“ข้าว่า…อย่าได้พิรี้พิไรอันใด ลงมือกันเลยเถอะ! หรืออยากให้กรณีฟงชิงหยางในปีนั้นเกิดขึ้นอีก?”
อาวุโสของวิหารเฟิงฮ่าวคนดังกล่าวยังพูดสืบต่อ
กรณีฟงชิงหยาง?
พอได้ยินคำพูดของอาวุโสดังกล่าว หลายคนในห้องโถงหลัก รวมถึงฉีคงไห่ก็พากันเงียบทันที
ถึงแม้วิหารเฟิงฮ่าวจะขึ้นชื่อว่าเป็นขุมกำลังที่สืบทอดมรดกต่อกันมาอย่างยาวนานที่สุดในเทวโลก แต่ที่น่าเศร้าก็คือในยุคนี้ไม่มีคนของวิหารเฟิงฮ่าวแม้แต่คนเดียวที่เข้าใจหนึ่งในจตุรวิถีของสวรรค์และโลกสูงพอ รวมถึงตัวจ้าววิหารเองด้วย
เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว แม้สภาพการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น กระทั่งยังถือเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ก็ทำให้เหล่าขุมพลังหลักทั้งหลายของวิหารเฟิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความร้อนใจอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีมรดกเกี่ยวกับจตุรวิถีในสวรรค์และโลกสืบทอดต่อกันมา แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความเห็นและแนวทางส่วนตัวของคนรุ่นก่อนๆที่เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น จะเข้าใจได้หรือไม่ก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเองเท่านั้น
และในปัจจุบัน วิหารเฟิงฮ่าวก็ไม่มีใครที่สามารถสั่งสอนหรือชี้แนะคนอื่นให้เข้าใจจตุรวิถีของสวรรค์และโลกได้เลยสักคน!
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว วิหารเฟิงฮ่าวจึงเบนเป้าไปยังคนนอกแทน ไม่ว่าใครก็ตามหากทางวิหารเฟิงฮ่าวยืนยันได้แล้วว่าเป็นผู้ที่เข้าใจวิถีใดวิถีหนึ่งในจตุรวิถีของสวรรค์และโลก พวกมันจะไปนำตัวกลับมาเพื่อให้อีกฝ่ายแบ่งปันวิธีการฝึกฝนทันที…
ในอดีตนั้น ช่วงที่ฟงชิงหยางกำลังผงาดขึ้นมาดั่งดาวรุ่งพุ่งแรง และเผยให้เห็นถึงมรรคากระบี่ทำลายล้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในจตุรวิถีของสวรรค์และโลกออกมา…
ทางวิหารเฟิงฮ่าวก็ได้ส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องราวตั้งแต่เนิ่นๆ และไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอาจารย์ของถังซานเป่านั่นเอง ซึ่งมันก็ได้ออกจากวิหารเฟิงฮ่าวไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษแต่แรก แต่ถึงแม้มันจะออกไปใช้ชีวิตสันโดษ มันก็ยังเป็นคนของวิหารเฟิงฮ่าวและยินดีช่วยเหลือวิหารเฟิงฮ่าว
และผลจากการออกไปหยั่งเชิงฟงชิงหยางครั้งนั้น มันก็สามารถเอาชนะฟงชิงหยางมาได้
จากการต่อสู้มันก็บอกได้ทันทีว่าฟงชิงหยางเข้าใจมรรคากระบี่ทำลายล้างใกล้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว และฟงชิงหยางยังเผยให้เห็นแนวโน้ม ว่าจะสามารถยกระดับความเข้าใจในมรรคากระบี่ทำลายล้างได้อย่างมาก…ด้วยเหตุนี้ทางวิหารเฟิงฮ่าวจึงตัดสินใจรอให้ฟงชิงหยางยกระดับความเข้าใจในมรรคากระบี่ทำลายล้างให้ได้ก่อน จากนั้นจึงคิดจะนำตัวฟงชิงหยางมายังวิหารเฟิงฮ่าว
การเข้าใจมรรคากระบี่ทำลายล้างใกล้ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น กับเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้นฟงชิงหยางก็อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ในสายตาของวิหารเฟิงฮ่าวก็เสมือนตะพาบในไหไม่อาจหนีไปไหนได้ พวกมันจึงไม่รีบร้อนอันใด
ตอนนั้นวิหารเฟิงฮ่าวเพียงคิดว่า รอให้ฟงชิงหยางใกล้จะบรรลุถึงขอบเขตเทพเมื่อไหร่ ก็จะเริ่มปฏิบัติการ ‘อุ้ม’ ฟงชิงหยางกลับมาวิหารเฟิงฮ่าวทันที จากนั้นก็บีบคั้นให้ส่งมอบวิธีการฝึกปรือเพื่อเข้าถึงมรรคากระบี่ทำลายล้างออกมา
ตอนนั้น ฉีคงไห่และคนอื่นๆโถงหลักแห่งนี้ ก็เลือกที่จะรอคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะสม…
อย่างไรก็ตามก่อนที่ฟงชิงหยางจะถึงช่วงใกล้บรรลุเทพ พวกมันกลับได้ยินเรื่องที่ฟงชิงหยางถูกคนล่าจนต้องหลบหนีเข้าไปติดอยู่ในนรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกเสียอย่างนั้น! ทำให้พวกมันที่ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอรู้สึกเสียดายอย่างสุดแสน…
เพราะตอนนั้นพวกมันคิดว่าฟงชิงหยางที่ติดอยยู่ในนรกอสุรา คงไม่มีหนทางรอดชีวิตกลับมาได้แน่นอน
ท้ายที่สุดแล้วกระทั่งจ้าววิหารเฟิงฮ่าวของพวกมัน ที่บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพอันแข็งแกร่ง ก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในนรกอสุราอย่างวู่วาม
สถานที่แห่งนั้นก็สมดั่งชื่อ…นรก!
จนกระทั่งภายหลัง เมื่อฟงชิงหยางออกจากนรกอสุราและหวนกลับมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน จวบจนสังหารผู้ที่ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิสวรรค์ช่วงที่ไม่อยู่ได้อย่างง่ายดาย ก็ทำให้หัวใจของคนวิหารเฟิงฮ่าวพองโตขึ้นมาอีกครั้ง เต็มไปด้วยความหวังอันล้นปรี่
จากนั้นพวกมันก็ได้ขอแรงให้อาจารย์ของถังซานเป่าช่วยออกไปลงมือหยั่งเชิงฟงชิงหยางอีกรอบ
แต่ทว่ารอบนี้อาจารย์ของถังซานเป่ากลับประสบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
“ฟงชิงหยางไม่เพียงแต่จะบรรลุความเข้าใจในมรรคากระบี่ทำลายล้างถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้วเท่านั้น แต่ขอบเขตความสำเร็จของมรรคากระบี่มันข้าก็มิอาจมองได้ออกสืบไป…ที่สำคัญมันได้บรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วจริงๆ กระทั่งร่างที่ปรากฏตัวทุกวันนี้ยังเป็นแค่ร่างอวตารกฏดินเท่านั้น”
“ร่างจริงของมัน ดุจเดียวกับร่างอวตารกฏทำลายล้างที่สมควรแข็งแกร่งที่สุด ดูเหมือนจักมิได้อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน”
พอได้รับรายงานเรื่องราวจากอาจารย์ถังซานเป่า ทกคนก็ตระหนักได้ทันทีว่าบัดนี้หากวิหารเฟิงฮ่าวคิดจะอุ้มฟงชิงหยางที่บรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ให้กลับมาคายความลับวิธีฝึกปรือ ก็คงเป็นเรื่องราวที่ยากกระทำได้ยากเย็นเต็มที แม้จะพึ่งเป็นแค่เทพขั้นต่ำก็ตาม
อย่างน้อยๆพวกมันก็ไม่มีวิธีทำให้เทพขั้นต่ำกระทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ…
หากตัวตนขอบเขตเซียนอมตะคิดฆ่าตัวตาย พวกมันมีวิธีหยุดยั้งเอาไว้ได้
แต่หากผู้ที่คิดฆ่าตัวตายเป็นเทพ พวกมันไม่มีหนทางหยุดยั้ง
“สมควรจัดการมันเสียตั้งแต่เนิ่นๆ…”
พวกมันยังเสียใจไม่หายสำหรับเรื่องในอดีต เพราะถ้าตอนนั้นตัดสินใจลงมือแต่แรกก็จบไปแล้ว
“ข้าเห็นด้วย!”
ทันใดนั้นเองอาวุโสชราอีกคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็โพล่งคำออกมาด้วยความเห็นชอบ “พวกเรามิอาจลังเล เกิดเข้าทำนองผ่านหมู่บ้านนี้ไปไม่มีร้านค้าอีกจะทำอย่างไร? ที่สำคัญถ้าหากพวกเราพลาดโอกาสครั้งนี้…ข้าเกรงว่าวันหน้าพวกเราคงไม่มีทางจัดการต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป”
“ฟงชิงหยางนั่น พวกเราไม่ได้แตะต้องมันตอนนั้น มันก็สมควรสำนึกขอบคุณพวกเรา…คราวนี้หากมันรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรก็แล้วไป แต่หากมันกล้ากำแหงคิดต่อต้าน พวกเราก็ฆ่ามันให้ตายเยี่ยงสุนัขข้างถนนเสีย!”
อาวุโสชราของวิหารเฟิงฮ่าวที่เคยพูดออกมาก่อนหน้า กล่าวออกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สองตายังฉายแววแหลมคมปานมีดดาบ!
“ท่านจ้าววิหาร…”
ในปัจจุบันกระทั่งฉีคงไห่กับชนชั้นรองจ้าววิหารอีกคนก็อดไม่ได้ที่จะเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของอาวุโสทั้ง 2 พวกมันจึงหันไปมองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรอฟังการตัดสินใจสุดท้ายของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก
สุดท้ายจะเอาอย่างไร การตัดสินใจของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวถือเป็นตัวชี้ขาด
“ตกลงพวกท่านทั้ง 2 ว่าอย่างไร?
หากแต่สายตาของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวก็ยังคงมองมายังฉีคงไห่กับรองจ้าววิหารอีกคน พลางถามซ้ำ “บัดนี้อาวุโสสูงทั้ง 2 ได้ออกความเห็นแล้ว…พวกท่านเล่ามีความเห็นอื่นใดหรือไม่?”
“ท่านจ้าววิหาร ข้าเห็นชอบกับท่านอาวุโสสูงทั้ง 2”
รองจ้าววิหารอีกคนชิงกล่าวตอบออกมาก่อน
ด้านฉีคงไห่ก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ “ตอนนี้ถึงข้าเสนอว่าพวกเราไม่ควรแตะต้องต้วนหลิงเทียน ก็เกรงว่าคงไม่อาจหยุดท่านได้กระมัง เพราหากข้าเดาไม่ผิดท่านจ้าววิหารสมควรตัดสินใจไปแล้ว”
ทันทีที่ฉีคงไห่กล่าวเรื่องนี้ออกมา สายตาของชายชราอีก 3 คนก็หันไปมองร่างจ้าววิหารเฟิงฮ่าวทันที
“กักตัวมันไว้เถอะ”
จ้าววิหารเฟิงฮ่าวเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ดั่งเช่นที่อาวุโสสูงทั้ง 2 กล่าว…วิหารเฟิงฮ่าวของพวกเรา หรือต้องกลัวจักรพรรดิสวรรค์ตัวน้อยที่พึ่งบรรลุถึงขอบเขตได้ไม่กี่ร้อยปี?”
“หลังจากพวกเราจับตัวต้วนหลิงเทียนไว้แล้ว หากมันไม่ทำอะไรโง่งมก็แล้วไป แต่ถ้ามันกล้าลงมืออย่างเหิมเกริม เช่นนั้นพวกเราก็ให้มันรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานเถอะ!”
สุดท้ายจ้าววิหารเฟิงฮ่าวก็ได้ตัดสินใจออกมา
“เช่นนั้นพวกเราจะลงมือเมื่อใด?”
ฉีคงไห่เอ่ยถาม
“รอให้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันใช้ห้องลับแห่งกฏแล้วเสร็จก่อนประเสริฐกว่า”
จ้าววิหารเฟิงฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบ “บางที มันอาจบังเกิดความเข้าใจอันใดในห้องลับแห่งกฏเพิ่มเติม และไม่แน่ว่า 2 ใน 4 วิถีสวรรค์และโลกของมันอาจบังเกิดความก้าวหน้า ด้วยวิธีนี้ก็จะส่งผลดีต่อวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเรามากขึ้น”
“ท่านจ้าววิหารช่างปราดเปรื่องนัก!”
สองตาของรองจ้าววิหารอีกคนเป็นประกาย เร่งกล่าวคำประจบประแจงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวออกมาเร็วไว
…
ตอนนี้ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฟงชิงหยางอาจารย์เขา ก็ไม่ได้รู้เลยว่าทางวิหารเฟิงฮ่าวได้ตัดสินใจลงมือจัดการกับต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย
ต้วนหลิงเทียนได้ใช้เวลาอยู่ในห้องลับแห่งกฏไฟเดือนเศษ จากนั้นก็ออกจากห้องลับแห่งกฏไฟและไปเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏดิน
จากนั้นเขาก็เลือกจะรั้งอยู่ในห้องลับแห่งกฏดินจนครบกำหนด 3 เดือนก่อนจะออกมา
“หมดเวลาแล้ว”
พอถึงเวลา ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนอย่างประจวบเหมาะ ขณะเดียวกันเขาก็พบว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งซซัดกวาดออกมาจากทั่วทุกมุมห้องลับแห่งกฏดิน เพื่อผลักไสตัวเขาออกไปด้านนอก
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกพลังดังกล่าวผลักไสออกมา ก็เฉยๆไม่ได้มีความยินดียินร้ายใดๆ
อย่างไรก็ตามแม้ท่าทีภายนอกจะแลดูสงบเฉยเมย แต่ที่จริงในใจนั้นเขาบังเกิดความพึงพอใจอย่างมากกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ เพราะเขาสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟและดินได้ครบทุกประการแล้ว ยังบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่อีกด้วย!
กล่าวได้ว่า ในปัจจุบันเขาได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 4 กฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด!
กฏมิติ!
กฏเวลา!
กฏไฟ!
กฏดิน!
“ผู้เฒ่าทั้ง 2 ติดต่อรองจ้าววิหารฉีให้ข้าหน่อย ข้าคิดจะกลับไปหาอาจารย์ข้า”
หลังถูกผลักไสออกมาจากห้องลับแห่งกฏ ต้วนหลิงเทียนก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยหันไปมองกล่าวกับชายชราทั้ง 2 ด้านนอกตรงๆ
สองผู้ชราเป็นอาวุโสที่คอยดูแลความเรียบร้อยห้องลับแห่งกฏ พอได้ยินคำพูดต้วนหลิงเทียนพวกมันก็พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะส่งข้อความไปหาฉีคงไห่ทันที “ข้าส่งข้อความไปหารองจ้าววิหารฉีแล้ว”
“เจ้ารอสักครู่”
อาวุโสหนึ่งในนั้นที่ส่งข้อความไปหาฉีคงไห่กล่าวตอบ
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้ ขณะเดียวกันเขาก็ส่งข้อความไปหาอาจารย์เขาฟงชิงหยางเช่นกัน “ท่านอาจารย์ข้าออกมาแล้ว และกำลังรอรองจ้าววิหารฉีพาข้าไปพบท่าน จะได้กลับกัน”
“อืม ข้าจะไปรอเจ้าด้านนอก”
ฟงชิงหยางส่งข้อความตอบกลับ จากนั้นก็ถามเพิ่มเติมว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นดีใช่หรือไม่?”
“ราบรื่นดีท่านอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม พลางส่งข้อความ “ตอนนี้ข้าเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินกับไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการแล้ว’
“ต่อไป ก็สามารถเริ่มต้นการผสานรวมความลึกซึ้งได้”
“เหมือนกับกฏเวลาที่ข้าพึ่งเข้าใจก่อนหน้า”
คำพูดของต้วนหลิงเทียนย่อมทำให้ฟงชิงหยางชื่นชมเป็นธรรมดา “ดี…สำหรับกฏแห่งดินข้ายังพอชี้แนะให้เจ้าได้อยู่ อย่างไรก็ตามทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าเอง เหมือนกับมรรคากระบี่ของข้า”
“เข้าใจแล้วท่านอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งที่พุ่งมาแต่ไกลด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด “ท่านอาจารย์ สักครู่ค่อยว่ากัน…รองจ้าววิหารฉีมาแล้ว”
“ต้วนหลิงเทียนเจ้าจะอยู่พักในวิหารเฟิงฮ่าวเราก่อนสักพัก เพื่อตีเหล็กตอนร้อน เริ่มทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟกับดินต่อเลย หรือคิดจะกลับ?”
ฉีคงไห่เมื่อมาถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณรองจ้าววิหารฉีสำหรับความกรุณา แต่ข้าคิดจะกลับไปกับท่านอาจารย์ข้าเลย”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
“ไม่มีปัญหา ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์เจ้า”
ฉีคงไห่พยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรอีก
ภายใต้การนำของฉีคงไห่ ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นอาจารย์เขาอีกครั้ง
และตอนนี้ใจที่เสมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายของต้วนหลิงเทียนก็พอได้โล่งไปเปราะหนึ่ง
ดูเหมือนวิหารเฟิงฮ่าวจะไม่ได้คิดเล่นไม่ซื่ออะไรกับเขา หรือแม้แต่เลือกจะกักขังเขาเอาไว้
ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งสังเกตเห็นการมาของฟงชิงหยาง ไม่ทันทีที่จะได้กล่าวคำทักทายอะไร อยู่ๆก็แว่วเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้นจากโดยรอบ
ฟุ่บ!
พร้อมกันนั้นเอง ฉีคงไห่ที่เดินอยู่ข้างต้วนหลิงเทียนก็เหินขึ้นฟ้าไปหยุดลอยกลางหาวฉับไว
พริบตาต่อมาก็ปรากฏร่างอีก 4 ร่างขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง กับชายชราอีก 3 คน
บัดนี้คน 5 คนมี 4 คนที่ยืนดักอยู่ทั้ง 4 ทิศ ส่วนอีกคนก็ลอยดักอยู่บนฟ้า กล่าวได้ว่าพวกมันปิดล้อมต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางเอาไว้ทุกทาง…