ตอนที่ 3546 วิกฤตรายล้อม

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

“จ้าววิหารหวู่”
  หมี่ซวนมองหวู่หงชิง เอ่ยถามเสียงเรียบ “ในฐานะเจ้าวิหารเฟิงฮ่าวที่สืบทอดมรดกต่อกันมายาวนานที่สุดในระนาบเทวโลก เช่นนั้นก็สมควรรู้เรื่องหลายๆอย่างดี…ไม่เว้นทัศนคติของคนในเผ่าภูตข้าเมื่อรู้ว่ามีใครยึดร่างผู้อื่นกระมัง?”
  “อืม ข้ารู้”
  หวู่หงชิงพยักหน้า ไม่เพียงแต่รู้เท่านั้น แต่มันยังรู้อีกด้วยว่าเผ่าภูตนั้น หากบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว จะเป็นที่ต้องตาพึงใจของขุมกำลังระดับสูงๆในระนาบเทพอีกด้วย
  ในอดีตยังมีเผ่าภูตที่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้วมากมาย ถูกจับไปประมูลในระนาบเทพ! และก็มีขุมกำลังระดับสูงในระนาบเทพนับไม่ถ้วนที่แข่งกันประมูลเพื่อแย่งชิง ราคาจบประมูลเรียกว่าสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว!!
  กล่าวได้ว่าข้อมูลของเผ่าภูต มันล่วงรู้ดี
  “ข้าเป็นผู้นำของเผ่าภูต”
  เมื่อเห็นหวู่หงชิงพยักหน้า หมี่ซวนก็กล่าวสืบต่อ “กล่าวให้ถูกคือข้าเคยเป็นผู้นำของเผ่าภูตก่อนที่จะออกมาช่วยน้องเยี่ยนยึดร่างสารเลวน้อยที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียนนั่น”
  ทันทีที่หมี่ซวนพูดประโยคนี้ออกมา หวู่หงชิงอดผงะไปไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย!
  ก่อนหน้า เมื่อมันรู้ว่าร่างยูไลถูกคนของเผาภูตครอบงำ มันก็แปลกใจไม่น้อย เพราะล่วงรู้ข้อห้ามของเผ่าภูตดียังเป็นถึงกฏเหล็กอีกด้วย ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกเผ่าภูตสงคนมาตามล่าสังหารจนกว่าจะตาย!
  พอเห็นหมี่ซวนปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือหมี่เยี่ยน มันก็คิดว่าหมี่ซวนน่าจะเหมือนๆกับหมี่เยี่ยนที่เป็นเผ่าภูตที่ได้ทรยศและหลบหนีออกจากเผ่า
  จนเมื่อเห็นพลังอันร้ายกาจของหมี่ซวน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจร่างงอันยอดเยี่ยมของต้วนหลิงเทียนเลย คล้ายตั้งใจมาช่วยหมี่เยี่ยนอย่างเดียว ทำให้มันตระหนักว่าหมี่ซวนยังเคารพกฏของเผ่าภูตในระดับหนึ่ง
  และที่มาช่วยหมี่เยี่ยน ท่าทางจะเป็นเพราะคำว่าพี่น้องจริงๆ
  มาบัดนี้ พอได้ยินหมี่ซวนบอกว่าเคยเป็นผู้นำเผ่าภูต หวู่หงชิงจึงอดตกใจไม่ได้ “ราชาเทพหมี่ซวน นี่ท่าน…เป็นถึงผู้นำของเผ่าภูตจริงๆหรือ?”
  ผู้นำเผ่าภูต ไม่เพียงแต่จะไม่ปฏิบัติตามกฏ และสำเร็จโทษคนของเผ่าภูตที่ยึดร่างผู้อื่น…แต่ยังช่วยคนของเผ่าภูตให้ยึดร่างผู้คน?
  นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลครั้งใหญ่หรือ?
  “ราชาเทพหมี่ซวน”
  แต่อย่างไรในที่สุดหวู่หงชิงก็พอจะเข้าใจได้ ว่าไฉนก่อนหน้าหมี่ซวนถึงไม่สนใจยึดครองร่างต้วนหลิงเทียน ที่แท้เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงผู้นำเผ่าภูต หากคิดยึดครองร่างผู้คน เช่นนั้นยังจะได้เป็นผู้นำเผ่าภูตอยู่อีกหรือไร?
  “ที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ หมายความว่าอย่างไร…ตอนนี้ท่านไม่ใช่ผู้นำเผ่าภูตอีกแล้ว?”
  หวู่หงชิงที่พอจะคาดเดาอะไรได้ เอ่ยถามออกมาเพื่อยืนยัน
  “หากข้ายังเป็นผู้นำเผ่าภูตอยู่ แล้วท่านคิดว่าข้าจะมาหาท่านเพื่อให้ช่วยหาร่างกายให้ข้ายึดครองหรือไม่เล่า?”
  หมี่ซวนไม่ตอบ เลือกจะย้อนถามหวู่หงชิง
  “เป็นเพราะหมี่เยี่ยนเช่นนั้นหรือ?”
  หวู่หงชิงคาดเดา
  “ไม่! ทั้งหมดเพราะฟงชิงหยาง!!”
  หมี่ซวนเอ่ยออกเสียงหนัก “ตัวบัดซบฟงชิงหยางนั่น มันเดินทางไปยังโลกแห่งความตายเพื่อรายงานเรื่องของข้า แจ้งให้เผ่าภูตรู้ว่าข้าช่วยหมี่เยี่ยนเพื่อยึดครองร่างผู้คน…สุดท้ายข้าไม่เพียงแต่โดนปลดออกจากตำแหน่งผู้นำเผ่าภูต! ยังโดนขับไล่ออกจากเผ่าอีก!!”
  “ฟงชิงหยาง!?”
  หวู่หงชิงตกใจ “ถึงแม้ว่ามันจะรู้กฏของเผ่าภูตท่านดี และเดินทางไปรายงานเรื่องงราวที่เผ่าภูตในโลกแห่งความตาย แต่ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด อย่างดีเผ่าภูตก็แค่สงสัย แต่ไม่น่าจะปลดท่านลงจากตำแหน่งผู้นำและขับไล่ท่านออกมากระมัง?”
  “แล้วถ้ามันมีหลักฐานเล่า?”
  หมี่ซวนถาม
  “มันมีหลักฐาน? มันจะไปมีหลักฐานได้อย่างไร…ถึงแม้มันจะเห็นการลงมือของท่านกับตา แต่อย่างไรนั่นก็คือร่างอวตารกฏดินของมัน อีกทั้งมันยังระเบิดร่างอวตารกฏนั่นทิ้งไปแล้ว เช่นนั้นมันจะหาหลักฐานจากที่ใดเล่า?”
  หวู่หงชิงเอ่ถามด้วยความงุนงง
  “มันครอบครองลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกที่สร้างขึ้นในระนาบเทพ! ถึงแม้ลูกแก้วเงาลอยลูกที่ร่างอวตารกฏดินมันพกมาจะถูกทำลาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันบันทึกเอาไว้ก็ถูกส่งกลับไปหาลูกแก้วเงาลอยแม่แต่แรก! ท่านเองก็สมควรรู้ดีว่าลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกของระนาบเทพนั่น ด้วยวัสดุพิเศษที่ใช้ มันก็ถึงกับส่งบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดข้ามระนาบเทวโลกได้”
  หมี่ซวนเอ่ยออกกเสียงหนัก
  “อะไร?!”
  หวู่หงชิงตกใจไม่น้อย “ฟงชิงหยางนั่น…มันถึงกับมีลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกที่สร้างโดยตัวตนในขอบเขตจอมราชันเทพพกติดตัว?”
  ลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกในระนาบเทพที่ว่า มีแต่ตัวตนตั้งแต่ระดับจอมราชันเทพขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสร้างขึ้นมาได้
  ยิ่งไปกว่านั้นลูกแก้วเงาลอยที่ใช้กันบนระนาบเทพยังแตกต่างจากลูกแก้วเงาลอยที่ใช้กันในระนาบเทวโลกมาก อย่างหลังทำได้เพียงบันทึกฉากเรื่องราวเท่านั้น ไม่อาจบันทึกเสียงได้…แต่ลูกแก้วเงาลอยของระนาบเทพ มันบันทึกได้กระทั่งเสียง!
  และต่อให้เป็นในระนาบเทพ ลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกที่มีค่ามากกว่าลูกแก้วเงาลอยธรรมดานั้น…ก็ไม่ใช่อะไรที่ใครจะมีไว้ในครอบครองได้ง่ายๆ!
  แต่ตอนนี้ ฟงชิงหยางที่ไม่แม้แต่จะเคยไปเยือนแดนเทพสักครั้ง กลับมีของอย่างลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกในครอบครอง?
  “มันสมควรได้มาจากนรกอสุรา”
  น้ำเสียงของหมี่ซวนยิ่งมายิ่งอึมครึม “ลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกนั่น กระทั่งวิหารเฟิงฮ่าวของท่านข้าเกรงว่าก็คงมีจำนวนจำกัด สุดท้ายของสิ่งนี้เมื่อใช้ไปหนึ่งคู่ก็ลดลงหนึ่งคู่ ไม่อาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้”
  “มิผิด”
  หวู่หงชิงพยักหน้า ถึงแม้วิหารเฟิงฮ่าวจะมีลูกแก้วเงาลอยที่ได้รับสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ส่วนใหญ่ก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว บัดนี้ในวิหารเฟิงฮ่าวเหลือที่ยังใช้การได้แค่ 4 คู่เท่านั้น
  “ฟงชิงหยางนั่นมันบรรลุถึงขอบเขตเทพกระทั่งราชาเทพได้ก็ในนรกอสุรา หมายความว่ามันต้องไปพบพานการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ที่นั่นเป็นแน่ มันจะได้รับลูกแก้วเงาลอยแม่ลูกมาสักคู่ก็ไม่แปลก…ยิ่งไปกว่านั้นข้าที่ตามร่องรอยวิญญาณของมันไปติดๆ สุดท้ายก็ไปจบลงหน้าทางเข้านรกอสุรา! เจ้านั่นมันหลบหนีเข้าไปในนรกอสุราอีกแล้ว!”
  “ดูเหมือนมันจะเห็นนรกอสุราเป็นดั่งสวนหลังบ้านของมันแล้วจริงๆ…”
  กล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของหมี่ซวนก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
  “อะไร? ฟงชิงหยางหนีไปซ่อนตัวในนรกอสุราอีกแล้ว!?”..
  หวู่หงชิงเองก็รู้สึกพูดไม่ออกเหมือนกัน ด้วยไม่คิดเลยว่าฟงชิงหยางจะหลบหนีเข้าไปในนรกอสุราอีกครั้ง “ฟงชิงหยางนั่นมันไม่เพียงแต่ทะลวงถึงขอบเขตเทพได้ในเวลาอันสั้น มันกระทั่งบ่มเพาะพลังข้ามขอบเขตจนบรรลุถึงราชาเทพได้ในเวลาไม่กี่ร้อยปี…ในนรกอสุรานั่น น่ากลัวมันจะพบเจอวาสนาปาฏิหาริย์เข้าให้แล้วจริงๆ”
  “และด้วยอัตราความก้าวหน้าของมัน หากจากนี้ไปมันยังรักษาเอาไว้ได้ล่ะก็…ข้าเกรงว่ามันคงใช้เวลาอีกไม่นานก็สามารถก้าวข้ามราชาเทพหมี่ซวนท่านได้แน่!”
  พอเอ่ยจบประโยค สีหน้าแววตาหวู่หงชิงก็เต็มไปด้วยความอิจฉานัก
  “ข้ารู้”
  หมี่ซวนกล่าวตอบเสียงเบา “อย่างไรก็ตาม หากข้าได้ร่างอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงล้ำ ก็คงยากที่ชาตินี้มันจะตามข้าได้ทัน!”
  “ราชาเทพหมี่ซวนท่าน…หรือว่าท่านคิดจะ…”
  ลูกตาของหวู่หงชิงหดเล็กลงทันที ใจยังสะท้านไปไม่น้อย ด้วยเพราะมันพอจะคาดเดาได้แล้วว่าราชาเทพหมี่ซวนเบื้องหน้ากำลังคิดจะทำอะไร!
  “จ้าววิหาร”
  ในขณะที่หวู่หงชิงคาดเดาได้ออกว่าหมี่ซวนกำลังคิดจะทำอะไร เสียงมากเคารพหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกอย่างประจวบเหมาะ “ศิษย์ถังซานเป่ามาหาท่านแล้ว”
  หากเป็นตอนปกติ เมื่อถังซานเป่าที่เป็นดั่งผู้สืบทอดตำแหน่งจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักคนต่อไปมา หวู่หงชิงคงคลี่ยิ้มและเรียกให้เข้ามาอย่างเป็นกันเอง
  ทว่าตอนนี้มันไม่อาจยิ้มได้ออกจริงๆ
  ไม่เพียงแต่จะยิ้มไม่ออก ยังกล่าวตอบถังซานเป่าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ตอนนี้ข้าไม่ว่าง เจ้ากลับมาหาข้าพรุ่งนี้เถอะ”
  ขณะกล่าวออกมา แม้หวู่หงชิงจะพยายามสงบใจที่ปั่นป่วนแล้ว แต่เนื่องจากมันกะทันหันเกินไป หมี่ซวนย่อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของหวู่หงชิงได้ ทำให้สองตาหมี่ซวนเป็นประกายขึ้นมาทันที
  พริบตาสำนึกเทวะอันทรงพลังของหมี่ซวนก็แผ่กวาดออกไปด้านนอกเร็วไว!
  “ราชาเทพหมี่ซวนเมตตาด้วย! นั่นคือทายาทของข้า! หากท่านต้องการร่างผู้คน ข้าจะไปหาร่างอื่นที่มีศักยภาพและพรสวรรค์ไม่น้อยไปกว่าทายาทของข้าให้ท่าน!!”
  เมื่อสำนึกเทวะของหมี่ซวนแผ่ออกไป หวู่หงชิงก็รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่พ้นต้องตรวจสอบร่างงถังซานเป่าแน่แล้ว ดังนั้นมันก็เลยเร่งกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ
  “ไม่จำเป็น…ข้าพอใจร่างนี้มาก!”
  และเสียงกล่าวตอบของงหมี่ซวนก็ทำให้สีหน้าหวู่หงชิงเปลี่ยนไปทันที “หมี่ซวน เจ้าอย่าได้ให้มันมากนัก! เจ้าคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับบวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราเช่นนั้นหรือ!?”
  “จ้าววิหารหวู่ ท่านก็แค่เปลี่ยนผู้สืบทอดคนใหม่เท่านั้น ไฉนต้องโกรธด้วยเล่า?”
  หมี่ซวนเอ่ยออกเสียงเฉย จากนั้นร่างวิญญาณของมันก็พร่าเลือนหายไปก่อนที่หวู่หงชิงจะทันได้ตอบสนองอะไร
  จากนั้นถังซานเป่าที่อยู่ด้านนอกก็แน่นิ่งไป…
  …
  ณ ที่ไหนสักแห่งของจี้เมี่ยเทียน
  หลังจากกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็ส่งครอบครัวและสหายของเขากลับเข้าไปในโลกใบเล็กภายในกายของเขา รวมถึงบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อด้วย ตอนนี้เรียกว่าทุกคนได้หลบไปอยู่ในโลกใบเล็กของเขาเรียบร้อย
  และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาปล่อยให้บิดามารดาของฮ่วนเอ๋อ เข้ามาในโลกใบเล็กภายในกายของเขา
  หลังจากเข้ามา ทั้งคู่ก็ตกตะลึงเป็นธรรมดา
  “ช่างเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินที่วิเศษอะไรเช่นนี้!?”
  “และนั่น…คือเทพเบญจธาตุหรือ?!”
  พอทั้งคู่เข้ามา ก็ตกตะลึงกับพลังวิญญาณฟ้าดินอันคุณภาพสูงในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนทันที แถมมันยังหนาแน่นจนแทบจะกลั่นตัวเป็นของเหลวแล้วด้วยซ้ำ และขณะเดียวกันทั้งคู่ก็เห็นแสงสว่างเรืองรองของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ จากนั้นก็สังเกตเห็นดวงแสง 5 สีสันที่โคจรรอบพฤกษาเทพกกำเนิดชีพ…เป็นเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราเพื่อฟื้นฟูพลัง
  และบัดนี้แสงที่ส่องสว่างออกจากดวงแสงทั้ง 5 มันอ่อนลงกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับในอดีต
  ต้วนหลิงเทียนอดระบายลมหายยใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ เมื่อนำพาครอบครัวและสหายของเขาเข้ามาหลบอยู่ในโลกใบเล็กได้หมดแล้ว
  อย่างไรก็ตาม ใจเขายังรู้สึกหนักอึ้งไม่น้อย
  ‘ตอนนี้ท่านอาจารย์ถูกบีบให้เข้าสู่นรกอสุราอีกครั้ง…ที่สำคัญเรื่องเทพเบญจธาตุของข้าก็เปิดเผยแล้ว ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักนั่น ตอนนี้คงอยากปล้นชิงเทพเบญจธาตุของข้าจนใจแทบขาด’
  ‘สำหรับมันในตอนนี้เกรงว่ามรรรคากระบี่มิติรวมถึงวิถีควบคุมที่บรรลุถึงขั้นตอนเบื้องต้นของข้าคงไม่สลักสำคัญอะไรกับมันมากอีกต่อไป…’
  ‘สิ่งที่มันให้ความสำคัญมากที่สุดเวลานี้สมควรเป็นเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของข้า’
  ‘สุดท้ายแล้ว เมื่อคนที่ครอบครองเทพเบญจธาตุทั้ง 5 บรรลุถึงขอบเขตเทพได้ ก็จะสามารถเข้าใจจตุรวิถีในสวรรค์และโลกไปเอง…ที่สำคัญหากเทพเบญจธาตุที่ครอบครองมีระดับสูง ก็จะสามารถควบคุมใช้จตุรวิถีในสวรรค์และโลกได้แทบจะเต็มสิบส่วน…’
  …
  การเปิดเผยเรื่องเทพเบญจธาตุครั้งนี้ สำหรับต้วนหลิงเทียนถือเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
  ยิ่งไปกว่านั่นที่พึ่งสำคัญของเขาอย่างอาจารย์เขา ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเอง เนื่องเพราะมีเรื่องหมี่ซวนราชาเทพขั้นกลางที่จ้องจะเล่นงาน ไม่เว้นเรื่องที่ร่างอวตารกฏดินถูกทำลายจนวิญญาณบาดเจ็บ ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลบซ่อนเพื่อยกระดับพลังสักระยะ…
  กล่าวได้ว่า…
  หลังจากนี้พักใหญ่ๆ เขาได้แต่ต้องพึ่งตัวเองทั้งหมด
  ‘หน่วยข่าวของวิหารเฟิงงฮ่าวสมควรแพร่กระจายไปทั่วระนาบเทวโลก การใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ละครั้ง ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกพวกมันล่วงรู้…วันหน้าหากข้าจะไปไหนมาไหน เกรงว่าไม่อาจรั้งอยู่ที่เดิมได้นาน ไม่งั้นได้ถูกคนของวิหารเฟิงฮ่าวตามมาเจอตัวแน่’
  ‘แต่ถ้าหากข้าอยากยกระดับพลังบ่มเพาะ การเอาแต่นั่งบ่มเพาะพลังก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี อย่างน้อยๆข้าก็ต้องออกไปสู้หรือผ่อนคลายจิตใจ เพื่อหาแรงบันดาลใจอะไรบ้าง’
  ‘ในปัจจุบันถึงข้าจะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้ว แต่ก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลนักกว่าจะบรรรลุถึงขอบเขตเทพ…อย่างน้อยๆตอนนี้ข้าก็ยังไม่เห็นธรณีประตูขอบเขตเทพเลย’
  ‘ดูเหมือนหลังจากนี้…ข้าทำได้แค่ไปยัง ‘สมรภูมิ 9 ยมโลก’ เท่านั้น’