“น้องเยี่ยนในเมื่อเจ้ายังมิได้ชิงร่างคนผู้นี้เพียงแค่ครอบงำเฉยๆ เช่นนั้นเจ้าก็ยังมีหนทางถอยอยู่…ขอเพียงเจ้าละทิ้งร่างนี้เสีย เจ้าก็จะยังคงเป็นคนเผ่าภูตของพวกเรา”
คำพูดของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนทำให้สองตาหมี่ซวนลุกวาวขึ้นมาทันที เร่งกล่าวโน้มน้าวออกมาอย่างไม่รอช้า
เดิมทีหมี่ซวนคิดว่าน้องชายมันได้เลือกหนทางที่ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว เพราะหากใช้การ ‘ชิงร่าง’ จนยึดร่างได้โดยสมบูรณ์หรือจะเป็นการยึดร่างตามปกติ ก็ไม่มีทางหวนกลับอีก เพราะถึงตอนนั้นต่อให้คิดจะละทิ้งร่าง ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน จำต้องหาร่างอื่นเพื่อเข้าครอบครองอีกครั้ง
และนี่เป็นลักษณะตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ภูต
จะเป็นการครอบงำยึดร่างก็ดีหรือชิงร่างก็ดี หากกระบวนการลุล่วงแล้วเสร็จโดยสมบูรณ์ ต่อไปก็จำต้องมีร่างให้ใช้ตลอดเวลาไม่อาจกลับไปอยู่ในร่างพลังงานได้อีก และหากไร้ร่างอาศัยล่ะก็ ไม่นานก็จะถูกกฏของสวรรค์และโลกเผาผลาญเป็นจุน…
อย่างไรก็ตามหากกระบวนการยึดร่าง หรือช่วงชิงร่างยังไม่แล้วเสร็จโดยสมบูรณ์ ก็สามารถเลือกที่จะละทิ้งร่าง และหวนกลับมาอยู่ในร่างวิญญาณต่อไปได้เหมือนเดิม
พอได้ยินคำโน้มน้าวของหมี่ซวน ใบหน้าพระอาจารย์หมี่เยี่ยนพลันชะงักค้างไปทันที มันพึ่งตระหนักได้ว่า ไพ่ความห่วงใยที่มันใช้ไปเมื่อครู่ หมายเล่นกับความรู้สึกของพี่ใหญ่ในจุดที่มันไร้หนทางเลือกและจำต้องครอบงำร่างในปัจจุบันเท่านั้น
“พี่ใหญ่”
ทันใดนั้นพระอาจารย์หมี่เยี่ยนก็ไม่คิดปิดบังความทะเยอทะยานของมันอีก “ข้าขอบอกท่านตามตรง…ข้าไม่อาจหวนกลับได้อีกแล้ว ข้าคุ้นชินกับการมีร่างมนุษย์ และข้าหลงใหลในร่างเลือดเนื้อเช่นนี้มาก”
“ข้าไม่อยากย้อนกลับไปเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่ต่างอะไรกับภูตผีในสายตาผู้อื่นอีกต่อไป…”
“ข้าอยากเพลิดเพลินกับทุกสิ่งที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินได้ ไม่อยากถูกจำกัดให้เป็นดั่งผีหรือวิญญาณเร่ร่อนในสายตาผู้อื่นชั่วชีวิต…”
“ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าสามารถชิงร่างที่ข้ากล่าวถึงได้สำเร็จ ด้วยศักภาพพรสวรรค์ของร่างนั้น ข้าจะไม่มีขีดจำกัดและต้องจมปลักอยู่ในอนาคตที่เป็นได้แค่ราชาเทพขั้นสูงเหมือนคนของเผ่าภูตอีกต่อไป!”
“ถึงตอนนั้นข้าสามารถทะลวงไปยังจอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพได้!”
“กระทั่งด้วยพรสวรรค์และศักยภาพร่างที่ข้าต้องตาพึงใจนั่น…คิดจะทะลวงให้ถึงขอบเขตอริยะเทพก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ กระทั่งยังมีความหวังที่จะบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วยซ้ำ!!”
“พี่ใหญ่ ผู้แข็งแกร่งที่สุดเชียวนะ…นั่นคือตัวตนที่ดำรงอยู่ ณ จุดสูงสุดของสวรรค์และโลกเรา!!”
“ท่านดูเถอะ เผ่าพันธุ์ภูตในปัจจุบันของพวกเราเป็นเช่นไร? กระทั่งในโลกแห่งความตายแห่งนี้พวกเรายังเป็นแค่เผ่าพันธุ์อ่อนด้อยเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงในระนาบเทพทั้งมวลด้วยซ้ำ!”
“พี่ใหญ่…ท่านเข้าใจข้าหรือไม่?”
กล่าวถึงประโยคท้าย หมี่เยี่ยนก็มองจ้องหมี่ซวนด้วยสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันและความทะเยอทะยาน “พี่ใหญ่ท่านวางใจได้เลย ถึงข้าจะชิงร่างคนผู้นั้นได้แล้ว วันหน้าต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่มีวันทำร้ายคนของเผ่าภูตเราเด็ดขาด!”
เป็นธรรมดาว่าถึงปากพระอาจารย์หมี่เยี่ยนจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจมันกลับคิดอีกอย่าง
รอให้มันมีพลังอำนาจมากพอก่อนเถอะ มันจะย้อนกลับมายังเผ่าพันธุ์ภูตเพื่อกลืนกินภูตคนอื่นๆเสียให้เอร็ดอร่อยหนำใจ! เพราะนั่นคือทางลัดในการเพิ่มพูนพลังความแข็งแกร่งของมัน หลังจากที่มันเปลี่ยนจากเผ่าพันธุ์ภูตดั้งเดิมไปเป็นภูตที่มีร่างกายแล้ว!!
บอกตามตรง ความผูกพันหนึ่งเดียวที่มันมีในเผ่าพันธุ์ภูตก็คือพี่ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามันเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆไม่ได้เป็นตัวอะไรในสายตามันเลย!
วันหน้านอกจากพี่ใหญ่ของมันแล้ว มันไม่คิดจะปล่อยให้เผ่าพันธุ์ภูตคนอื่นๆรอดไปได้แน่!
“ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของสวรรค์และโลกแห่งนี้…”
ได้ยินคำของพระอาจารย์หมี่เยี่ยน เห็นได้ชัดว่าหมี่ซวนตกใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าน้องชายของมันที่แท้จะมีความทะเยอทะยานและความฝันสูงถึงขนาดนี้
และมันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพื่อหักล้างความฝันของน้องชายออกมาได้…
ไม่ว่าใช่ว่าตัวมันเอง อนาคตที่รออยู่เต็มที่ก็คือราชาเทพขั้นสูงเท่านั้นหรือไร? ต่อไปก็ไร้ความหวังอะไรแล้ว! เช่นนั้นการบอกให้น้องชายล้มเลิกและหวนกลับมาตอนนี้ ไยมิใช่การบีบให้น้องชายเลือกกลับมาจมปลักและไร้อนาคตเหมือนกันกับมัน?
“น้องเยี่ยนเจ้ามั่นใจหรือ ว่าร่างกายที่เจ้าคิดช่วงชิงนั่น มีศักยภาพพรสวรรค์สูงถึงขนาดนั้นจริงๆ?”
หมี่ซวนเอ่ยถามเสียงหนัก “เจ้าต้องทราบด้วยว่าชั่วชีวิตของเผ่าภูตเรา มีโอกาสใช้ความสามารถแต่กำเนิด เพื่อ ‘ช่วงชิง’ ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น กล่าวได้ว่าเจ้ามีโอกาสช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างของร่างนั้นไม่ว่าจะความเข้าใจรวมถึงรากฐาน และที่สำคัญคือโอกาสในการก้าวหน้า หากเจ้าใช้ความสามารถนั่นไปแล้ว วันหน้าต่อไปเต็มที่เข้าก็ทำได้แค่ยึดร่างผู้อื่นเท่านั้น ไม่อาจครอบครองความเข้าใจและอะไรอีกหลายๆอย่างได้…”
“พี่ใหญ่ข้าย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี หากข้าไม่มั่นใจแน่แล้วข้าไม่คิดใช้ ‘ช่วงชิง’ หรอก…”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด มันมั่นใจในศักยภาพร่างของชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียนมาก เมื่อมันสามาถช่วงชิง ปล้นทุกสิ่งทุกอย่างของต้วนหลิงเทียนได้ล่ะก็ ด้วยรากฐานของต้วนหลิงเทียน รวมถึงความเข้าใจของอีกฝ่ายกับความเข้าใจของมัน วันหน้าการบ่มเพาะพลังของมันต้องรวดเร็วสุดที่เจ้าตัวอย่างต้วนหลิงเทียนจะเทียบได้ด้วยซ้ำ…
“พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านแล้ว ครั้งนี้ท่านช่วยเหลือข้าด้วยเถอะ”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนยังกล่าวอ้อนวอนออกมา “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นพี่ใหญ่”
“วันหน้าไม่ว่าเรื่องอะไร ต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่มีทางทำให้ท่านลำบากใจอีกแน่…”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนเริ่มชักแม่น้ำทั้ง 5 ออกมาโน้มน้าวหมี่ซวน แม้กระทั่งยกเรื่องความฝันครั้งยังเยาว์ออกมากล่าว ไม่เว้นกระทั่งเรื่องที่มันเคยช่วยชีวิตหมี่ซวนในอดีตครั้งที่อีกฝ่ายพลาดพลั้ง
เมื่อถูกขุดเรื่องเก่าออกมาเล่าใหม่ อารมณ์ของหมี่ซวนก็เริ่มสั่นไหวไม่คงที่ ในที่สุดก็ใจอ่อนโดนน้องชายเกลี้ยกล่อมจนได้ “ก็ได้…ครั้งนี้ข้าจะตามไปช่วยเจ้า”
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่อย่าได้ไปไหนอีก…หลังข้ากลับไปหาข้ออ้างที่เผ่าแล้ว ข้าจะมาหาเจ้า ทั้งออกจากโลกแห่งความตายไปกับเจ้า ช่วยเจ้ายึดครองร่างที่เจ้าต้องการนั่น…”
กล่าวกำชับหมี่เยี่ยนเสร็จ หมี่ซวนก็จากไปทันที
ด้านพระอาจารย์หมี่เยี่ยนพอได้ยินพี่ชายรับปากแล้ว สองตามันก็ลุกวาวเป็นประกายสว่างไสวปานดวงดาวกลางฟ้ายามค่ำคืน ในใจเรียกว่ายินดีปานลิงโลด
…
ด้านต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกแห่งความตาย
ตอนนี้เขากับฟงชิงหยางอาจารย์เขา ก็ได้นั่งพักอยู่ในห้องโถงของวิหารเฟิงฮ่าว รอคอยเวลาอย่างเงียบงัน และในที่สุดเขาก็ได้เห็นร่าง ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ผู้ควบคุมกำกับการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์อีกครั้ง
“รองจ้าววิหารฉี”
พอเห็นฉีคงไห่อีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่บ้าง กลับกันฟงชิงหยางแลดูสงบราวคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“จักรพรรดิสวรรค์ฟง ต้วนหลิงเทียน ข้ามาที่นี่เพื่อพาพวกท่านทั้งคู่ไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก”
ต่างจากท่าทีจริงจังมาดขรึมในศึกอัจฉริยะสวรรค์นัก เพราะตอนนี้สีหน้าของฉีคงไห่ยามพบเจอต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางอีกครั้ง มันแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ท่าทียังแลดูสุภาพมากขึ้น
“เช่นนั้นข้ากับศิษย์คงต้องรบกวนรองจ้าววิหารฉีแล้ว”
ฟงชิงหยางพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้แลดูเป็นกันเองและสบายๆเหมือนตอนอยู่กับต้วนหลิงเทียน
เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่ฟงชิงหยางจงใจทำแบบนี้ เพียงแค่มันคุ้นชินกับการทำแบบนี้ก็เท่านั้น
ทว่ายามอยู่กับต้วนหลิงเทียนมันต่างออกไป เพราะต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของมัน กระทั่งยังเป็นคนใกล้ชิดกับมัน…แต่สำหรับคนอื่นๆ จะนับเป็นตัวอะไรในสายตาฟงชิงหยางได้?
ไม่ต้องกล่าวถึงรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักด้วยซ้ำ ต่อให้จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักมาเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา
วู้ม! วู้ม! วู้ม!
ภายใต้การนำพาของฉีคงไห่ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางก็ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเฉพาะของวิหารเฟิงฮ่าว เดินทางไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก
หลังถูกเคลื่อนย้ายมาถึงค่ายกลรับตัวแล้ว สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ก็คือไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นบริบูรณ์ ไม่ด้อยไปกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ในระนาบอิสระแห่งนี้ พลังวิญญาณฟ้าดินระดับดังกล่าวดูเหมือนจะมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน อย่างน้อยๆตลอดทางที่ต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางติดตามฉีคงไห่มา เขาก็ไม่พบว่าจะมีจุดไหนที่พลังวิญญาณฟ้าดินเบาบางลงเลย
“ต้วนหลิงเทียน ห้องลับแห่งกฏเป็นสถานที่สำคัญสำหรับวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักของพวกเราไม่น้อย ถึงแม้ข้าจะเป็นรองจ้าววิหาร แต่การจะพาเจ้าไปเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏ ก็ยังต้องทำตามขั้นตอนบางอย่างเช่นกัน…”
ก่อนเดินทางมาถึงตำหนักหลังเขื่องที่กินอาณาบริเวณกว้างขวาง ฉีคงไห่ก็หยุดลงก่อนจะหันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเรื่องที่ห้องลับแห่งกฏเป็นดั่งสถานที่สำคัญของวิหารเฟิงฮ่าวเขาเองก็รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว มันจะมีกฏและขั้นตอนเข้าใช้หยุมหยิมก็พอเข้าใจได้
“จักรพรรดิสวรรค์ฟง ท่านจะอยู่รออยู่ที่นี่ หรือจะให้ข้าเรียกคนมาพาท่านไปเข้าที่พักเล่า?”
ฉีคงไห่หันไปมองฟงชิงหยาง พลางกล่าวถามออกมา
พอฟงชิงหยางได้ยิน ก็มองลึกไปยังฉีคงไห่ ค่อยตอบ “ข้าจะอย่างไรก็ได้ แล้วแต่รองจ้าววิหารฉีจะเห็นสมควรเถอะ”
“เช่นนั้นข้าจะให้คนมาพาท่านไปพัก”
ฉีคงไห่คล้ายมองไม่เห็นสายตามองลึกแฝงความนัยของฟงชิงหยาง เพียงคลี่ยิ้มตอบคำบางๆ จากนั้นก็ส่งข้อความออกไป
หลังผ่านไปราวๆสิบกว่าลมหายใจ ก็ปรากฏร่างหนึ่งเร่งรุดมาด้วยความเร็ว เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวเข้ม รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา หากทว่าทั่วร่างกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอันรุนแรง
เพียงมองปราดเดียวก็บอกได้ทันที ว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทรามแน่นอน
“อาวุโสหลัว นี่คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง…ท่าน พาจักรพรรดิสวรรค์ฟงไปยังลานที่พักสำหรับแขกของวิหารเฟิงฮ่าวเราเถอะ ไม่ว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงอยากพักลานหลังใด ก็จัดไปตามนั้น”
ฉีคงไห่กล่าวกำชับ
“ทราบแล้วรองเจ้าวิหาร”..
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมเขียวที่ถูกเรียกหาว่าอาวุโสหลัวขานรับด้วยความคำรพ จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับฟงชิงหยางว่า “เชิญจักรพรรดิสวรรค์ฟงตามข้ามาด้านนี้”
“เชิญ”
ฟงชิงหยางพัยกหน้ารับคำ ก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายนำทาง
ส่วนต้วนหลิงเทียนก็เดินตามฉีคงไห่ไปทำเรื่องยังตำหนักหลังเขื่องเบื้องหน้า
ขณะติดตามฉีคงไห่ไปทำเรื่องเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏ สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็แลดูสงบปราศจากความกังวลใดๆ
ถึงแม้ตอนนี้ฟงชิงหยางอาจารย์เข้าจะไม่ได้ติดตามมาด้วย แต่วิหารเฟิงฮ่าวก็คงยากจะก่อการกระด้างกระเดื่องอะไร สุดท้ายหากพวกมันคิดลงมือก็ต้องดูสีหน้าอาจารย์เขาด้วย
โทสะของของเทพ แม้แต่วิหารเฟิงฮ่าวเองก็ไม่อาจแบกรับได้ง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อาจารย์เขาก็เพียงส่งร่างอวตารกฏดินมาเท่านั้น เมื่อร่างจริงไม่อยู่ที่นี่ หมายความว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ร่างจริงของอาจารย์เขาก็สามารถแก้แค้นได้ตลอดเวลา
หากวิหารเฟิงฮ่าวคิดจะแตะต้องเขาจริงๆ พวกมันก็ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาหลังจากนี้ให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้น วิหารเฟิงฮ่าวอาจไม่รู้ถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของฟงชิงหยางอาจารย์เขา แต่เขารู้ดีว่าอาจารย์อยู่ในช่วงปริ่มเปร่เต็มที อาจจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ทุกเมื่อ! ถึงตอนนั้นอาจารย์เขาก็จะกลายเป็นราชาเทพคนหนึ่ง พลังเหนือล้ำกว่าขอบเขตเทพทั่วไปมากมายนัก!!
ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลอะไร
ตลอดขั้นตอนทำเรื่องเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏ ฉีคงไห่ ก็ไม่ได้เผยท่าทีแปลกปลอมหรือมีพิรุธน่าสงสัยอะไร และหลังจากทำเรื่องเสร็จแล้ว มันก็หันมาถามต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดไปพักกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงสักสองสามวันก่อน หรือจะเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏตอนนี้เลย?”
“เข้าไปตอนนี้เลยเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ เข้าใช้เร็วขึ้นวันหนึ่งก็สามารถออกไปเร็วขึ้นหนึ่งวัน
“เอาล่ะ”
ฉีคงไห่พยักหน้า “ในฐานะอันดับ 1 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ เจ้าสามารถอยู่ในห้องลับแห่งกฏได้นานที่สุด…และเพราะเจ้าได้อันดับ 1 จึงสามารถเลือกเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏได้ 2 ห้อง”
“ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้น เวลาที่เจ้าสามารถเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏได้ก็จำกัดไว้ที่ 3 เดือนเท่านั้น”
กล่าวถึงประโยคท้ายจบ ฉีคงไห่ก็หยุดเล็กน้อย ค่อยเอ่ยเสริมขึ้นมาต่อว่า “อ่อ…ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวเรา มีแค่ห้องลับแห่งกฏของธาตุทั้ง 5 เท่านั้น”
สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนรู้มานานแล้ว และไม่ได้แปลกใจอะไร
“ไม่ทราบเจ้าตั้งใจจะเลือกเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏธาตุใดบางเล่า?”
ฉีคงไห่เอ่ยถามอีกรอบ
ได้ยินคำถามของฉีคงไห่ ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับไปตรงๆ ไม่มีลังเลหรือหยุดคิดแม้แต่นิดเดียว “ข้าเลือกห้องลับแห่งกฏไฟ กับห้องลับแห่งกฏดิน”
ไม่ว่าจะกฏแห่งไฟหรือกฏแห่งดิน ต้วนหลิงเทียนก็มีประสบการณ์ในการทำความเข้าใจพวกมันมาบ้างแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของเขาฟงชิงหยาง ก็เก่งกฏดินเช่นกัน
กล่าวได้ว่าหากมีข้อสงสัยอะไรในกฏแห่งดิน นอกจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินแล้ว อาจารย์ของเขาเองก็สามารถชี้แนะให้เขาได้เช่นกัน…