ตอนที่ 3491 เผ่าพันธุ์ภูต

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ตอนที่ 3,491 : เผ่าพันธุ์ภูต
  อวี๋ตงฟางติดต่อต้วนหลิงเทียนไปโดยใช้การส่งเสียงผ่านพลัง…
  ทว่าตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนกลับพูดเรื่องราวออกมาตรงๆ ทำให้ทุกคนได้ยินกันหมด
  “ต้วนหลิงเทียน!”
  อวี๋ตงฟางหน้าเปลี่ยนสีทันที ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะทำอะไรแบบนี้
  ต้วนหลิงเทียนเคยรับปากอาจารย์มันแล้วว่าจะชดใช้หนี้ที่ติดค้างเอาไว้ครั้งหนึ่ง ทว่าเรื่องราวตรงหน้า ก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนพูดไว้ จักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนสามารถเพิกเฉยคำพูดของต้วนหลิงเทียน และเลือกที่จะฆ่าคนต่อได้ตามใจ…
  หากฟงชิงหยางยืนกรานจะฆ่าคน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดขัดขวาง!
  เรียกว่าคำพูดเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน ไม่ต่างอะไรจากการเปิดเผยเจตนาว่า ‘ท่านอาจารย์ หากท่านคิดฆ่าก็ฆ่า ไม่ต้องสนใจคำพูดข้า’ สิ่งนี้ยังต่างอะไรกับบอกฟงชิงหยางเป็นนัยว่าให้ลงมือได้เลย?
  “ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่กงซุนซวนหยวนมันเอ่ยขอให้เจ้ารับปากมันเรื่องหนึ่ง ไม่พ้นคิดเผื่อมาถึงวันนี้แต่แรก…”
  ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฟงชิงหางก็คลี่ยิ้มเฉยเมย “มันไม่พ้นคิดคำนวณเอาไว้แล้ว ว่าจะช้าจะเร็วอาจเกิดเรื่องราวทำนองนี้ขึ้น จึงคิดหาหนทางรองรับเผื่อเอาไว้…”
  คำกล่าวของฟงชิงหยางก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที
  ใช่!
  กงซุนซวนหยวนนั่น จะอย่างไรก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งซวนหยวนเทียน ว่ากันตามปกติแล้วยังมีอะไรที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอีก?
  ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวยังเกิดขึ้นหลังจากที่ยูไลใช้สำนึกเทวะตรวจสอบร่างกายเขาด้วย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดดี!
  หากจะบอกว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ มันก็จะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?
  เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ กอปรกับคำพูดเมื่อครู่ของอาจารย์เขา บ่งชี้ชัดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก เป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งซวนหยวนเทียน กุงซุนซวนหยวน คาดไว้แล้วว่าสักวันอาจเกิดเรื่องราวอย่างวันนี้ขึ้น เช่นนั้นจึงลำเลิกบุญคุณกับเขา
  จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนถูกคนขุดหลุมดัก
  โดนหลอกแบบนี้ ใครบ้างไม่มีโมโห!
  เพราะสุดท้ายแล้ว หากวันนี้ไม่ใช่เพราะอาจารย์สามารถมาช่วยเขาได้ อาศัยกำลังของเขาเอง ต่อให้ลงมือสุดตัว เกรงว่าก็คงยากจะต่อต้านยูไลได้
  “ท่านอาจารย์ หากท่านยืนยันเรื่องฆ่ามัน ต่อให้ข้าจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงของท่าน ก็คงยากจะเปลี่ยนความตั้งใจท่านได้…สุดท้ายข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีศิษย์คนไหนจะเปลี่ยนความตั้งใจของอาจารย์ได้”
  สองงตาต้วนหลิงเทียนฉายชัดถึงจิตสังหารอันน่ากลัว เสียงกล่าวยังเย็นลง
  เพราะวันนี้เขาถือว่าเกือบตาย!
  “ช่างเถอะ”
  ฟงชิงหยางกล่าวคำเสียงเรียบ “ในเมื่อเจ้ารับปากกงซุนซวนหยวนไว้แล้ว ว่าจะชดใช้บุญคุณมัน…เช่นนั้นข้าก็ถือว่าช่วยเจ้าชดใช้หนี้บุญคุณมันให้จบๆไป…สุดท้ายหนี้ใดในใต้หล้าที่ยากชดใช้ที่สุดก็คือหนี้บุญคุณ ชำระได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
  กล่าวจบคำฟงชิงหยางก็สลายข่ายแสงกระบี่ที่ล้อมกักร่าง ยูไล หรือที่แท้ก็คือพระอาจารย์หมี่เยี่ยนออก เป็นแสงกระบี่ที่ควบสร้างจากพลังของกฏแห่งดิน!
  “ยูไล วันหน้าอย่าได้หวังว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
  ฟงชิงหยางเอ่ยเสียงเบา
  ยูไล ที่บัดนี้ได้ถูกพระอาจารย์หมี่เยี่ยนครอบงำสติ เหลือบมองฟงชิงหยางด้วยสายตาเย็นชา “ฟงชิงหยางเรื่องวันนี้ข้าจักจำไว้ไม่มีลืม…หลังจากนี้ร้อยปี ข้าจักไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนตามสัญญา และเข่นฆ่ากับเจ้าไม่ตายไม่เลิกรา!”
  พระอาจารย์หมี่เยี่ยนนั้น สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดคือทักษะวิญญาณ
  และตอนนี้จิตวิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลงมือวันก่อนของฟงชิงหยาง เช่นนั้นความแข็งแกร่งของมันจึงลดลงอย่างมาก พลังที่มันใช้ได้วันนี้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพลังทั้งหมดด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้มันถึงได้ตกเป็นรองฟงชิงหยางแต่ต้นจนจบ ไม่อาจแข็งขืนต่อต้านอะไรได้เลย เรียกว่าที่เอี้ยวตัวหลบแสงกระบี่สังหารได้ ก็เสมือนการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของปลาบนเขียงเท่านั้น….
  ตอนนี้ในใจมันเจ็บแค้นนัก แทบรอให้จิตวิญญาณฟื้นฟูสมบูรณ์และสู้กับฟงชิงหยางไม่ไหวแล้ว!
  “จะมาตอนไหนก็มาข้ารอได้”
  ได้ยินวาจาท้าทายของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนสีหน้าฟงชิงหยางก็แลดูเฉยเมยไร้แยแส เสียงพูดก็สงบไม่คล้ายนำพา ราวกับพึ่งรับปากเรื่องราวอันไร้สำคัญ
  “หึ!”
  พระอาจารย์หมี่เยี่ยนพ่นลมขึ้นจมูกเสียงเย็น ก่อนจะเหินร่างจากไปไม่เหลียวหลัง
  ด้านอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มามุงชมเรื่องราว นอกจากที่สนิทกับต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็แยกย้ายจากไปทำเรื่องของตัวเองต่อ
  ด้านอวี๋ตงฟาง ก่อนที่จะจากไป ยังไม่วายถลึงตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง
  และพอต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาเอาเรื่องของมัน ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองมันกลับ
  จากนั้นเสียงผ่านพลังของอวี๋ตงฟางก็ดังขึ้นเข้าหูเขา “ต้วนหลิงเทียน วันนี้เจ้าทำเกินไป…หากข้าเจอเจ้าในศึกอัจฉริยะสวรรค์เมื่อไหร่ ก็อย่าได้หวังว่าข้าจะเมตตาปราณีเจ้า!”
  เสียงผ่านพลังดังกล่าวของอวี๋ตงฟาง ทำให้ต้วนหลิงเทียนผงะไปด้วยความอึ้ง จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้า? เมตตาปราณีข้า?”
  “ขออภัย…ต่อหน้าข้า เกรงว่าอาศัยเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดคำว่า ‘เมตตาปราณี’…”
  คำตอบของต้วนหลิงเทียนก็ตรงไปตรงมา บอกกันชัดๆว่า อาศัยเจ้าอวี๋ตงฟาง ไม่มีความสามารถพอจะไว้หน้าข้าต้วนหลิงเทียน!
  ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน อวี๋ตงฟางก็มองลึกมายังต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง ก่อนจะจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
  ทุกอย่างล้วนรอให้พบพานกันในศึกอัจฉริยะสวรรค์ แล้วค่อยใช้หมัดเท้าสนทนากัน!
  “ต้วนหลิงเทียน จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน ยูไล นั่น มันคิดจะช่วงชิงร่างของเจ้างั้นเหรอ?”
  ซูหลี่และคนอื่นๆ พอประสานมือคารวะฟงชิงหยางแล้ว ก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
  “ใช่”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ค่อยยิ้มกล่าวเสียงเฉย “แต่ทุกอย่างมันจบแล้ว”
  “ข้าได้ยินมาว่า จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียนยูไลผู้นั้น ได้บรรลุร่างอรหันต์พุทธะทองคำอะไรสักอย่าง ทั้งยังเข้าถึงวิถีไร้สิ้นสุดโดยสำเร็จถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว…ไฉนมันยังต้องการช่วงชิงร่างของเจ้าอีก? มันจะทำไปเพื่ออะไรกัน?”
  ถังซานเป่ากล่าวถามด้วยความงุนงง เพราะการชิงร่างของต้วนหลิงเทียนยังต่างอะไรกับลดระดับพลังฝึกปรือและความสำเร็จชั่วชีวิตของตัวเอง?
  “ก่อนที่ท่านอาจารย์ของข้าจะปรากฏตัว มันได้เปิดเผยจุดประสงค์ชัดเจนแล้ว ว่าที่มันต้องการช่วงชิงร่างของข้า ล้วนเป็นเพราะข้าเข้าถึง 2 ในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก…ดูเหมือนมันจะมีวิธีดึงความเข้าใจจากจิตวิญญาณข้า เพื่อบรรลุ 2 วิถีที่ข้าเข้าใจอะไรทำนองนั้น…”
  พอนึกถึงเรื่องที่ยูไลพูดออกมาก่อนหน้า แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายหวาดกลัวออกมาวูบหนึ่ง
  “อะไร!?”
  “มันมีวิธีดึงความเข้าใจใน 2 วิถีสวรรค์และโลกจากจิตวิญญาณเจ้าด้วย? เป็นวิชาลับผีสางอันใดกัน?”
  “ให้ตายเถอะ! บ้าไปแล้ว! ใต้หล้ามีอวิชชาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ!?”.
  ถังซานเป่าโพล่งออกมาด้วยความกลัว เรื่องนี้สร้างความตกใจให้มันไม่น้อย เพราะสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดได้ทำลายสามัญสำนึกเกี่ยวกับการชิงร่างที่มันเข้าใจไปหมดสิ้น เพราะที่มันรู้มาการชิงร่างก็ไม่ใช่แค่ทำลายหรือหลอมกลืนจิตวิญญาณคนอื่นเพื่อยึดครองร่างกายเท่านั้นหรือไร?
  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่การชิงร่างผู้อื่น ไม่เพียงจะได้ครอบครองร่างกายผู้อื่น แต่ยังสามารถดึงความรู้ความเข้าใจของผู้อื่นมาเป็นของตัวเองได้? เพราะสุดท้ายกระทั่งการหลอมกลืนวิญญาณที่ว่ากันว่าเป็นศาสตร์การชิงร่างระดับสูงสุด ก็ทำได้แค่ช่วงชิงร่างกายและความทรงจำผู้อื่นโดยไม่ได้รับผลกระทบอะไรเท่านั้น แต่ไม่อาจยึดครองความเข้าใจอะไรได้…
  หากทำอะไรแบบนั้นได้ ไม่ใช่ว่าสามารถปล้นชิงความเข้าใจในกฏ และจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกที่ผู้อื่นเข้าใจได้เป็นว่าเล่นเลยรึไง? เพราะขอเพียงพบเจอรุ่นเยาว์ที่มีความเข้าใจสูง บรรลุกฏสูงสุดไม่ก็จตุรวิถีในสวรรค์และโลกอันใด ก็อาศัยอวิชชาดังกล่าวช่วงชิงร่างและความรู้ของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่หมายตา จากนั้นก็หลบไปบ่มเพาะฝึกปรือให้พลังกล้าแข็ง ค่อยมาเฟ้นหาอัจฉริยะคนอื่นๆเพื่อช่วงชิงร่างสืบต่อ!!
  “ต้วนหลิงเทียน ยูไล นั่นมันเป็นคนจากระนาบโลกียะแน่เหรอ? เจ้ายืนยันได้แน่แล้วว่ามันเป็นมนุษย์จากระนาบโลกียะ?”
  ตอนนี้เอง หลิงเจวี๋ยยอวิ๋นพลันขมวดคิ้วย่นยู่ มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  “ใช่ สมควรเป็นมนุษย์ที่ถือกำเนิดในระนาบโลกียะ”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “อีกทั้งระนาบโลกียะบ้านเกิดมัน…ก็สมควรเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดเดียวกับ จักรพรรดิสวรค์ซวนหยวนเทียน และจักรพรรดิสวรรค์อวี้หวงเทียน ระนาบเหยียนหวง”
  “กล่าวไปแล้ว ระนาบเหยียนหวงนั่นก็ถือเป็นระนาบโลกะบ้านเกิดข้าอีกแห่ง”
  “เรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยความมั่นใจ
  ทุกวันนี้ พอได้พบพานตัวตนในตำนานโลกเก่าบนระนาบเทวโลกทีละคนๆ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้แล้วว่าตัวตนในตำนานโบราณทั้งหลายไม่ใช่ตัวละครที่ใครปั้นแต่งอุปโลกน์ขึ้น แต่เป็นตัวตนที่เคยดำรงบนโลกอยู่จริงๆ!
  “ยูไล เป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่”
  ตอนนี้เองฟงชิงหยางยังกล่าวเสริมออกมาอีกคน “เมื่อ 2,000 ปีก่อน ข้าเองก็เคยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และไปเจอพวกกงซุนซวนหยวน อวี้ห้าวเทียน และยูไลที่นั่น…และสถานที่ดังกล่าวก็มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เข้าไปได้”
  “ไม่มีเหตุผลเลย…”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นขมวดคิ้วย่นเป็นปม “จากบันทึกเรื่องราวที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลข้าเขียนไว้…ในสวรรค์และโลกแห่งนี้ มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่สามารถใช้เคล็ดวิชาลับชิงร่างผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ครั้งหนึ่ง…”
  “และหลังจากใช้เคล็ดวิชาลับดังกล่าว ไม่เพียงจะได้ร่างกายมาครองอย่างไร้ผลกระทบ ยังจะได้รับความรู้ความเข้าใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกฏ หรือความเข้าใจในจตุรวิถีสวรรค์และโลกมาเป็นของตัว”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
  “บันทึกเรื่องราวที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเขียนไว้?!”
  พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกดล่าวจบคำ ไม่ว่าจะซูหลี่หรือถังซานเป่า ก็หันไปมองจ้องมันด้วยสายตาเบิกโพลง
  พวกมันไม่เคยรู้ความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาก่อนเลย รู้แค่ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นเพื่อนของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
  สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้น หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้บอกเรื่องราวความเป็นมากับเขาแล้ว เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำพูดของงหลิงเจวี๋ยอวิ๋น…เพราะตระกูลใหญ่ในระนาบเทพนั้น จะมีผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่เบื้องหลังก็ไม่แปลก
  กระทั่งในระนาบเทวโลกแห่งนี้ ขุมกำลังระดับสวรรค์ หรือเผ่าใหญ่ๆบางเผ่าเอง ก็มีบรรพบุรุษเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน
  และไม่ต้องกล่าวถึงขุมกำลังระดับสวรรค์ด้วยซ้ำ หากเป็นเผ่าพันธุ์ ที่ต้วนหลิงเทียนรู้ๆก็มีเผ่ากิเลนแล้วเผ่าหนึ่ง
  “แล้วเผ่าพันธุ์ที่เจ้าว่าเป็นเผ่าพันธุ์อะไร”
  ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
  “เผ่าพันธุ์ภูต!”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
  “เผ่าพันธุ์ภูต?!”
  ได้ยินคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ฟงชิงหยางก็หรี่ตาลงทันที “เผ่าพันธุ์ภูตนั่น มิใช่เผ่าพันธุ์ที่อยู่ในโลกแห่งความตายหรือไร? ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยได้ยินมาว่าคนของเผ่าพันธุ์ภูตไม่อาจออกจากโลกแห่งความตายได้ หากยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ”
  “ใช่”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “คนของเผ่าพันธุ์ภูตจะไม่อาจออกจากโลกแห่งความตายได้ ถ้าระดับพลังยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ ไม่ว่าจะออกไปด้วยตัวเอง ช่วงชิงร่างผู้อื่น หรือแม้แต่แฝงตัวอยู่ในร่างผู้อื่นก็ไม่อาจกระทำได้ทั้งสิ้น”
  “เพราะก่อนที่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพ เผ่าพันธุ์ภูตจำต้องอาศัยพลังงานเฉพาะในโลกแห่งความตายเพื่อคงสภาพร่างกาย หากไม่มีพลังงานเฉพาะดังกล่าว ร่างของพวกมันจะสลายหายไปในเวลาอันสั้น”
  “ทำให้มีแต่เผ่าพันธุ์ภูตที่บรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถออกมาจากโลกแห่งความตายได้”
  โลกแห่งความตาย!
  ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จึงรู้ว่ามันคือ 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก และมีชื่อเสียงพอๆกับนรอสุรา
  อย่างไรก็ตามในแง่ของความอันตรายแล้ว ยังถือว่าด้อยกว่านรกอสุรามาก
  เพราะนรกอสุรานั้น หากไม่ใช่ขอบเขตเทพล่วงล้ำเข้าไป ก็สิบตายไร้ทางรอด!
  ส่วนในโลกแห่งความตายนั้น มีจักรพรรดิอมตะมากมายที่เข้าไปแล้วสามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้ เช่นนั้นระดับความอันตรายจึงห่างไกลจากนรกอสุรา แต่ว่ากันว่าหากพลัดหลงไปยังสถานที่บางแห่งในโลกแห่งความตาย ต่อให้เป็นเทพก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้เช่นกัน!
  “เป็นไปได้หรือไม่…ที่ยูไลในวันนี้ จักมิใช่ยูไลในอดีต?”
  ทันใดนั้นฟงชิงหยางคล้ายฉุกคิดอะไรได้ สองตาหรี่ลงอีกครั้ง “ไม่แปลกใจเลย ที่ข้ารู้สึกว่ามันคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…”
  ในอดีต ฟงชิงหยางก็เคยพบเจอกับยูไลมาบ้าง
  และตอนนั้นยูไลที่เคยพบเจอก็เป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คนหยิ่งยโสถือดีอันใด มีจิตใจเมตตาอารีย์ต่อสรรพชีวิต ทั้งสุภาพอ่อนโยนเป็นที่สุด ยามอยู่ใกล้ให้ความรู้สึกเสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
  แต่บัดนี้ยูไลกลับให้ความรู้สึกถึงความโหดร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
  “ตามข้าไปยืนยันเรื่องหนึ่ง”
  พอต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆได้ยินคำพูดดังกล่าวของฟงชิงหยาง ไม่ทันที่จะได้ตอบสนองอะไร ฟงชิงหยางก็หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนวูบหายไปต่อหน้าต่อตาซูหลี่และคนอื่นๆราวสายลม…