หากเทียบกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่อย่างนายน้อยของตระกูลในระนาบเทพแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรจากขอทานรากหญ้าที่ห่างชั้นกว่ากันมาก ที่มีวันนี้ได้ทั้งหมดล้วนอาศัยการก้าวเดินทีละก้าวๆมาอย่างมั่นคงเท่านั้น
  ด้วยเหตุนี้ตอนที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงระดับเทพสงคราม 6 ดาราแล้ว ทุกคนก็พากันตกตะลึงถึงขั้นไร้คำใดจะกล่าว
  ดังนั้นแม้พวกมันจะเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยพลังระดับเทพสงคราม 6 ดาราออกมา แต่พวกมันก็ยอมรับได้ไม่ยาก แม้ว่าจะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เสี้ยวความตกใจตอนที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นเทพสงคราม 6 ดารา
  ปงงง!!
  ตูมมมม!!
  …
  การปะทะกันระหว่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและถังซานเป่ายังคงดุเดือดนัก ต่างฝ่ายต่างลงมืออย่างรัดกุม ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำแม้แต่นิดเดียว
  พริบตาก็ผ่านพ้นไปร้อยกว่ากระบวนท่า
  ไม่ทันไรกระบวนท่าที่ 200 ก็ปะทะกันกลางหาวอย่างรุนแรง
  กระทั่งหลังจากผ่านไป 300 กว่ากระบวนท่าแล้ว ทว่าทั้งคู่ยังคงลงมืออย่างใจเย็นไม่ว่าใครก็ล้วนสงบนิ่ง ไม่เผยความร้อนรนหรือความกังวลอะไรออกมาให้เห็นเลย เรียกว่าไม่คิดเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายฉกฉวยสถานการณ์ได้ง่ายๆ
  เรื่องนี้ก็มีอวี๋ตงฟางศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 3 ของกงซุนซวนหยวนนให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างแล้ว เดิมทีการประมือระหว่างมันกับจงกุ้ยอวี่ก็สูสีคู่คี่ แต่เพราะความร้อนใจและวิตกกังวลเรื่องแพ้ชนะมากเกินไป สุดท้ายจึงพลั้งพลาดเสียจังหวะ เปิดโอกาสให้จงกุ้ยอวี่ฉกฉวยสถานการณ์ กอบกุมความได้เปรียบที่ปรากฏในเสี้ยวพริบตา กระทั่งขยายความได้เปรียบดังกล่าวจนเอาชนะไปได้ในที่สุด
  ความพ่ายแพ้ในลักษณะนี้ แน่นอนว่าตัวอวี๋ตงฟางเองก็รู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างมาก
  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะไม่เต็มใจแค่ไหนเมื่อพลาดพลั้งไปแล้วก็ทำได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น
  “พี่น้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
  ในที่สุดถังซานเป่าที่เลือกจะระเบิดพลังเพื่อผละออกจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เมื่อรักษาระยะห่างได้แล้ว มันก็มองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นว่า “ดูท่าระหว่างข้ากับท่าน พวกเราคงยากจะรู้แพ้รู้ชนะ…เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกันดีหรือไม่?”
  “ถึงแม้ข้าจักมีอุปกรณ์เทพที่วิหารเฟิงฮ่าวมอบให้ข้า แต่ข้าเชื่อว่าอย่างท่านก็สมควรมีอุปกรณ์เทพเช่นกัน”
  “แต่ท่านเองก็ไม่นำมันออกมาใช้จนถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าท่านเองก็ไม่คิดจะเอาเปรียบข้าโดยใช้อุปกรณ์เทพ…”
  “ในเมื่อตอนนี้พวกเรา สู้ไปก็สมควรเสมอกัน ก็ให้ยึดอันดับอย่างตอนนี้เลยเป็นไร? ท่านเอาที่ 1 ไปส่วนข้าก็อยู่ในอันดับที่ 2”
  ถังซานเป่ากล่าวออกมาแบบนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับมันพ่ายแพ้เลย
  “อ่า”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้ามาดนิ่ง มันเองก็มองออกว่าระหว่างมันกับถังซานเป่าสู้ไปก็ยากจะรู้แพ้ชนะ กล่าวได้ว่าการต่อสู้กันต่อไป ก็เสมือนการวัดกันว่าใครจะหมดแรงหรือฟุ้งซ่านก่อนกัน…
  แต่นั่นมันช่างเหลวไหลสิ้นดี
  ด้วยพิจารณาจากพลังฝีมือของทั้งคู่ การปลดปล่อยถอนรั้งพลังคืนกลับ ไม่มีใครเป็นชนชั้นต่ำทราม และใจของพวกมันก็ล้วนนิ่งดั่งน้ำในบ่อโบราณ คงยากที่จะหมดแรงหรือวอกแวกจนเผยช่องโหว่ออกมาได้หากไม่สู้กันไปต่ำๆ 2-3 เดือน…
  “แต่ทว่า…”
  ตอนนี้เองถังซานเป่าก็กล่าวออกมาสืบต่อ “ถึงแม้ข้ากับท่านพวกเราจะถือว่าเสมอกัน และข้ามอบอันดับ 1 ให้ท่าน…แต่เหตุผลที่ข้าเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเลยก็เพราะของรางวัลอันดับ 1 อย่างผลอมตะหยวนปะทุ…”
  “อันดับแรก ข้ายอมมอบให้พี่น้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ เพียงแต่ผลอมตะหยวนปะทุนั่นข้าไม่อาจมอบให้ท่านเปล่าๆได้”
  “เช่นนั้นถึงแม้พวกเราจะถือว่าเสมอกัน แต่ข้าหวังว่าพี่น้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นท่านจะมอบผลอมตะหยวนปะทุให้ข้า…และเป็นธรรมดาว่าข้ายินดีจ่ายราคาเพิ่มให้ท่าน”
  “และแน่นอนว่าหากท่านไม่ยอม พวกเราสามารถอาศัยการจับฉลากวัดดวงกันไป ว่าผลอมตะหยวนปะทุจะตกเป็นของใครเช่นกัน”
  กล่าวถึงประโยคสุดท้าย ถังซานเป่าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
  เดิมทีมันคิดว่าเรื่องได้รับผลอมตะหยวนปะทุนั้น สิบในสิบถือว่านอนมาแน่แล้ว แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเป็นเทพสงคราม 6 ดาราเช่นกัน กระทั่งไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันเลย…นอกจากนั้นยังมีต้วนหลิงเทียนที่เผยพลังระดับเทพสงคราม 6 ดาราออกมา และทำให้มันรู้สึกกดดันอย่างประหลาดอีกคน
  กล่าวได้ว่าสัญชาตญาณที่สัมผัสได้ถึงอันตรายของมันรอบนี้ ถูกเผงจริงๆ
  ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
  “เช่นนั้นก็จับฉลากวัดดวงเถอะ”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “เพราะข้าเองก็ต้องการผลอมตะหยวนปะทุเช่นกัน”
  “ประเสริฐ!”
  ถังซานเป่าพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่คิดจะโต้แย้ง เพราะการจับฉลากวัดดวงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับมันจริงๆ เนื่องจากดูท่าแล้วการต่อสู้ระหว่างมันกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคงยากจะหาผู้แพ้ผู้ชนะได้
  “แต่…ข้าว่ายังเร็วไปที่พวกเราจะมาตกลงกันเรื่องนี้”
  พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มันก็อดหันกลับไปมองอัฒจันทร์ด้านหลังไม่ได้ ยังจับจ้องไปยังชายหนุ่มชุดม่วงที่นั่งอยู่ “หรือเจ้าคิดว่า…พวกเราจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่แล้ว?”
  ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตาถังซานเป่าก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “พวกเราจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้หรือไม่ เกรงว่ารอบต่อไปก็ได้รู้แล้วล่ะ”
  ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นับถังซานเป่าตกลงกันได้แล้ว และกำลังจะออกจากสนาม ก็พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ “พวกเจ้าทั้งคู่อย่าพึ่งไปไหน รีบฟื้นพลังและรอคอยในสนามเสีย”
  ในขณะที่เสียงดังกล่าวดังขึ้น ก็มีร่างหนึ่งเหินขึ้นฟ้ามาจากเกาะลอยเล็กๆเกาะหนึ่งเหนืออัฒจันทร์ และมาปรากฏตัวท่ามกลางสาตาของทุกคน
  “เป็นจักรพรรดิสวรรค์ในตำนานแห่งจี้เมี่ยเทียน!”
  “อยู่ๆจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางก็ออกมาแบบนี้…ที่แท้คิดจะทำอะไรกันนะ?”
  “ผู้ใดจะไปรู้ล่ะ…ข้าไม่รู้…เจ้าล่ะรู้รึเปล่า?”
  …
  ในขณะที่ทุกคนกำลังงงงวยกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของฟงชิงหยาง ฉีคงไห้ก็ขมวดคิ้วมองถามฟงชิงหยางออกไปว่า “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ท่านคิดทำอะไรกันแน่?”
  “รองจ้าววิหารฉี”
  ฟงชิงหยางหันไปมองฉีคงไห่ จากนั้นก็ยิ้มบางๆกล่าวว่า “พอดีข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องรีบไปกระทำ และข้าคิดจะพาต้วนหลิงเทียนออกไปด้วย…เช่นนั้นข้าคิดจะให้ต้วนหลิงเทียนสู้กับถังซานเป่าและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อน”
  “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง หากมีเรื่องเร่งด่วนท่านสามารถพาต้วนหลิงเทียนจากไปก่อนได้เลย…ถึงแม้เรื่องอันดับที่ 1 กับ 2 จะไม่อาจปล่อยให้ได้ แต่หากจะให้ต้วนหลิงเทียนอยู่ในอันดับที่ 3 ตอนนี้เลยย่อมไม่มีใครคิดคัดค้านแน่นอน”
  ฉีคงไห่กล่าวออกเสียงเรียบ อย่างไรก็ตามในใจของมันลอบโล่งอกไปเปราะหนึ่ง หากต้วนหลิงเทียนมีเรื่องที่ต้องจากไปจริงๆ ยอมหมายความว่าศิษย์หลานของมันหมดคู่แข่งไปอีกหนึ่งคน
  ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นไม่ธรรมดาเกินไป
  มันไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าศิษย์หลานของมันจะสามารถเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ๆ
  “จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง กฏการประลองศึกอัจฉริยะไม่อาจละเลย เรื่องนี้ท่านคงรู้ดีกระมัง…”
  ฉีคงไห่กล่าวเสริม..
  “ข้าย่อมรู้เป็นธรรมดา”
  ฟงชิงหยางพยักหน้า ค่อยกล่าวสืบต่อ “เช่นนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าคิดให้ต้วนหลิงเทียนสู้ก่อนกำหนด ตามกฏของศึกอัจฉริยะสวรรค์อย่างไรเล่า”
  “หากข้าจำไม่ผิด…ในศึกอัจฉริยะสวรรค์มีกฏพิเศษรองรับกรณีบางอย่างในรอบ 30 คนสุดท้ายอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือหากมีสถานการณ์เร่งด่วนอันใด ก็สามารถท้าประลองนัดพิเศษได้ทุกเวลา”
  “ด้วยอาศัยกฏดังกล่าว…หมายความว่าศิษย์ข้าต้วนหลิงเทียน ก็สามารถประลองชิงอันดับ 1 ได้ทันทีมิใช่รึ?”
  ฟงชิงหยางกล่าว
  “ท่านหมายความว่าอะไร?”
  สีหน้าฉีคงไห่เปลี่ยนไปทันที เมื่อได้ยินฟงชิงหยางกล่าวถึงเรื่องกฏพิเศษออกมา และในใจของมันบัดนี้ก็ปั่นป่วนไปด้วยความตกใจทั้งเหลือเชื่อ
  “ก็เป็นอย่างที่ท่านกำลังคิดนั่นล่ะ”
  ฟงชิงหยางพยักหน้า “ข้าคิดจะให้ต้วนหลิงเทียนประลองกับ 2 คนที่มีอันดับเหนือกว่าพร้อมๆกันอย่างถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ให้ทั้งคู่ร่วมมือกันสู้กับศิษย์ข้าได้เลย…”
  “แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น จำเป็นต้องให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับถังซานเป่าฟื้นฟูพลังให้กลับมาสมบูรณ์พร้อมเสียก่อน…”
  พอฟงชิงหยางกล่าวออกมาจบคำ คราวนี้ทั้งสนามก็พร้อมใจกันเงียบกริบทันที
  มีกฏพิเศษข้อหนึ่งในศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบ 30 คนสุดท้ายจริงๆ
  หากผู้ที่มีอันดับต่ำกว่าเลือกที่จะท้าทายผู้ที่มีอันดับเหนือกว่าทั้ง 2 คนพร้อมๆกัน สามารถออกคำท้าสู้ได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องงประลองตามลำดับรอบของศึกอัจฉริยะสวรรค์
  และนี่ถือเป็น ‘สิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง’
  อย่างไรก็ตาม หากคิดจะใช้สิทธิพิเศษดังกล่าว ท่านต้องมีพลังฝีมือกล้าแข็งสูงพอ
  “สวรรค์! ข้าก็กำลังสงสัยอยู่เชียวว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางออกมาทำอะไร…ไม่คิดเลยว่าที่แท้จะต้องการให้ต้วนหลิงเทียนสู้กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและถังซานเป่าพร้อมๆกันแบบนี้!”
  “ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นเทพสงคราม 6 ดารา แต่ไม่ใช่ว่าถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นเทพสงคราม 6 ดาราเหมือนกันหรือไร?”
  “แล้วเช่นนั้นจักรพรรดิสวรรรค์ฟงชิงหยางไปพกความมั่นใจมาจากที่ใด ถึงคิดจะให้ต้วนหลิงเทียนสู้กับถังซานเป่าและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมๆกัน? การอาศัยหนึ่งสู้สองมิใช่เรื่องราวอันง่ายดายเลย!”
  …
  หลังจากที่ทุกคนฟื้นสติกลับมาได้แล้ว ไม่ว่าจะจักรพรรดิสวรรค์ก็ดี เหล่าอาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวก็ดี ไม่เว้นเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
  กระทั่งติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนที่นั่งข้างๆฟงชิงหยางเอง ก็ไม่คิดเลยว่าน้องฟงของมันจะลุกพรวดออกไปเพราะเรื่องนี้!
  “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนท่านอาจารย์อาฟงจะมั่นใจในตัวศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนมาก”
  เว่ยฉีที่ยืนอยู่ด้านหลังติงฟู่อย่างเรียบร้อยๆและไม่พูดไม่จามาตลอด ยังอดกล่าวออกมาด้วยสองตาเป็นประกายไม่ได้
  “ยังต้องพูดอีกเหรอ ข้าก็เห็นอยู่กับเจ้าเนี่ย…”
  ติงฟู่โพล่งออกมาทำนองเห็นด้วย จากนั้นก็มองจ้องไปยังฟงชิงหยางเขม็ง “หากไม่มีอะไรผิดพลาด ศิษย์หลานต้วนสมควรมีบางอย่างให้พึ่งพิง…บางทีอาจเป็นอะไรที่น้องฟงนำกลับมาจากนรกอสุรา”
  “แต่เป็นธรรมดาว่าอาจเป็นได้ที่ศิษย์หลานต้วนจะยังซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้!”
  ติงฟู่กล่าว
  “ซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้…จนถึงตอนนี้น่ะหรือ?”
  เว่ยฉีตกใจกับความคิดของอาจารย์ไม่น้อย “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าศิษย์น้องต้วนจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 6 ดาราแล้วหรือ? เรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร? ยอดฝีมือเทพสงคราม 6 ดาราที่อายุไม่ถึง 700 ปีเนี่ยนะ?”
  “เหอะๆ ถึงเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 6 ดารา แต่คิดจะเอาชนะถังซานเป่าที่ร่วมมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมกัน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้…เพราะเท่าที่เห็นถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นล้วนไม่ใช่เทพสงคราม 6 ดาราธรรมดาสักคน พวกมันไม่ว่าใคร พลังฝีมือก็ไล่จี้เทพสงคราม 6 ดาราชนชั้นยอดฝีมือมาติดๆแล้ว”
  พอติงฟู่กล่าวถึงจุดนี้ สองตาพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันใด “เว้นเสียแต่…ศิษย์หลานต้วนจะเป็นเทพสงคราม 7 ดารา!”
  “เทพสงคราม 7 ดารา!?”
  ได้ยินดังนั้น เว่ยฉีก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก กล่าวออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เรื่องพรรค์นั้นมันจะเป็นไปได้หรือ? เทพสงคราม 7 ดาราอายุไม่ถึง 700 ปี? ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก ก็ไม่เคยมีบันทึกการปรากฏตัวของเทพสงคราม 7 ดาราอายุไม่ถึง 700 ปีมาก่อนมิใช่หรือ?”
  “เช่นนั้นข้าก็เลยคิดว่าสมควรเป็นอย่างแรกมากกว่ายังไงเล่า…ในมือศิษย์หลานต้วนไม่พ้นต้องครอบครองอุปกรณ์เทพที่น้องฟงได้มาจากนรกอสุราอยู่เป็นแน่! เผลอๆอาจจะเป็นอุปกรณ์เทพที่กำเนิดจิตวิญญาณแล้วด้วยซ้ำ…”
  ติงฟู่กล่าว “เท่าที่ข้าทราบมาอุปกรณ์เทพเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำ…มีทั้งอุปกรณ์เทพระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับสูงสุด รวมไปถึงอุปกรณ์เทพชั้นยอด”
  เห็นได้ชัดว่าติงฟู่เองก็รู้เรื่องราวไม่น้อย
  และสิ่งที่ติงฟู่คิดได้ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอย่างฉีคงไห่ก็คิดได้เหมือนกัน
  มันมองฟงชิงหยางด้วยสายตาเป็นประกายพลางกล่าวว่า “วิหารเฟิงฮ่าวเราได้ตั้งกฏพิเศษนี้เอาไว้ในศึกอัจฉริยะสวรรค์จริง…แต่ข้าในฐานะรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก เพื่อให้การประลองพิเศษนัดนี้ไม่มีการเหลื่อมล้ำเพราะอาวุธที่ใช้มากเกินไป เช่นนั้นข้าขอเพิ่มกฏให้การประลองนัดพิเศษ…มิอาจใช้กำลังภายนอกใดๆได้!”
  “เมื่อมีเงื่อนไขดังกล่าว หมายความว่า ถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่อาจใช้อุปกรณ์อมตะคู่กายได้อีก รวมถึงอุปกรณ์เทพด้วย!”
  “แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจใช้ได้เช่นกัน”
  “กล่าวได้ว่า ไม่อาจใช้พลังภายนอกอื่นใดได้เลย นอกจากพลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น”
  พอฉีคงไห่กล่าวออกมา เห็นได้ชัดว่าปิดกั้นหนทางที่ต้วนหลิงเทียนจะอาศัยอุปกรณ์เทพเลิศล้ำอะไรเพื่อชิงชัยไปได้เลย
  นอกจากนั้นมันเองก็คิดว่าฟงชิงหยางอาจมอบบางสิ่งที่ได้มาจากนรกอสุราให้ต้วนหลิงเทียนเหมือนติงฟู่ และไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรมันก็อาจจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะการร่วมมือของถังซานเป่าและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้!
  มันจึงเลือกจะเพิ่มกฏข้อนี้ลงไปนามของวิหารเฟิงฮ่าว…
  “อ้อ เช่นนั้นก็เอาตามนั้นเถอะ”
  ฉีคงไห่ที่เดิมคิดว่าหลังฟงชิงหยางได้ฟังเงื่อนไขการประลองนัดพิเศษที่มันเพิ่มมาแล้ว อาจจะพบว่าเรื่องนี้อาจสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียน แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบรับกฏที่เพิ่มเติมข้อนี้ของมันอย่างไม่คิดจะโต้แย้งเสียอย่างนั้น
  ทำให้หนังตาของฉีคงไห่เองก็อดกระตุกไปไม่ได้!
  ฟงชิงหยาง…มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนถึงขนาดนั้นเชียว?
  แล้วบ่อเกิดความมั่นใจมันมาจากไหนกันแน่?