ตอนที่ 3605 หลัวเถิงอวิ๋น

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนติดตามฝูงชนออกไปด้านนอก ก็มีเสียงสายลมแว่วผ่านหูดังขึ้น ดึงความสนใจของทุกคนไม่เว้นเขาด้วย
  จากนั้นทุกคนก็พบเห็นว่า เมิ่งฉีโหย่ว กลับมาแล้ว
  ยิ่งไปกว่านั้นในมือยังหอบหิ้วร่างคนผู้หนึ่งมาด้วย
  อีกฝ่ายก็เป็นชายชราเช่นกัน สวมใส่ชุดคลุมสีเทาอ่อน มุมปากปรากฏเลือดไหลย้อยลงมา ลมหายใจเบาบาง เห็นชัดว่ากำลังจะตายแล้ว
  ในแววตาผู้ชราคนนี้ฉายชดถึงความไม่เต็มใจ
  “อาศัยเทพขั้นต่ำเช่นเจ้า…ต่อให้ยามเจ้าสมบูรณ์พร้อมยังมินับเป็นอะไรในสายตาข้า มาตอนนี้เจ้ายังคิดว่าจะมีปัญญาหนีพ้นมือข้ารึ?”
  “ยิ่งไปกว่านั้นเท่าที่ข้าดูเจ้าเองก็เคยได้เร็บบาดเจ็บมาก่อน แผลเก่าเรื้อรังเจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ ต่อให้เจ้าคิดลงมือเต็มกำลังอย่างดีก็ใช้พลังได้ 7-8 ส่วนจากครั้งรุ่งเรือง…อาศัยพลังต่ำต้อยเช่นนี้ ยังหาญกล้าคิดฉกชิงโอสะทะลวงเทพกลางร้านตระกูลเมิ่งต่อหน้าข้า เจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไร?”
  หลังเมิ่งฉีโหย่วกลับเข้ามาในศาลาสือสุ่ย มันก็โยนร่างชายชราทิ้งราวหมูหมา จากนั้นก็ไม่คิดเมตตาปราณีใดๆ ตบฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือกก็ป่นร่างชายชราคลุมเทาให้อันตรธานหายไปทันที
  ตกตายโดยไม่เหลือศพให้กลบฝัง
  “เทพขั้นต่ำ!?”
  หากจะบอกว่าก่อนหน้าผู้คนไม่ทันได้ตั้งตัว มาตอนนี้พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของเมิ่งฉีโหย่ว และนึกถึงกลิ่นอายพลังทั่วร่างชายชราก่อนตายนั่น พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความหนาวเหน็บ
  ผู้ที่ก่อการอุกอาจที่แท้เป็นถึงเทพขั้นต่ำ!
  ทว่าตอนนี้คนกลับแหลกเป็นผงไปแล้ว…
  “ผู้หลอมโอสถเทพจากตระกูลเมิ่งคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
  “พี่ชาย เมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินคนพูดกันหรือไร ผู้หลอมโอสถเทพตระกูลเมิ่งคนนี้ เห็นว่าครั้งยังเยาว์ฝีมือดุร้ายลงมือเด็ดขาดไม่ใช่ชั่ว ต่อมาก็หายเงียบไปเพราะเข้าสู่เส้นทางการหลอมโอสถ…หลายปีผ่านไปไม่มีใครล่วงรู้พลังฝีมือที่แท้จริงของมันแล้ว มีบางคนบอกว่าพลังฝีมือของมันอยู่ในอันดับท้ายๆของเหล่าเทพในตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดเลยพอลงมือก็ร้ายกาจขนาดนี้”
  “ถึงจะเป็นเทพขั้นต่ำทั่วไป ก็ไม่ใช่ว่าจะอ่อนด้อยอะไรนัก ถึงชายชรานั่นจะมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังจนใช้กำลังได้ 7-8 ส่วน แต่พูดกันตรงๆมันไม่น่าจะตายง่ายๆเช่นนี้…”
  “ใช่ ข้าคิดว่าผู้หลอมโอสถเทพตระกูลเมิ่งคนนี้ ในแง่พลังฝีมือแต่เทพคนอื่นๆของตระกูลเมิ่งก็ไม่แน่ว่าจะสู้มันได้!”
  …
  กลุ่มคนที่เดินออกมาจากศาลาสือสุ่ยอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน หลังเห็นฉากเรื่องราวทั้งหมด
  “แต่ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย…ว่าในเมืองหลินซานของพวกเรามีเทพขั้นต่ำเช่นชราที่ตายไปด้วย มันเป็นใครกัน?”
  “นั่นสิ ข้าเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน”
  “เทพขั้นต่ำผู้นี้ ที่แท้มาจากที่ใดกันแน่…”
  …
  ชายชราที่พึ่งตกตายไปนั้น ไม่มีใครรู้จักเลยว่ามันเป็นใคร
  อย่างไรเสียมันก็เป็นถึงเทพขั้นต่ำ ไม่ใช่ชนชั้นไก่กาที่ไหน การตายของมันย่อมทำให้ผู้คนฮือฮาไม่น้อย
  ในขณะเดียวกัน ณ มุมหนึ่งของศาลาสือสุ่ย ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่งยืนปะปนท่ามกลางฝูงชนอย่างเงียบงัน สายตาเฉยเมยของมันมองจ้อง จุดที่ร่างชายชราถูกป่นทำลายไปไม่วางตา หากใครสังเกตให้ดีจะพบว่าร่างมันกำลังสั่นเทิ้มไปเบาๆ
  ชายหนุ่มคนนี้แต่งกายในชุดสีฟ้าแลดูธรรมดา รูปร่างหน้าตาเองกก็กลางๆไม่มีสิ่งใดแลดูโดดเด่น อย่างไรก็ตามยิ่งมาแววตาที่ฝืนทำเป็นเฉยเมยของมันก็ยิ่งเปลี่ยนไปเป็นโศกเศร้าเสียใจ
  ยังดีที่ไม่มีใครให้ความสนใจมันเป็นพิเศษ ไม่งั้นต้องพบความผิดปกติทางสีหน้าอารมณ์ของมันแน่
  แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้ล่วงรู้ว่ามันมีตัวตน
  ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเอื้อมมือไปรับโอสถทะลวงเทพจากเมิ่งฉีโหย่ว และรับฟังคำขอโทษของเมิ่งฉีโหย่วด้วยสีหน้าเฉยเมย “สหายน้อยหลิงเทียน ต้องขออภัยด้วย ข้าคงทำให้ท่านตกใจแล้ว…”
  “อย่างไรก็ตามเม็ดยาทะลวงเทพเปื้อนเลือดเทพขั้นต่ำเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นลางดี…ไม่แน่ว่าหลังสหายน้อยหลิงเทียนรับประทานไป ก็อาจทะลวงถึงขอบเขตเทพได้เร็ววัน”
  เมิ่งฉีโหย่วหัวเราะ
  ในปัจจุบันสีหน้าท่าทีของเมิ่งฉีโหย่วแลดูสบายๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่คล้ายมีภัยต่อคนและสัตว์
  หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเมื่อครู่มันลงมือฆ่าคน 2 คนไปอย่างไร คงมิอาจนึกภาพออกได้เลยว่ามันจะเข่นฆ่าคนอย่างไร้ปราณีแค่ไหน…
  “หวังว่าจะสมพรปากผู้เฒ่าเมิ่ง”
  หลังต้วนหลิงเทียนรับโอสถทะลวงเทพมาแล้ว เขาก็สะบัดมือส่งมอบหินเทพ 3,000 ตำลึงให้เมิ่งฉีโหย่วต่อหน้าผู้คน อีกฝ่ายก็ยิ้มรับไปแต่โดยดี
  หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า ตบโอสะทะลวงเทพเข้าปากเร็วไว ก่อนจะกลืนมันลงท้องต่อหน้าต่อตาทุกคน
  อันที่จริงตั้งแต่ที่โอสะทะลวงเทพมาอยู่ในมือของต้วนหลิงเทียน สายตาของผู้คนโดยรอบก็ไม่ได้ละไปจากมันเลย หลายคนยังมองดูด้วสายตาละโมบ
  อนิจจาความโลภของพวกมันก็จำต้องสูญสลายไปทันที เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกลืนโอสถทะลวงเทพลงท้องไปแบบนั้น..
  เพราะสิ่งนี้บอกให้พวกมันรับทราบชัดเจน ว่าต่อให้ลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนไป พวกมันก็ไม่มีทางได้โอสถทะลวงเทพอีกแล้ว
  แน่นอนว่ายังมีบางคนเริ่มบังเกิดความคิดอื่นในใจ
  ในเมื่อชายหนุ่มผู้นี้สามารถควักหินเทพ 3,000 คำลึงออกมาซื้อโอสถทะลวงเทพได้ มิใช่ว่าในมือสมควรยังมีหินเทพเหลืออยู่อีกหรือ?
  พอคิดถึงจุดนี้ ในใจหลาๆคนก็เริ่มจุดประกายความโลภออกมาอีกครั้ง
  อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นร่องรอยเปื้อนบนพื้น ณ จุดที่ชาชราถูกพลังสลายร่าง พวกมันก็เสมือนถูกน้ำเย็นราดรดลงหัว ฟื้นคืนสติขึ้นมาโดยพลัน ใจยังจมลง สุดท้ายก็ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนที่เมิ่งฉีโหย่วออกมาส่งนอกศาลาสือสุ่ยเดินหายลับตาไป
  แต่ต้นจนใจไม่มีใครกล้าตามต้วนหลิงเทียนไปอีก
  พวกมันกลัวว่าเมิ่งฉีโหย่วจะลงมือกับผู้ที่คิดไม่ซื่อกับต้วนหลิงเทียน
  “เจ้าดูแลเรื่องราวต่อเถอะ”
  หลังเมิ่งฉีโหย่วมองส่งต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว ใบหน้าอ่อนโยนเปื้อนยิ้มของมันก็กลับมาเยย็นชาไร้แสอีกครั้ง หลังจากกล่าวทักเมิ่งหยวนสั้นๆ มันก็จากไปทันที
  แน่นอนว่ามันจงใจฆ่าเทพขั้นต่ำต่อหน้าผู้คน
  การทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะบอกให้รู้ว่าศาลาสือสุ่ยของตระกูลเมิ่งไม่ใช่ใครที่จะมาฟาดงวงฟาดงาได้ง่ายๆ ประการที่สองยังทำเพื่อให้ทุกคนรู้จักตระกูลเมิ่งเพิ่มขึ้น…บอกให้ทุกคนรู้ว่า ว่าอาศัยผู้หลอมโอสถเทพเช่นมัน ก็เข่นฆ่าเทพขั้นต่ำได้ง่ายดายปานตัดหญ้าฆ่าไก่!
  หลังต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งฉีโหย่วจากไปแล้ว ชายหนุ่มในชุดไม่โดดเด่นที่ยืนปะปนท่ามกลางฝูงชน ก็หันหลังเดินหายไปในซอยเปลี่ยว…
  “เมิ่งฉีโหย่ว ตระกูลเมิ่ง ต้วนหลิงเทียน…สักวันน ข้าจะให้พวกเจ้าชำระหนี้เลือดครั้งนี้ด้วยชีวิต!!”
  ชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นลูกหลานของเทพขั้นต่ำที่ตกตายอย่างไร้ศพให้กลบฝังด้วยน้ำมือเมิ่งฉีโหย่วเมื่อครู่
  มันมีชื่อว่า ‘หลัวเถิงอวิ๋น’ และมันพึ่งจะมีอายุแค่พันปีเศษเท่านั้น แต่กลับบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้ว แถมยังบ่มเพาะพลังมาจนถึงครึ่งก้าวเทพ ขาดแค่แรงผลักดันอีกเล็กน้อย ก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพได้ในคราเดียว
  เทพขั้นต่ำที่ตกตายไปก่อนหน้านี้ เป็นบรรพบุรุษของมันเอง…
  ในตระกูลของมันนั้น นอกจากตัวบรรพบุรุษแล้ว คนอื่นๆก็ไม่มีใครโดดเด่นเลย แม้แต่ด่านพลังจักรพรรดิอมตะยังไม่ค่อยมีคนบรรลุถึง การตกตายอย่างไม่คาดฝันของบรรพบุรุษย่อมทำให้มันเศร้าเสียใจเป็นธรรมดา
  ด้วยความที่บรรพบุรุษคนนี้ สั่งสอนมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย และส่งเสริมมันอย่างดี ทำให้มันที่มีอายุเพียงพันปีเศษก็บรรลุถึงขอบเขตนี้ได้
  เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนที่ตระกูลเมิ่งนำโอสถทะลวงเทพมาวางขายที่ศาลาสือสุ่ย บรรพบุรุษของมันที่ได้รับทราบข่าวก็บังเกิดความสนใจทันที จึงพามันรอนแรมเดินทางมาดูว่าจริงหรือไม่…อย่างไรก็ตามถึงแม้บรรพบุรุษของมันจะเป็นเทพขั้นต่ำคนหนึ่ง ทว่าไม่มีหินเทพ 3,000 ตำลึงอยู่ในมือ
  เพราะมีหินเทพไม่ถึง 3,000 ตำลึงบรรพบุรุษของมันจึงคิดกลับไปหาทางรวบรวมหินเทพให้ครบ 3,000 ตำลึง เพื่อจะได้ซื้อโอสถทะลวงเทพมาให้มัน…
  อนิจจาแต่แผนที่คิดไว้กลับตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง
  พวกมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ว่าในขณะที่กำลังจะกลับไปหาทางรวบรวมหินเทพมาซื้อโอสถ จะปรากฏศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงโผล่ออกมาเสียก่อน แถมอีกฝ่ายก็มีหินเทพสูงพอจะซื้อโอสถทะลวงเทพได้ทันที…
  พอเห็นว่าโอสถทะลวงเทพกำลังจะตกไปอยู่ในมือผู้อื่น บรรพบุรุษของมันจึงบังเกิดความร้อนใจ สุดท้ายเมื่อพิจารณาจากข้อมูลของเมิ่งฉีโหย่วที่เคยได้ยินมา จึงตัดสินใจลงมือช่วงชิงทันที
  ถึงแม้จะสามารถรอให้ศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงคนนั้นซื้อโอสถทะลวงเทพไปก่อนค่อยลงมือได้เช่นกัน แต่การทำแบบนั้นก็เสี่ยงไม่น้อย เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าถ้าอีกฝ่ายซื้อไปแล้ว จะใช้โอสถทะลวงเทพทันทีเลยหรือไม่…
  อนิจจา แม้กระทั่งตัวบรรพบุรุษเองก็ไม่คิดเลยว่าการลงมือช่วงชิงครั้งนี้ จะนำมาสู่ความตาย!
  เมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถเทพที่มันเคยได้ยินผู้คนกล่าวถึงว่า สมควรมีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในบรรดาขอบเขตเทพของตระกูลเมิ่ง! ไม่คิดเลยว่าที่แท้พลังฝีมือจะไม่ได้อ่อนด้อยอย่างที่ผู้คนเข้าใจ การลงมือของอีกฝ่ายเมื่อครู่ เกรงว่าคงยากจะหาเทพขั้นต่ำคนไหนในเมืองหลินซานรับมือมันได้ด้วยซ้ำ…
  เพราะข้อมูลที่ได้รับมาไม่ถูกต้อง จึงทำให้บรรพบุรุษของมันพบกับความตาย
  เป็นโอสถทะลวงเทพเม็ดเดียว ที่ทำลายชีวิตบรรพบุรุษของมัน!
  มันต้องการล้างแค้น!!
  บรรพบุรุษได้มอบทุกสิ่งที่มีแก่มัน แต่กลับต้องมาตายเพราะมัน! มันย่อมไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของบรรพบุรุษไปง่ายๆ!!
  ในวันเดียวกัน หลัวเถิงอวิ๋น ก็หอบหิ้วความเคียดแค้นออกจากเมืองหลินซาน
  ยามใดที่มันบรรลุถึงขอบเขตเทพ มันจะย้อนกลับมาละเลงเลือดในเมืองหลินซาน!
  มันมีความมั่นใจในตัวเองสูงนัก!
  พรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังไม่ใช่สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของมัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของมันคือความเข้าใจในกฏต่างหาก!
  ความลึกซึ้งของกฏที่ตัวมันเข้าใจในปัจจุบัน ยังเหนือล้ำกว่าบรรพบุรุษมาก ตราบใดที่มันบรรลุถึงขอบเขตเทพ ต่อให้เป็นเทพขั้นกลางในเมืองหลินซานมันก็ไม่กลัว!
  รอถึงวันที่มันบรรลุเทพเมื่อไหร่ วันนั้นจะมีมรสุมโลหิตพัดถล่มเมืองหลินซาน!!
  …
  ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้รู้เลยว่าเขากลายเป็นเป้าล้างแค้นของอัจฉริยะในละแวกเมืองหลินซานผู้หนึ่ง อีกทั้งอีกฝ่ายยังเห็นเขาเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้อีก…
  ครึ่งก้าวขอบเขตเทพที่มั่นใจว่าหลังบรรลุถึงขอบเขตเทพ จะกายเป็นตัวตนที่เข่นฆ่าไร้ต้านติดในเมืองหลินซาน เกรงว่าคำอัจฉริยะยังไม่พอใช้เรียกหามัน ต้องเรียกว่าอัจฉริยะไร้ผู้ต้านแล้วจริงๆ
  นั่นเพราะในประวัติศาสตรของเมืองหลินซานและพื้นที่รอบๆเมืองหลินซาน ไม่เคยปรากฏตัวตนที่โดดเด่นเช่นนี้มาก่อน
  หลังต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พัก เขาก็กลับไปดูดซับพลังโอสะทะวงเทพในห้องทันที
  ระหว่างเดินทางกลับ เขาก็รู้สึกได้รางๆ ว่าจุดรอคอยขอบเขตเทพของเขาเริ่มส่อสัญญาณว่าจะกรุยออกแล้ว…
  วันแห่งการบรรลุเทพคงอีกไม่นาน!
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะ เมืองหลินซานที่แต่เดิมเคยสงบปานน้ำนิ่ง ก็กลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
  สำหรับชาวเมืองหลินซานนั้น เรื่องที่ เฉียนเฟย คุณชายรองตระกูลเฉียนพาผู้ติดตามขอบเขตเทพไปเข่นฆ่าล้างบางหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ในภูเขาไร้สิ้นสุด ถือเป็นเรื่องราวอันเล็กน้อยนัก
  ทว่าการปรากฏตัวของศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงในเมืองหลินซาน เห็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกคนเฝ้าติดตาม
  และเมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถเทพตระกูลเมิ่ง ได้ลงมือสังหารเทพขั้นต่ำที่คิดฉกชิงโอสถทะลวงเทพกลางศาลาสือสุ่ย ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญเช่นกัน
  …
  ณ เขตที่พักตระกูลเฉียน
  “เจ้ารอง พ่อได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าไปหาอนุคนใหม่ที่ภูเขาไร้สิ้นสุด…แถมยังไปฆ่าล้างหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้อีก?”
  เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียน มองไปยังลูกชายคนรอง เฉียนเฟย เบื้องหน้าพลางถาม คิ้วมันขดย่นเป็นปมหลวมๆ
  “ใช่ท่านพ่อ”
  เฉียนเฟยนั้นพยามอยู่นอกบ้างมันวางท่าหิ่งผยองถือดีเป็นที่สุด แต่ต่อหน้าผู้เป็นบิดา มันกลับเรียบๆร้อยๆแลดูเชื่องปานลูกแมว
  “เจ้าชอบวางอำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้อื่นเสมอ…หากเจ้าไม่ไปล่วงเกินคนที่ไม่อาจล่วงเกินก็ไม่นับเป็นอะไร”
  สีหน้าเฉียนเยว่จิ้นเริ่มมืดลง กล่าวคำด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงผ่านมายังเมืองหลินซานของพวกเรา เจ้าอย่าได้ไปล่วงเกินผู้อื่นเด็ดขาด!”
  “หากเจ้าไปมีเรื่องมีราวอะไรกับมัน ไม่มีผู้ใดในตระกูลเฉียนเราจะช่วยเจ้าได้ รวมถึงข้าด้วย”
  ยิ่งกล่าวน้ำเสียงของเฉียนเยว่จิ้นก็หนักแน่น