กฏที่ซูหลี่เชี่ยวชาญก็คือกฏทำลายล้าง ดุจเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน
ด้วยเหตุนี้ฟงชิงหยาง จึงพาซูหลี่ไปชี้แนะอยู่ช่วงหนึ่ง
เป็นธรรมดาว่าคำชี้แนะของฟงชิงหยางที่มอบให้ซูหลี่ ไม่อาจเหมือนกับคำชี้แนะที่มอบให้ต้วนหลิงเทียนได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฟงชิงหยางชี้แนะก็คือการให้ซูหลี่เห็นการใช้พลังของกฏทำลายล้างที่ผ่านการขัดเกลามานาน
ถึงจะเป็นเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็สามารถเป็นแนวทางให้ซูหลี่นำไปต่อยอดได้มากมาย
อีกทั้งฟงชิงหยางก็ไม่ได้หวงความรู้ และชี้แนะซูหลี่เท่าที่จะทำได้ ให้ซูหลี่ได้เห็นการใช้กฏทำลายล้างที่ตนขัดเกลาและบรรลุถึงหลังใช้เวลาฝึกปรือมาเนิ่นนานทีละอย่างๆ ซึ่งการมีตัวอย่างให้ชมดูแบบนี้ ก็ทำให้ปริศนามากมายในใจของซูหลี่ได้รับคำตอบ…แน่นอนว่ากว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ก็ต้องอาศัยเวลาฝึกปรืออีกมาก
เช่นนั้นความแข็งแกร่งของซูหลี่ในปัจจุบัน แม้จะเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนไม่ได้รับคำชี้แนะของฟงชิงหยาง แต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอะไร
เพราะซูหลี่ไม่มีเวลาย่อยความรู้และความเข้าใจที่ได้จากการชี้แนะของฟงชิงหยาง
ฟั่ฟฟ!!
จะอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ความแข็งแกร่งของซูหลี่จะเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับวันแรกที่มาถึงหยวนสื่อเทียน แต่ก็มีความก้าวหน้าพอสมควร และบัดนี้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็ผสานรวมกับกฏทำลายล้าง กลายเป็นกระบี่สีเลือดคลุมกาย พุ่งทะลวงฝ่าวงล้อมห่าพิรุณลำแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงได้ไม่ยากเย็น
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์พอเห็นสถานการณ์ของซูหลี่ ใบหน้าที่สงบก็เริ่มยิ้มออก เพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าซูหลี่กำลังเป็นฝ่ายมีเปรียบ ‘ดูเหมือนว่าการประลองครั้งนี้ โอกาสที่ซูหลี่ชนะจะมีมากกว่าแพ้หลายส่วน’
และอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคาดไว้ ซูหลี่ที่พุ่งฝ่าห่าพิรุณลำแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงมา ก็รุกไล่เสียจนทั่วป๋าฟิงได้แต่เคลื่อนร่างหลบหนีไปพลาง ควบบคุมลำแสงกระบี่จู่โจมสกัดกั้นซูหลี่ไปพลาง เรียกว่าควบคุมพลังจนมือเป็นระวิง
บนสังเวียนบัดนี้ ซูหลี่สามารถรุกไล่เข้าถึงตัวทั่วป๋าผิงได้แล้ว ต่างรีดเค้นพลังความแข็งแกร่งขีดสุดระดับเทพสงคราม 3 ดาราออกมาเต็มพิกัด ร่างกระบี่สีเลือดกับร่างคนสีทองพร้อมกระบี่สีมรกตพัวพันกันอย่างแยกไม่ออก
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
เสียงหอนกระบี่ดังขึ้นจากสังเวียนไม่หยุดหย่อน ทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นเซียนกระบี่ไม่ต่าง กระบี่ 2 เล่มที่ตวัดฟันเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา พร้อมพลังที่ใช้ออกอย่างแยบคาบ ทำให้การประมือแลดูลุ้นระทึกน่าตื่นเต้นไม่น้อย
“ทั่วป๋าผิงนับว่ายอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ!”
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าทั่วป๋าผิงจะมีพังฝีมือระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว”
…
หลายคนอดไม่ได้ที่จะตกใจกับพลังฝีมือของทั่วป๋าผิง เพราะก่อนหน้านี้แม้ทุกคนจะรู้แล้วว่าทั่วป๋าผิงสมควรอยู่ในระดับเทพสงคราม 3 ดารา ทว่าก็น่าจะอยู่แค่กลางๆเท่านั้น ไม่ได้เป็นชนชั้นยอดฝีมือแต่อย่างไร
แต่ตอนนี้เมื่อทั่วป๋าผิงประมือกับซูหลี่เป็นพัลวัน ทั้งคู่เผยให้เห็นชัดเจนว่าระดับพลังได้มาถึงจุดสูงสุดของเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว
และแน่นอนว่าเป็นซูหลี่ที่ยอดเยี่ยมกว่า และน่าทึ่งกว่า!
“ให้ตายเถอะ! ซูหลี่คนนี้พึ่งจะมีอายุได้ 600 ปีเศษจริงๆเหรอ ไฉนร้ายกาจนักล่ะ ทั่วป๋าผิงได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้แล้วนั่น!”
“อายุได้ 600 ปีเศษแต่กลับมีพลังระดับนี้…นี่ถ้าให้เวลามันอีกสัก 2-300 ปี ตอนมันอายุได้ 900 เศษหากอัตราความก้าวหน้าไม่ลดลง ไม่ใช่ว่าจะมีพลังฝีมือเทียบได้กับเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือหรือไร และก่อนจะอายุครบพัน ไม่ใช่ว่าอาจเป็นได้ถึงเทพสงคราม 6 ดาราเลยหรือ?”
“นี่ถ้าข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ให้ใครมาบอกข้าให้ตายว่าคนที่มีอายุเกินครึ่งพันมาร้อยปีเศษจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ ข้าไม่มีวันเชื่อแน่”
“พลังฝีมือที่ซูหลี่ใช้ออก เกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่า ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของ ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์ในตำนานของจี้เมี่ยเทียนเลย…แถมทั้งคู่เหมือนจะเป็นเพื่อนกันอีก อายุก็ไล่เลี่ยกันด้วย”
“บังเอิญข้ามีศิษย์น้องที่รู้จักคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะ และประสบผลสำเร็จที่นั่นไม่น้อย…ก่อนเริ่มศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ข้าได้ยินมันพูดถึงซูหลี่กับต้วนหลิงเทียนด้วย เห็นว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่สหายทั่วไป แต่ล้วนมาจากระนาบโลกียะเดียวกัน และเป็นสหายกันมาตั้งแต่บนระนาบโลกียะเลย”
“อะไร? ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มาจากระนาบโลกียะเดียวกันหรือ! ให้ตายเถอะ…ระนาบโลกียะบ้านเกิดทั้งคู่มีดีอันใด ไฉนเพาะสร้างตัวตนท้าทายสวรรค์ระดับนี้ได้ถึงสองคน?”
…
ในขณะที่หลายๆคนกำลังประทับใจกับความแข็งแกร่งของซูหลี่ ก็มีบางคนที่เอ่ยถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มาจากระนาบโลกียะเดียวกันออกมา ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ และที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือ…ที่แท้ซูหลี่เองก็เป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเหมือนต้วนหลิงเทียนด้วย!
2 คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา และมีอายุได้ 600 ปีเศษ…กลับบรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับนี้แล้ว?
พวกมันหลายๆคนที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของระนาบเทวโลก ทั้งๆที่มีจุดเริ่มต้นดีกว่า และเกิดมาในระนาบเทวโลกแท้ๆ แต่ในวัยเดียวกันยังด้อยกว่าทั้งคู่มาก…สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าเสมือนชีวิตของพวกมันที่อยู่มาหลายปี มันไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัขเมื่อเทียบกับทั้งคู่หรือไร?
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มา หลายคนได้ยินมานานแล้ว ยังได้ยินก่อนที่จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางจะลงมือทำลายร่างอวตารของจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนเสียอีก
“จะว่าไปต้วนหลิงเทียนก็มาจากระนาบโลกียะเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง…เช่นนั้นกล่าวได้ว่าซูหลี่ก็มาจากที่นั่นด้วยน่ะสิ?”
“ข้าล่ะทึ่งจริงๆ ปกติเรื่องที่มีผู้ขึ้นสวรรค์อันร้ายกาจและกลายเป็นตัวตนลือนามล้วนเป็นจุดขายของระนาบเหยียนหวง…และข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีระนาบโลกียะไหน สามารถเพาะสร้างอัจฉริยะแห่งยุคเช่นนี้ได้หลายคนอีกเลย!”
…
ตอนนี้หลายคนเริ่มรู้สึกสนใจระนาบเซียน ซึ่งเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียนขึ้นมาบ้างแล้ว
และตอนนี้ไม่เพียงแต่ซูหลี่เท่านั้นที่กลายเป็นจุดสนใจ ต้วนหลิงเทียนที่นั่งชมดูการประลองอยู่บนอัฒจันทร์เองก็พบว่ามีสายตามากมายหลายคู่กำลังมองมาที่เขาด้วยความเร่าร้อน
“มีโอกาสสูงมากที่ซูหลี่จะชนะรอบนี้”
ถังซานเป่าที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน ก็คลี่ยิ้มกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น…ขึ้นอยู่กับว่าบัดนี้ทั่วป๋าผิงได้ใช้ออกทุกสิ่งแล้ว ไม่หลงเหลือไพ่ตายใดๆอีก”
จางเทียนโย่วเริ่มขมวดคิ้วเบาๆ “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่มั่นใจว่าที่แท้เป็นเรื่องจริงหรือไม่…ข้าได้ยินมาว่ากระบี่อมตะคู่กายเล่มนั้นของทั่วป๋าผิง ที่แท้มันเป็นกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์ด้วย…และเห็นว่าเป็นบรรพบุรุษของตระกูลทั่วป๋ามอบให้มันเป็นของขวัญวันเกิดอายุ 900 ปี”
“กระบี่อมตะที่มีวิญญาณ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันที เขาย่อมรู้ซึ้งถึงความต่างระหว่างอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์กับไม่มีดี…
“ซูหลี่…”
และในขณะเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะส่งเสียงผ่านพลังไปถึงซูหลี่ อยู่ๆทั่วป๋าผิงที่ตกเป็นรองและถูกซูหลี่รุกไล่จนทำได้แค่ต้านทานพลางถอยถ่ายเดียวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า “ดี! ดี! ดีมาก! ครั้งนี้สนุกจริงๆ!!”
“ซูหลี่ ความร้ายกาจของเจ้าทำให้ข้าต้องประหลาดใจจริงๆ”
“ในแง่พลังฝีมือส่วนตัวแล้ว ข้าพูดได้โดยไม่อายปากเลยว่าข้าด้อยกว่าเจ้าเล็กน้อย”
“อย่างไรก็ตาม ศึกอัจฉริยะสวรรค์มิได้วัดกันแค่พลังฝีมือส่วนตัวถ่ายเดียว ความสำคัญของอาวุธอมตะเองก็มีไม่น้อยเช่นกัน!”
พอเสียงของทั่วป๋าผิงดังจบคำ จากนั้นกระบี่สีมรกตของมันอยู่ๆก็ปรากฏแสงสีเขียวพวยพุ่งออกมา จากนั้นแสงสีเขียวดังกล่าวก็กลับกลายเป็นเงาร่างสิ่งมีชีวิตอันน่ากลัวตัวหนึ่งลอยล่องอยู่เหนือกระบี่!
“ให้ตายเถอะ นั่นมันจิตววิญญาณสถิตย์กระบี่!”
“เป็นศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์อีกแล้ว!”
…
พอเงาร่างสัตว์ร้ายน่ากลัวที่ปรากฏขึ้นเหนือกระบี่สีมรกตในมือทั่วป๋าผิง เริ่มผสานรวมเข้ากับกระบี่อีกครั้ง กลิ่นอายพลังของกระบี่ในมือทั่วป๋าผิงก็แปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน ยังทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรงไม่น้อย ราวกับมีพลังอานุภาพเหนือล้ำประกาหนึ่งฉาบเคลือบกระบี่สีมรกตของทั่วป๋าผิงเอาไว้
ฟั่ฟฟฟ!!
ต่อมาทั่วป๋าผิงก็ไม่คิดใช้ทักษะกระบี่มหัศจรรย์ใดอีก อาศัยเพียงพลังของกระบี่ในมือ ผสานรวมกับพลังของกฏแห่งทองที่แตกฉาน จนทำให้กระบี่สีมรกตบัดนี้ได้เต็มไปด้วยแสงพลังสีทอง เผยพลังอันน่าพรั่นพรึงออกมา!
เพียงเวลาพริบตา ซูหลี่ที่กำลังมีเปรียบก่อนหน้า ก็เริ่มถูกพลังของกระบี่มือทั่วป๋าผิงสะกดข่ม
เรียกว่าทั่วป๋าผิงอาศัยแค่พลังของตัวกระบี่อย่างเดียว ก็พลิกกลับสถานการณ์ได้ทันที
“ช่างเป็นกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิที่ทรงพลังนัก!”
หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พอมองไปยังกระบี่ในมือของทั่วป๋าผิงอีกครั้ง สีหน้าซูหลี่ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึมนัก สุดท้ายจึงทำได้แค่ลอบยิ้มขื่นขมอยู่ในใจ และเริ่มเสียดายที่ปฏิเสธความหวังดีของงประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะไป
ก่อนที่จะมาเข้าร่วมในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ประมุขนิกายหมื่นกระบี่หายนะก็เสนอว่าจะให้ซูหลี่หยิบยืมกระบี่อมตะประจำนิกายออกมาแล้ว และเป็นกระบี่อมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณอันร้ายกาจนัก
ยังร่ำลือกันอีกว่าเพราะวิญญาณกระบี่ที่สถิตย์อยู่ในกระบี่เล่มนั้นได้เข่นฆ่าวิญญาณสถิตย์ศาสตราอมตะอื่นมามากมาย ทำให้มันมีพลังอำนาจสะกดข่มเหล่าวิญญาณสถิตยญ์ศาสตราไม่น้อย!
เมื่อเห็นซูหลี่ถูกกดดันจนร่วงตกจากฟ้า เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา “ข้าหลงคิดว่าซูหลี่กำลังจะชนะแล้วเสียอีก แต่ใครจะไปรู้ว่ากระบี่อมตะเล่มนั้นของทั่วป๋าผิงจะมีวิญญาณกัน…อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิที่มีวิญญาณกับไม่มี พลังอำนาจแตกต่างกันมากพอสมควรเลย!”
ด้านต้วนหลิงเทียนเอง หว่างคิ้วก็เริ่มขดย่นเป็นปม
ตอนนี้เว้นเสียแต่ซูหลี่จะชักกระบี่เทพที่เขาเคยมอบให้ในซากปรักหักพังของระนาบเทพออกมา หาไม่แล้วแทบไม่มีทางเอาชนะทั่วป๋าผิงได้เลย
อย่างไรก็ตาม ถึงในมือซูหลี่จะมีกระบี่เทพอยู่ แต่จะนำออกมาใช้ตอนนี้ มันไม่ควรอย่างยิ่ง!
เพราะเมื่อนำออกมาแล้ว ไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าของสาธารณะชนแน่นอน
คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!
เป็นธรรมดาว่าคงไม่มีใครกล้าลงมือเล่นงานซูหลี่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน แต่พอกลับไปนิกายกระบี่หมื่นหายนะเกรงว่าคงต้องพบเจอกับคนคิดไม่ซื่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง…เพราะความเย้ายวนของอุปกรณ์เทพมันมากเกินไป!
ต่อให้วันนี้อาจารย์เขาจะออกปากว่าจะให้ความคุ้มครองซูหลี่ แต่ก็ไม่อาจป้องกันคนคิดไม่ซื่อได้ เพราะสุดท้ายหากเสี่ยงลงมือช่วงชิงโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วใครจะทำอะไรได้?
และต่อให้อาจารย์เขาจะทิ้งรอยประทับจิตเทพไว้บนร่างซูหลี่ ทำให้ยามซูหลี่โดนเล่นงานก็สามารถรับรู้ได้ทันที แต่ระยะทางเล่า? กว่าจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ไหนจะเดินทางไปยังสถานที่ๆซูหลี่เกิดเรื่อง เกรงว่าคงสายเกินการณ์แล้ว!
“ซูหลี่ หากไม่ไหวก็อย่าฝืน ยอมแพ้ไปเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังถึงซูหลี่ “อย่านำกระบี่เทพเล่มนั้นออกมาใช้ดีกว่า”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าซูหลี่ก็สมควรตระหนักถึงเรื่องนี้ดีแก่ใจ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลด้วยกลัวว่าหากซูหลี่สิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ จะเลือกชักอาวุธออกมาลงมือ แล้วหมายหาทางแก้ภายหลัง…
ซูหลี่ตอนนี้ก็กำลังต้านทานรับมือห่าพิรุณลำแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงที่ทรงพลังอาจและมีความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมหลายส่วนจนมือเป็นระวิง ย่อมไม่มีเวลาเหลือพอจะหันไปส่งเสียงผ่านพลังตอบต้วนหลิงเทียน
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดส่งเสียงผ่านพลังไปหาซูหลี่สืบไป เพราะเขารู้ดีว่าซูหลี่รับทราบแล้ว ส่งไปอีกก็รังแต่จะกวนสมาธิเปล่าๆ
ปงงงง! !
ตูมมมม!!
…
บัดนี้ทั่วร่างของทั่วป๋าผิงสองสว่างไปด้วยแสงพลังงสีทอง คนยืนอยู่ราวกับเทพทองคำ ในมือถือไว้ด้วยกระบี่อมตะสีมรกต ทั่วกระบี่เปล่งแสงพลังอย่างร้ายกาจ ส่งรังสีพลังผสมปนเปไปกับแสงกระบี่สีทองที่ซัดพุ่งถล่มลงมาจากฟ้าไม่หยุดหย่อน ลำแสงกระบี่ที่ถล่มลงเป็นสาย มองไกลๆยังเหมือนแส้อันเขื่องที่กำลังฟาดเคี่ยวกรำซูหลี่อย่างไรอย่างนั้น
ด้านซูหลี่ตอนนี้ แสงพลังกระบี่ที่เปล่งออกมาคลุมกายก็แลดูหมองลงถนัดตา
ถึงแม้จะพยายามเร่งเร้าพลังประคองสภาวะ ต้านทานรับมือทั่วป๋าผิงเต็มที่ อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เร่งพลังทำลายลำแสงกระบี่ที่ทั่วป๋าผิงซัดออก พลังสภาวะก็ลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ซูหลี่ เจ้ายอมแพ้เถอะ”
ทั่วป๋าผิงเอ่ยออกเสียงเฉย
ด้านซูหลี่บัดนี้ไม่ทราบเป็นอะไร แม้จะเผชิญหน้ากับห่าลำแสงกระบี่ชุดใหม่ของทั่วป๋าผิง ทว่าคนกลับหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน เอาแต่มองจ้องห่าพิรุณลำแสงกระบี่ชุดใหม่ที่ถล่มลงมาไม่วางตา
และพริบตาเดียวลำแสงกระบี่กลุ่มใหม่ก็พุ่งตัดระยะมากว่าครึ่งแล้ว
ทว่าซูหลี่ก็ยังคงยืนนิ่งประคองพลังสภาวะในระดับเดิม ไม่ได้แลดูตั้งใจจะเร่งเร้าพลังต้านทาน หรือหลบหนีเลย
จังหวะนี้ทั่วปาผิงเองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
มันไม่ต้องการฆ่าซูหลี่
อย่างไรก็ตาม ลำแสงกระบี่ที่มันซัดออกไป ก็เป็นดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร หากซูหลี่ไม่กล่าวคำยอมแพ้ หรือบดขยี้ป้ายหยก มันก็ช่วยอะไรไม่ได้!