ตอนที่ 3,431 : ฟงชิงหยาง
ฟงชิงหยางเป็นอดีตทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณของ 7 ทวาราเที่ยงแท้บนระนาบเซียน และผู้สืบทอดคนต่อมาก็คือต้วนหลิงเทียน
ในตอนที่อยู่ระนาบเซียน เพราะต้วนหลิงเทียนได้รับสืบทอดมรดกของฟงชิงหยางโดยบังเอิญ เมื่อเชี่ยวชาญยอดใจกระบี่ ก็สามารถเดินทางในระนาบเซียนได้อย่างราบรื่น
อาจกล่าวได้ว่าหุตผลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในภายหลัง ก็เพราะมียอดใจกระบี่นั่นเอง
ตอนยังอยู่ในระนาบเซียน ต้วนหลิงเทียนก็สงสัยว่าเขาจะมีโอกาสได้พบเจออาวุโสฟงชิงหยางหรือไม่ ที่ถึงแม้เขาจะยังไม่เคยเห็นคน แต่ก็ยึดถืออีกฝ่ายเป็นอาจารย์ไปแล้ว
สุดท้ายเขาก็มาถึงจี้เมี่ยเทียน และได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่างเมิ่งหลัว ยังรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะได้พบกับอาวุโสฟงชิงหยางแล้ว
อย่างไรก็ตามเข้าไม่คิดเลยว่าการรอคอยจะกินเวลาถึง 200 ปี
ถึงแม้เวลา 200 ปีสำหรับเซียนอมตะในระนาบเทวโลกจะเหมือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับต้วนหลิงเทียน 200 ปีที่ผ่านเรีกว่าใกล้จะเป็นเวลาครึ่งหนึ่งในชีวิตของเขา
ท้ายที่สุดวันนี้เขาก็มีอายุได้ 500 ปีเศษ
“นายน้อย ตอนที่ท่านอยู่ในระนาบเซียน ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ได้ชมดูท่านตอนข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ด้วยตาตัวเองผ่านอาคมคันฉ่องสะท้อนลักษณ์…ตอนนั้นข้าก็พึ่งจากท่านไปได้ไม่นาน”
ในขณะพาต้วนหลิงเทียนไปพฟงชิงหยาง ผู้เฒ่าหั่วก็อดคิดถึงอดีตไม่ได้กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ไม่ทันไรก็ผ่านไป 500 ปีแล้ว…”
“ผู้อาวุโสฟงชิงหยางเห็นข้าข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ด้วยตาตัวเองผ่านอาคมคันฉ่องสะท้อนลักษณ์?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง เพราะเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วพูดเขาพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ไม่คิดเลยว่าอาวุโสฟงชิงหยางจะให้ความสนใจเขาตั้งแต่ตอนนั้น
“ในตอนนั้น ข้า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ แล้วก็วิญญาณกระบี่กวงหลิงจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ เห็นท่านก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ด้วยกัน…แต่ตอนนี้กวงหลิงไม่อยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอย่างทอดถอนใจ
เกี่ยวกับวิญญาณกระบี่กวงหลิง อันเป็นจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญนั้น ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบจากผู้เฒ่าหั่วแล้วว่าอีกฝ่ายได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของข้ารับใช้ของ อวิ๋นชิงเหยียน นายน้อยตระกูลอวิ๋นแห่งดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
อุปกรณ์เทพที่ข้ารับใช้อวิ๋นชิงเหยียนใช้ มันทรงพลังเหนือกว่ากระบี่ผลาญฟ้าอาสัญมาก และจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพก็ทรงพลังกว่า อีกฝ่ายสามารถฆ่ากวงหลิงได้ทันที
และเหตุผลที่ไฉนในอดีตผู้เฒ่าหั่วหายไป ก็เพราะอาวุโสฟงชิงหยางได้ส่งวิญญาณกระบี่กวงหลิง จิตวิญญาณของกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญให้มาพาผู้เฒ่าหั่วกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปจากเขานั่นเอง
ความคิดของอาวุโสฟงชิงหยางในตอนนั้นก็คือ การดำรงอยู่ของผู้เฒ่าหัวกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ จะทำให้เขาสบายเกินไป เช่นนั้นจึงริบของไปเพื่อให้เขาตั้งใจบ่มเพาะพลังมากขึ้น
เห็นได้ชัดเจน
อาวุโศฟงชิงหยางให้ความสนใจเขามานานแล้ว กระทั่งให้ความสำคัญกับเขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
อย่างน้อยๆนี่ก็คือสิ่งที่จักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง เมิ่งหลัว มือขวาคนสนิทของอวุโสฟงชิงหยาง กล่าวออกมาด้วยตัวเอง
หาไม่แล้วเมิ่งหลัวคงไม่แลดูเคารพเขานัก
ในช่วง 200 ปีที่ผ่าน นอกจากการบ่มเพาะแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้สำรววจไปทั่วพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ จึงคุ้นเคกับทุกพื้นที่
และตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วก็กำลังพาเขาไปยังสถานที่ๆเขาพึ่งเคยไปมาไม่นาน เป็นสถานที่ๆค่อนข้างอยู่ไกลห่างนัก
ขณะเดียวกันอารมณ์ในใจเขาก็ซับซ้อนไม่น้อย
ผสมปนเปไปทั้งความตื่นเต้น ความคาดหวัง ความกังวล…มากกว่าใดอื่นคือความรู้สึกผิด
“ด้านหน้าก็เป็นสถานที่พักบ่มเพาะของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แล้วว”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ขณะมองไปยังเกาะเล็กๆที่ลอยล่องอยู่เหนือทะเลสาบ
สถานที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน มีไม่กี่คนที่สามารถผ่านเข้าออกได้ และต้วนหลิงเทียน ในฐานะของศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน เป็นธรรมดาว่าเมิ่งหลัวได้บอกทุกคนไวว้แล้วว่าเขาจะไปไหนก็ได้ เขาก็เลยเคยมาที่นี่เช่นกัน
ทะเลสาบอันมีเกาะลอยเล็กๆลอยอยู่ด้านบน ตั้งอยู่ในหุบเขาอันนห่างไกลของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน และหุบเขาแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยความสงบร่มรื่น มีมวลหมู่สกุนาและผืชไม้นานาพรรณ บรรยากาศช่างสดชื่นนัก
ถึงต้วนหลิงเทียนจะเคยมาที่นี่แล้ว แต่การมาครั้งนี้อารมณ์ของเขาต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
ครั้งก่อนที่มาเขาหันมองชมวิวทิวทัศน์ไปทั่วอย่างสบาอารมณ์
แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะใจจะดูที่ทางอะไรเลย เกาะเล็กๆที่ลอยเหนือทะเลสาบนั่นดึงดูดความสนใจของเขาไปจนหมด
และพอมาถึงเกาะเล็กๆที่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบ เขาก็เห็นบ้านลานหลังหนึ่ง บ้านที่ว่าก็เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆมีห้องหับเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในอดีตถึงแม้เขาจะรู้ว่ามีบ้านลานหลังเล็กบนเกาะลอย เขากลับไม่รู้ว่าที่นี่คือที่พักอาศัยของอาวุโสฟงชิงหยาง
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ นายน้อยมาแล้ว”
ผู้เฒ่าหั่วเหินร่างนำต้วนหลิงเทียนไปยังเกาะลอยเล็กๆเหนือทะเลสาบ ก่อนจะโรยตัวลงไปหยุดยืนในลาน โค้งคำนับกล่าวคำกับบ้านไม้หลังเล็ก
ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามมาติดๆ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆจับจ้องไปยังบ้านหลังเล็กเบื้องหน้า
ซัว!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้เฒ่าหั่วพูดจบ จากภายในบ้านหลังเล็กเบื้องหน้า ก็มีกลิ่นอายพลังน่าเกรงขามหนึ่งแผ่ซ่านออกมา
ต้วนหลิงเทียนยังบอกได้อีกว่านี่คือกลิ่นอายยของกฏแห่งดิน
วินาทีต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปกับฉากเรื่องราวเบื้องหน้า…
เนื่องเพราะปรากฏมวลพลังสีกากีขุมหนึ่งเริ่มเกาะตัวเบื้องหน้าเขา จนกลายเป็นเงาร่างมนุษย์คนหนึ่ง จากนั้นเงาร่างก็ค่อยๆควบแน่นจนเด่นชัดขึ้น
จนต้วนหลิงเทียนเห็นชัดเจนว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีฟ้า หน้าตาหล่อเหลา หากแต่ดูเคร่งขรึมจริงจังคนหนึ่ง
คิ้วชายหนุ่มคมเข้มปานดาบ สองตาฉายแววแหลมคมราวกับเข้าใจทุกสิ่ง
และตอนีน้ชายหนุ่มก็กำลังมองต้วนหลิงเทียนพลางยิ้ม
“หลายปีผ่านไป รูปร่างหน้าตาเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย…แต่อารมณ์ของเจ้าแปรเปลี่ยนไปมาก”
พอชายหนุ่มกล่าวคำ ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันตัวของอีกฝ่ายได้ทันที เร่งประสานมือโค้งคารวะ “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะอาวุโสฟงชิงหยาง”
“ยังเรียกข้าอาวุโสอีกหรือ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แสร้งทำหน้าบึ้ง
“นายน้อย ท่านสมควรเรียกใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ว่าอาจารย์…”
ตอนนี้เองเสียงผ่านพลังของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนพอดี
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็เร่งแก้คำพูดเร็วไว “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะท่านอาจารย์”
เดิมทีเขาคิดว่าคงต้องผ่านพิธียกน้ำชากราบอาจารย์อะไรก่อน ถึงจะสามารถเรีกอาวุโสฟงชิงหยางว่าอาจารย์ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจพิธีรีตรองอะไรเลย
“ฮ่าๆๆ…!!”
หลังได้ยินคำพูดที่ต้วนหลิงเทียนแก้ไข ชายหนุ่มผู้เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนแสนสง่างามน่าเกรงขาม ก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียยงหัวเราะออกมาด้วยยควาวมถูกใจ “ในที่สุดข้าอาจารย์กับศิษย์เจ้าก็ได้พบกันเสียที…”
“ตอนที่ข้าติดอยู่ในนรกอสุรา ข้าก็ไม่ได้ข่าวของเจ้าเลย ข้าเคยยส่งคนไปหาเจ้าแล้วแต่พบว่าเจ้ามิได้อยู่ในระนาบเซียนอีกต่อไป ไม่พ้นคงขึ้นมายังระนาบเทวโลกแล้ว…”
“แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาศัยเววลาเพียงไม่กี่ปี เจ้ากลับบรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะ…”
ฟงชิงหยางกล่าวถึงจุดนี้ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ขณะเดียวกันผู้เฒ่าหั่วก็ลอบจากไปอย่างเงียบงัน ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนอยู่กับฟงชิงหยาง 2 คน
“ข้ามีโชควาสนาอยู่บ้าง”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นคล้ายนึกอะไรได้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทันที “ท่านอาจารย์ ที่ท่านต้องเข้าสู่นรกอสุรา ต้นเหตุล้วนเกิดจากข้า ต้องงขอขอภัยต่อท่านด้วน…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก”
ฟงชิงหยางส่ายหัว “ฟ้าดินนี้ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปตามโชคชะตา…เจ้าอาจรู้สึกผิดคิดมากเพราะเป็นต้นเหตุทำให้ข้าเข้าสู่นรกอสุรา แต่หากข้าไม่ได้เข้าสู่นรกอสุรา ข้าก็คงไม่ได้เป็นข้าอย่างทุกวันนี้…”
สำหรับฟงชิงหยางแล้ว การที่ต้องหลบหนีเข้าสู่นรกอสุราในปีนั้น ทำให้มันพานพบภยันตราย 9 ตาย 1 รอดมากมาย สุดท้ายถึงบรรลุสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้
กล่าวได้ในระดับหนึ่งว่า ต้วนหลิงเทียนทำให้มันพบพานโอกาสครั้งใหญ่
ด้วยเหตุนี้ใจมันจึงนึกถึงต้วนหลิงเทียนอยู่เสมอ หลังจากออกจากนรกอสุราในปีนั้น ก็เร่งให้คนสนิทออกไปตามหาต้วนหลิงเทียนทันที ยังรวมถึงคนที่พบเจอใกล้ๆทางเข้าออกนรกอสุราอีกด้ววย
“อาจารย์ ข้าได้ยินมาว่า…ท่านบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อืม”
ฟงชิงหยางพยักหน้า “ท่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ ก็คือร่างอวตารกฏแห่งดินของข้า”
“มิน่าล่ะ…”
พอคิดถึงฉากการปรากฏตัวของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้วว่านี่คือร่างอวตารกฏที่วารีเทพชำระโลกาเคยกล่าวถึงมาก่อน
วารีเทพชำระโลกาเคยบอกเขาว่า หลังจากที่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ขอเพียงเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการ ก็จะสามารถควบรวมสร้างงร่างงอวตารกฏของกฏนั้นๆได้
ร่างอวตารกฏนั้นสามารถแยกกับร่างหลักและไปไหนมาไหนได้อิสระ มีพลังความแข็งแกร่งเท่ากับพลังของกฏที่ควบสร้าง ส่วนพลังที่ใช้ในการก่อร่างก็คือพลังเทพ
“ไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะเชี่ยวชาญกฏแห่งดินด้ว”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ เท่าที่เขารู้มา อีกฝ่ายคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฏทำลายล้าง แน่นอนว่ากฏทำลายล้างย่อมแข็งแกร่งที่สุด
เต๋ากระบี่…มุ่งสู่วิถีทำลายล้าง
และกฏทำลายล้างของฟงชิงหยาง ก็ได้เข้าใจผ่านเต๋ากระบี่ และตั้งแต่ที่เข้าใจวิถีกระบี่ของตัว พลังอำนาจกฏทำลายล้างของฟงชิงหางก็น่ากลัวสุดที่ใครจะเทียบได้
“พอดีข้าเชี่ยวชาญทั้งกฏทำลายล้างและกฏแห่งดินน่ะ”
ฟงชิงหยางหัวเราะ
หลังจากสนทนากับต้วนหลิงเทียนไปตามประสาสักพัก ในที่สุดฟงชิงหยางก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในปีนั้น คนที่คิดจะฆ่าข้าได้ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเจ้าได้รับมรดกของข้า…มันยังบอกอีกว่านี่เป็นราคาที่ข้าต้องจ่ายเมื่อมีเจ้าเป็นผู้สืบทอด”
“เจ้านั่นเป็นครึ่งก้าวเทพ ความเข้าใจในกฏก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย กอปรกับอุปกรณ์เทพในมือมันเหนือกว่ากระบี่อมตะระดับจักรพรริในมือข้า ทำให้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
“มันบอกข้าว่ามัมาจากระนาบเทพอย่าง ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ…”
“เจ้าไปมีเรื่องมีราวกับตัวตนระดับนี้ได้อย่างไรหรือ?”
ฟงชิงหยางร้อยพันหมื่นคาดก็ไม่เคยคิด ว่าต้วนหลิงเทียนที่สมควรอยู่ในระนาบโลกียะ ไฉนไปมีเรื่องมีราวอะไรกับคนของระนาบเทพได้?
“ท่านอาจารย์ เรื่องนี้เป็นเพราะภรรยาของข้า เค่อเอ๋อ…”
ได้ยินคำถามด้วยความอยากรู้ของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เพียงเล่าเรื่องราวในปีนั้นออกไปทีละเรื่อง “…คนที่ไปลงมือกับท่าน มันเป็นเพียงข้าทาสของอวิ๋นชิงเหยียนแห่งสกุลอวิ๋นเท่านั้น”
“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าที่แท้ว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้”
หลังได้ยินเรื่องราวจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ฟงชขิงหยางก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความเข้าใจ “ไม่แปลกใจเลย ที่ไฉนเจ้าถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ในเวลาไม่กี่ร้อยปี…”
“ที่เจ้ากำลังพยายยามอย่างหนักเพื่อที่จะขึ้นไปช่วยภรรยาของเจ้าทันทีที่ช่องทางเชื่อมต่อระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออก…”
ไม่ใช่เรื่องยากที่ฟงชิงหยยางจะเดาได้ ว่าความสำเร็จในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียนนั้นเกิดจากแรงผลักดันจากตระกูลอวิ๋นอันทรงพลังในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้พูดอะไร สองตาฟงชิงหยางก็ฉายประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จงใจเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว…เจ้าตามข้าไปลั่วสุ่ยเทียนเถอะ”
มันรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่เอ่ยถามออกมา เพราะสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากเปิดแผลเก่าของศิษย์เลย