่ละคนก็พาเหล่าศิษย์หลบหนีออกไปเท่าที่จะทำได้ ไม่รู้ว่าชะตาคนอื่นเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วนับ 10 กว่าชีวิตคิดว่ารอดพ้นหายนะแล้ว ความเงียบด้านนอกถ้ำอยู่ๆก็ถูกเสียงเย้ยหยันหนึ่งดังขึ้นทำลายไปในพริบตา
“โฮ่…ที่แท้เป็นอาวุโสลี่หลัวนี่เอง”
พอเสียงหนึ่งดังเข้ามาในถ้ำ สีหน้าลี่หลัวรวมถึงเหล่าศิษย์นับสิบชีวิตก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นไม่ทันได้ทำอะไร พวกนางก็พบว่ามีร่างสูงหนึ่งกำลังก้าวอาดๆเข้ามาจากด้านนอก
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
สองตาลี่หลัวเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น ในมือไม่ทราบปรากฏกระบี่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังระเบิดพลังลงมือออกไปปานอัสนีฟาด แสงกระบี่หลายสายก่อตัวเป็นข่ายพลังสังหารเข่นฆ่าออกไปเบื้องหน้า!
อย่างไรก็ตาม ข่ายพลังกระบี่ดังกล่าวไม่อาจทำอะไรผู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาในถ้ำอย่างไม่รีบไม่ร้อนได้เลย อีกฝ่ายเพียงแค่ยกมือขึ้นสะบัดอย่างไร้เรื่องราว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุมหนึ่งก็ระเบิดดังคำราม แผ่พุ่งออกมาทำลายข่ายพลังกระบี่ของลี่หลัวทันที
ความแข็งแกร่งของลี่หลัวอ่อนด้อยกว่าผู้มาใหม่อย่างเห็นได้ชัด
“หึหึ…อาวุโสลี่หลัว ท่านเองก็คงรู้ดีว่าท่านไม่ใช่คู่มือของข้า”
หลังจากนั้นไม่นานร่างสูงก็ก้าวเข้ามาในถ้ำ เผยตัวให้ลี่หลัวและเหล่าศิษย์สิบกว่าชีวิตของนิกายฉวินซิ่วเห็นหน้าค่าตาชัดเจน เป็นชายร่างสูงที่เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง มองจ้องลี่หลัวตาใส “น่าเสียดายที่ท่านประมุขชมชอบเจ้ากว่าใคร…หาไม่แล้วเจ้าต้องเป็นของข้าแน่!”
ตอนนี้เองด้านหลังของชายร่างสูงหนวดเครารุงรัง ก็ปรากฏร่างอื่นๆอีก 2 ร่างก้าวอาดๆเข้ามาในถ้ำตามติด
“ฟางจี้! มันคือฟางจี้ อาวุโสลำดับ 3 ของนิกายวิถีอีกา!!”
“ฟางจี้นั่นมันเป็นราชาอมตะ 8 ชะตา…อาวุโสลี่หลัวไม่ใช่คู่มือมันแน่ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น อาศัยมันแค่คนเดียวก็ฆ่าพวกเราได้หมดสิ้น!”
“จบกัน! จบสิ้นกันแล้ว! ฟางจี้มาแบบนี้ พวกเราจะหนีไปได้อย่างไร..”
…
เหล่าศิษย์ของนิกายฉวินซิ่วกว่าสิบชีวิตบัดนี้สีหน้าแต่ละคนกลายเป็นซีดขาว สองตาฉายชัดถึงความกลัวและความสิ้นหวัง
ยังมีไม่น้อยที่คิดจะฆ่าตัวตาย!
เพราะต่อให้พวกนางต้องตาย ก็ดีกว่าโดนคนของนิกายวิถีอีกาย่ำยี!
ฆ่าได้หยามไม่ได้!!
วินาทีนี้กระทั่งลี่หลัวเองก็คิดจะจบชีวิตตัวเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อลี่หลัวเหลือบไปศิษย์เด็กหญิงตัวน้อยที่อายุได้ 10 กว่าปี ก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน หันไปมองกล่าวกับฟางจี้เสียงหนัก “อาวุโสฟางจี้ เด็กคนนี้ยังเยาว์นัก…พวกท่านเองก็คงไม่ถึงขั้นคิดฆ่าเด็กหญิงตัวเล็กๆกระมัง?”
“อาวุโสลี่หลัวท่านกล่าวล้อเล่นแล้ว…”
ฟางจี้เหลือบไปมองเด็กหญิงที่ลี่หลัวเอ่ยถึงปราดหนึ่ง ค่อยคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ยาโถวน้อยนั่นหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่เบา…หลังจากนี้ไม่กี่ปีคาดว่านางต้องกลายเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่งแน่ ต้นกล้าที่งดงามเช่นนี้ไหนเลยพวกเราจะหักใจฆ่าได้ลงคอ พวกเราย่อมพานางไปเลี้ยงดูอย่างดีที่นิกายวิถีอีกาค่อยๆลิ้มรสนางตั้งแต่ยังเยาว์สู่วัยสาว”
คำพูดของฟางจี้ ทำให้สองตาลี่หลัวเย็นลงทันที
“อาวุโสลี่หลัว ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ข้าขอล่วงหน้าไปก่อน!!”
ศิษย์สตรีคนหนึ่งของนิกายฉวินซิ่วกล่าวคำด้วยว่าจาเด็ดเดี่ยว ฝ่ามือยกฟาดตบเข้าหน้าผากตัวเองดังปึง ก่อนร่างบางจะทรุดล้มลง ฆ่าตัวตายอย่างไร้ลังเล!
เมื่อมีผู้นำก็มีศิษย์หญิงอีกหลายคนเลือกที่จะทำตาม ปลิดชีพตัวเองตามไปติดๆ
ร่างบางร่างแล้วร่างเล่าทยอยกันทรุดลงไปนอนบนพื้นอย่างไร้ลมหายใจ…
เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าวถึงแม้ลี่หลัวจะโกรธจนสองตาแดงฉานไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่นางก็ทำได้แค่ชมดูเรื่องราวอย่างไม่อาจทำอะไรได้
“อัยยะ ยาโถวน้อยเหล่านี้ใจเด็ดไม่เบา”
ฟางจี้เหลือบมองร่างไร้ชีวิตที่ทรุดล้มลงไปบนพื้นหลายคน พลางกล่าวกับคนด้านหลัง “เดี๋ยวพวกเจ้าเก็บศพพวกนางไว้ในแหวนพื้นที่ด้วย…หลังกลับไปถึงนิกาย ร่างที่ยังเหลือไออุ่นของพวกนาง ก็ยังพอสร้างความสำราญให้สหายที่มีรสนิยมพิเศษได้บ้าง!”
“ทราบแล้วอาวุโส 3”
คนที่อยู่ด้านหลังฟางจี้ขานรับ ก่อนจะก้าวออกมาเตรียมเก็บศพสตรีที่ฆ่าตัวตายด้วยรอยยิ้มวิปริต
เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วอีก 2-3 คนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของฟางจี้ สีหน้าของพวกนางก็ซีดลงจนหาสีเลือดไม่เจอ ไม่คิดเลยว่านิกายวิถีอีกาจะโหดเหี้ยมทั้งจิตบิดเบี้ยวถึงขนาดนี้ กระทั่งพวกนางตายแล้วยังไม่คิดจะปล่อยพวกนางไปอีกหรือ?
เช่นนั้น…
การฆ่าตัวตายแบบนี้ยังจะมีความหมายอันใด?
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนของนิกายวิถีอีกาเริ่มก้าวออกมาได้ไม่ทันไร ลี่หลัวก็ลงมือออกมาอีกครั้ง แถบริ้วกระบี่นับร้อยสายพุ่งวาบตัดอากาศไปดั่งประกายแสง ทำลายร่างไร้ชีวิตทิ้งทันที
“อาวุโสลี่หลัว ท่านจะลงมือไปทำไมให้เหนื่อยแรง เต็มที่ก็ท่านก็ช่วยได้แค่คนกลุ่มนี้เท่านั้น”
ฟางงจี้เอ่ยออกเสียงเบา “ตอนนี้นิกายวิถีอีกาเรารวบรวมซากศพของยาโถวจิ้มลิ้มได้หลายร้อยคนแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกลำเลียงไปสร้างความเพลิดเพลินให้สหายในนิกายหมดสิ้น…หึหึ…”
“อ่อจริงสิ ข้าลืมบอกอะไรท่านไปอย่างนึงอาวุโสลี่หลัว ท่านประมุขของพวกเราบอกว่าหากท่านกล้าฆ่าตัวตาย ท่านประมุขจะอนุญาตให้สหายของเราย่ำยีศิษย์นิกายฉวินซิ่วอีกหลายร้อยที่ถูกจับเป็นไปจนตาย!”
ในขณะที่ลี่หลัวคิดจะทำลายร่างไร้วิญญาณของเหล่าศิษย์และจบชีวิตตัวเอง ฟางจี้ก็คล้ายมองเห็นความตั้งใจที่จะตายของนาง เช่นนั้นจึงกล่าวขัดออกมาเสียก่อน “จึกๆๆ…น่าเศร้าใจแท้ ช่างน่าเศร้าใจแทนท่านจริงๆอาวุโสลี่หลัว ฮ่าๆๆ”
“อย่างไรก็ตาม ท่านฆ่าตัวตายไปเถอะ เพราะแค่คิดว่าจะได้กลับไปถล่มยาโถวตัวน้อยๆให้ตาย ก็ทำให้ข้าทนรอไม่ไหวแล้ว!!”
ฟางจี้ยังจงใจกล่าวท้าทายออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ด้านเหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วที่ไม่ทันได้ฆ่าตัวตายก็หน้าเสียจนไม่รู้จะเสียอย่างไรแล้ว
และคำพูดของฟางจี้ ก็ทำให้ลี่หลัวเลิกล้มความคิดตกตายทันที
‘อย่างดีระหว่างทางที่ถูกพวกมันพาตัวไป ข้าก็แค่ทำลายใบหน้าตัวเองเสีย…ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะยังสนใจคนหน้าผีได้’
ลี่หลัวลอบกล่าวในใจ
ขณะเดียวกันลี่หลัวก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย หากนางเชื่อฟังอาจารย์แต่แรกและออกจากนิกายฉวินซิ่วไปฝึกฝนบ่มเพาะในขุมกำลังที่เหนือกว่านี้ พลังฝีมือของนางสมควรก้าวหน้าเหนือล้ำไปกว่าในปัจจุบันมากแน่ๆ
ถึงแม้นิกายฉวินซิ่วคงไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติในวันนี้ได้ แต่อย่างน้อยๆหลังจากนางทราบเรื่องราวก็สามารถล้างแค้นได้อยู่ เผลอๆต่อให้นางยังไร้กำลัง แต่ถ้านางมีขุมกำลังระดับสูงอยู่เบื้องหลัง อย่างน้อยๆยามคนนิกายฉวินซิ่วยกนางขึ้นมาอ้าง ก็ต้องสร้างความหวาดกลัวให้นิกายวิถีอีกาได้แน่
นิกายวิถีอีกาอย่างไรก็เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 6 มียอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะแค่คนเดียวเท่านั้น
ด้วยพรสวรรค์ของลี่หลัว อย่าว่าแต่ขุมกำลังระดับ 6 เลย ต่อให้เป็นขุมกำลังระดับ 4 ระดับ 3 แม้แต่จะขุมกำลังระดับ 2 หรือระดับ 1 ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะเข้าร่วม
ท้ายที่สุดแล้ว นางก็บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะได้ตั้งแต่มีอายุ 300 กว่าปี
สุดท้ายเหล่าศิษย์ของนิกายฉวินซิ่วรวมถึงลี่หลัว ก็ถูกฟางจี้ควบคุมตัวเพื่อพาไปหาประมุขของนิกายวิถีอีกา
ระหว่างทางที่ถูกคนของนิกายวิถีอีกาควบคุมตัว ขณะที่สิ้นหวังอับจนหนทางในใจลี่หลัวก็ปรากฏร่างชายผู้หนึ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ‘พี่เฟิง…ข้าขอโทษ ข้าไม่อาจอยู่รอท่านได้แล้ว…’
‘หลังข้าทำลายรูปโฉม ข้าจะระเบิดตัวตาย เพื่อไม่ให้ท่านต้องรับทราบความอัปยศใดๆของข้า’
ครู่ต่อมา ในใจลี่หลัวก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงขึ้นมาอีกคน เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาอันมีใบหน้าละม้ายคล้ายนางกับชายในใจเมื่อครู่ ‘เทียนเอ๋อ…หากชาติหน้ามีจริง แม่ก็อยากเกิดมาเป็นแม่เจ้าอีกครั้ง…’
‘ไม่สิ…ไม่ใช่เช่นนั้น…เทียนเอ๋อจะมีชาติหน้าได้อย่างไร? เทียนเอ๋อต้องมีชีวิตที่ดี!’
‘เค่อเอ๋อ…เสี่ยวเฟยเอ๋อ ซือหลิง เนี่ยนเทียน…’
ในดวงตาของลี่หลัวฉายชัดถึงความไม่เต็มใจอย่างสุดซึ้ง
“ท่านอาจารย์อา ข้า..ข้ากลัว ฮือ…”
ข้างๆลี่หลัวเด็กหญิงตัวน้อยได้แต่กก้มหน้าร่ำไห้ออกมา สีหน้านางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับใจ
มองไปยังเด็กหญิงข้างกาย แววตาของลี่หลัวก็ฉาชัดถึงความอ่อนโยน ในหัวพลันปรากฏฉากเรื่องราวแล่นย้อนกลับไปในอดีต นางิคดถึงหลานสาวตัวน้อยของนางอย่างต้วนซือหลิงนัก “เสี่ยวฉิน อย่ากลัวไปเลย…”
“เจ้ายังเด็ก วันหน้าย่อมมีอนาคตไร้จำกัด…อีกทั้งขอเพียงอดทน เจ้าต้องมีโอกาสหลบหนีได้แน่…”
ลี่หลัวกล่าวปลอบใจเด็กหญิง
เป็นธรรมดาว่าถึงปากนางจะกล่าวไปแบบนั้น แต่นางรู้ดีว่าหากเด็กหญิงถูกพาไปถึงนิกายวิถีอีกาแล้ว โอกาสที่จะหลบหนีออกมา หรือรอดพ้นหายนะไปได้นั้น…มันช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน…
อย่างไรก็ตามตอนนี้ลี่หลัวไม่เหลือทางเลือกใดอื่นนอกจากกล่าวปลอบใจนาง เพราะอย่างน้อยๆก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น
ได้ยินคำพูดของลี่หลัว สีหน้าของเด็กหญิงก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมองถามลี่หลัวด้วยกังวล “แล้วท่านอาจารย์อาล่ะ?”
“ท่านมีหนทางแล้วหรือ? แล้วพวกศิษย์พี่ล่ะคะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยถาม
“ใช่…มันต้องมีทางแน่ ขอเพียงยังมีชีวิตย่อมมีหวัง”
ลี่หลัวกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจก็ได้แต่ลอบทอดถอนอย่างเงียบงัน
นางไม่ได้กลัวความตาย
นางแค่รู้สึกเสียใจนัก
นางยังอยากเห็นหน้าลูกชายอีกครั้ง
นางแยกจากลูกชายมาหลายปีแล้ว ไม่ได้พบหน้าลูกชายนานกว่าสามีของนางรวมถึงหลานชายและหลานสาวของนางเสียอีก…
‘เอ๊ะ?’
ในขณะที่ลี่หลัวกำลังคิดถึงต้วนหลิงเทียนลูกชายของนาง ลูกตานางก็หดเล็กลงโดยพลัน เพราะนางได้รับข้อความอันเหนือความคาดหมายหนึ่ง
…
“เทียนเอ๋อ! แม่ของเจ้าตอบกลับมาแล้ว!!”
สือฉี่เทียน เป็นระนาบเทวโลกที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยมาเยือนสักครั้ง อย่างไรก็ตามเขาพึ่งมาเยือนและส่งข้อความไปได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีของบิดาดังขึ้น
“ท่านแม่!?”
ร่างต้วนหลิงเทียนผงะไปทันใด จากนั้นใบหน้าก็เริ่มฉาดชัดถึงความตื่นเต้นยินดี “ท่านแม่อยู่ที่นี่หรือ!? ท่านพ่อ ท่านแม่บอกหรือไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของสือฉี่เทียน!?”
“เป็นดินแดนสื่อฉี!”
ขณะที่ต้วนหรูเฟิงกล่าวตอบต้วนหลิงเทียน ในแววตาก็ลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ ยังเป็นเพลิงโทสะอันร้อนแรงนัก พอปรากฏขึ้นแล้วก็ยยากที่จะดับลงได้ง่ายๆ!
“ท่านพ่อ ท่านแม่…เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่?”
พอเห็นว่าในแววตาของต้วนหรูเฟิงอยยู่ๆก็เต็มไปด้วยความโกรธทั้งแลดูร้อนใจ สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
“หากพวกเรามาถึงที่นี่ช้ากว่านี้อีกสักสองสามวัน…ข้าเกรงว่าพวกเราคงไม่มีวันได้พบหน้าแม่เจ้าแล้ว”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกเสียงหนัก
“อะไร!?”
สีหน้าท่าทีเปลี่ยนไปในฉับพลัน “เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่กันแน่!?”
“ไว้คุยระหว่างทาง รีบไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อน!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ค่ายกลเคลื่อนย้ายสมควรตั้งอยู่ไม่ไกลจากค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวนี่มากนัก…ท่านพ่อ ท่านรีบถามท่านแม่เถอะ ว่านางอยู่ที่ไหน แล้วจุดที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวที่ใกล้ที่สุดคือที่ใด…
“หากท่านแม่ไม่ทราบ ท่านเพียงถามว่านางอยู่ใกล้เมืองใหญ่ไหนที่สุดก็พอ”
น้ำเสียงต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความกังวล