“นั่นมันพวกตระกูลเมิ่ง”
“พวกนิกายเมฆอรุณ กับนิกายฟ้ายุทธ์ก็มากันครบ…”
…
คนของตระกูลเฉียนย่อมจดจำร่างผู้ที่แห่กันมาได้เร็วไว เพราะสุดท้ายแล้วกลุ่มคนที่เหินมาจาก 3 ทิศทางหลักๆ ก็คือเหล่าคนของขุมกำลังใหญ่ที่เหลืออีก 3 ขุมกำลังของเมืองหลินซาน แถมที่มายังไม่ใช่คนธรรมดาๆ แต่เป็นถึงชนชั้นผู้นำ!
ผู้นำตระกูลเมิ่ง เมิ่งเหนียนอี้
ประมุขนิกายเมฆอรุณ ซือหม่าคงเหมิน
ประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ จ้าวอี้เฟิง
‘เจ้า 3 คนนั่น…พวกมันคิดมาชมดูความบันเทิงกระมัง…’
พอเห็นเหล่าชนชั้นผู้นำอีก 3 ขุมกำลังที่เหลือพาคนมาถึง สีหน้า เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะอีกฝ่ายไม่พ้นมาดูเรื่องราวเพราะความสนุกสนานแน่นอน
มันย่อมไม่คิดว่าทั้ง 3 จะนำกำลังคนมาช่วยมัน
ต่อหน้ายักษ์ใหญ่อย่างนิกายฟ้าจรัสแสง หากชายหนุ่มชุดม่วงบอกให้พวกมันทั้ง 3 นำกำลังคนมาช่วยถล่มตระกูลเฉียน เกรงว่าทั้ง 3 นั่นคงไม่อิดออด! น่ากลัวจะเร่งรุดลงมือแทบไม่ทันด้วยซ้ำ!!
เพราะไม่มีเรื่องไหนจะดีไปกว่าได้ช่วยเหลือศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงทำลายตระกูลเฉียนที่เป็นดั่งคู่แข่งของพวกมันมานานอีกแล้ว…
“สหายน้อยหลิงเทียน พวกเราพบกันอีกแล้ว”
เสียงมากอัธยาศัยหนึ่งดังขึ้น เป็นเมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่งที่ติดตาม เมิ่งเหนียนอี้ผู้นำตระกูลเมิ่งมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานด้วย
มันในฐานะคนตระกูลเมิ่งที่รู้จักต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรกๆ ก็เร่งออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มทันที
“อาจารย์เมิ่ง…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ยังคลี่ยิ้มทักทายอีกฝ่ายด้วยดี ถึงแม้เขาจะรู้จักอีกฝ่ายผ่านการซื้อขาย แต่เพราะโอสะทะลวงเทพที่เขาซื้อมา ก็ทำให้เขาสามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพได้ในเวลา 3 เดือน
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตเทพตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อนแล้ว แต่เขาเลือกจะปรับพลังทั้งทำความคุ้นเคยกับพลังเทพในร่าง จึงไม่ได้รีบร้อนออกมา
จนวันนี้ เมื่อเขารู้สึกว่าสามารถใช้พลังเทพได้คล่องแคล่วไม่ต่างแขนขา จึงเลือกจะออกจากการปิดด่าน
และสิ่งแรกที่เขากระทำหลังออกจากการปิดด่าน ก็คือมาเยือนตระกูลเฉียนถึงถิ่น เพื่อทวงความเป็นธรรมให้แก่หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้!
หลังจบเรื่องราวล้างแค้น เขาก็วางแผนจะออกจากเมืองหลินซานเพื่อไปเผชิญโลกกว้าง…
ด้วยพลังฝีมือของเขาในปัจจุบัน การอยู่เมืองหลินซานก็เป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ
“สหายน้อยหลิงเทียน ข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จัก…นี่คือผู้นำตระกูลเมิ่งของเรา เมิ่งเหนียนอี้”
ด้วยเพราะเมิ่งฉีโหย่วนั่นรู้จักกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน ทำให้ตระกูลเมิ่งได้มีโอกาสสานไมตรีกับต้วนหลิงเทียนก่อนใคร สิ่งนี้ทำให้คนของนิกายเมฆอรุณกับนิกายฟ้ายุทธ์รู้สึกไร้กำลังอยู่บ้าง ด้านเมิ่งเหนียนอี้ก็ไม่รอช้าเร่งออกตัวประสานมือกล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพทันที “สหายน้อยหลิงเทียน ข้าคือผ้ำของตระกูลเมิ่ง เมิ่งเหนียนอี้ เป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก ที่ได้พบเจออัจฉริยะเช่นท่าน”
“ผู้นำเมิ่งกล่าวชมเกินไป”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าทักทายผู้นำตระกูลเมิ่งด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เอง ด้านประมุขนิกายเมฆอรุณกับประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ไหว เร่งก้าวออกมาทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัยทันที “นายน้อยต้วน ข้าคือประมุขนิกายเมฆอรุณ ซือหม่าคงหมิง เป็นเกียรติยยิ่งนักที่ได้พบอัจฉริยะจากนิกายฟ้าจรัสแสงเช่นท่าน”
ประมุขนิกายเมฆอรุณเป็นชายวันกลายงคนที่แต่งตัวเรียบๆร้อยๆราวบัณฑิตนักศึกษา ในมือถือพัดขนนกเล่มหนึ่ง ป้องมือประสานทักทายต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นมิตร
“นายน้อยต้วน ข้าประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ จ้าวอี้เฟิง ยินดีที่ได้พบท่าน”
ประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม รูปร่างปานกลางมาในชุดจอมยุทธ์เรียบง่าย แม้หน้าตาจะแลดูธรรมดา แต่สองตานั่นแหลมคมปานมีดดาบ ลักษณะท่วงท่าทั้งบรรยากาศรอบตัวของมันให้ความรู้สึกเฉียบคมไม่ใช่ชั่ว
“นายน้อยต้วน มิทราบเฉียนเฟยของตระกูลเฉียนไปล่วงเกินท่านอย่างไรหรือ แล้วมิทราบท่านต้องการให้นิกายฟ้ายุทธ์ของข้าช่วยเหลืออันใดหรือไม่?”
หลังจ้าวอี้เฟิงกล่าวแนะนำตัว มันก็เร่งกล่าวเสนอตัวออกมาคนแรก
ได้ยินคำพูดของจ้าวอี้เฟิง สีหน้าเฉียนเยว่จิ้นผู้นำตระกูลเฉียนก็เปลี่ยนสีไปทันที “ประมุขจ้าว ปากท่านจักรับประทานอันใดก็ได้ แต่มิอาจพูดเหลวไหลอะไรก็ได้…ตอนนี้มิแน่ทุกเรื่องราวอาจเป็นเพียงการเข้าใจกันผิด”
“ข้าเชื่อว่าลูกชาคนรองของข้า เฉียนเฟย มิใช่คนมีตาแต่ไร้แวว ถึงขั้นหาญกล้าไปล่วงเกินนายน้อยต้วนได้”
“และหากมันกล้าล่วงเกินนายน้อยต้วนจริง ข้าจักฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!”
ประโยคท้ายเสียงกล่าวของเฉียนเยว่จิ้นก็หนักแน่นจริงจังนัก เห็นชัดว่าเป็นการประกาศจุดยืนของตระกูลเฉียนให้ต้วนหลิงเทียนรู้ชัด ว่าตระกูลเฉียนเองก็ไม่เต็มใจจะล่วงเกินศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงอย่างต้วนหลิงเทียน
เดิมทีก่อนที่เฉียนเยว่จิ้นจะประกาศจุดยืนของจตระกูลเฉียนออกมา ด้านผู้นำตระกูลเมิ่งรวมถึงประมุขนิกายเมฆอรุณก็คิดจะออกหน้าช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนตามประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกมันกลับช้าเกินไป เฉียนเยว่จิ้น กลับพูดออกมาชัดเจนก่อนที่พวกมันจะได้เสนอหน้า
จังหวะนี้ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะเสียใจนัก ว่าไฉนไม่รีบพูดให้เร็วกว่าประมุขนิกายฟ้ายุทธ์!
พวกมันรู้สึกว่าตอนนี้ไม่พ้นจ้าวอี้เฟิงต้องได้ใจศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงไปแล้วแน่…และหากศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงคนนี้คิดสอดมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องราวในเมืองหลินซานวันหน้า เกรงว่านิกายฟ้ายุทธ์จะมีเปรียบผู้อื่นแล้ว
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ สีหน้าของทั้งสองก็ยิ่งปั้นยากนัก
ขุมกำลังหลักทั้ง 4 แห่งเมืองหลินซานมักจะคานอำนาจกันอยู่เสมอๆ และหังจากผ่านวันเวลามาหลายปี ทั้งหมดก็อยู่ในจุดสมดุล หากว่านิกายฟ้ายุทธ์ได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงล่ะก็ คงเป็นหายนะสำหรับอีก 3 ขุมกำลังไม่น้อย…
“สหายน้อยหลิงเทียน”
ภายใต้เสียงผ่านพลังของเมิ่งเหนียนอี้ผู้นำตระกูลเมิ่ง เมิ่งฉีโหย่ว ก็คลี่ยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเป็นมั่นเหมาะ “วันนี้ไม่ทราบมีเรื่องราวใด ตระกูลเมิ่งเราพร้อมสนับสนุนท่าน และหลังจบเรื่องแล้วตระกูลเมิ่งเราคิดเชิญท่านไปเป็นอาคันตุกะเพื่อให้พวกเรามีโอกาสต้อนรับสักครา”..
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำเมิ่งฉีโหย่ว ซือหม่าคงหมิง ประมุขนิกายเมฆอรุณ ก็เร่งกล่าวเชิญชวนต้วนหลิงเทียนออกมาอีกคน “นิกายเมฆอรุณเราก็ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งหากนายน้อยต้วนเต็มใจมาเยือนในฐานะแขกผู้มีเกียรติ…และมิว่านายน้อยมีคำชี้แนะใด นิกายเมฆอรุณของพวกเราก็ยินดีน้อมรับ”
“ไว้สนทนากันหลังจบเรื่องตระกูลเฉียนเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองทั้งคู่รอบหนึ่งพลางกล่าว
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ประมุขนิกายฟ้ายุทธ์จ้าวอี้เฟิงที่คิดจะชวนต้วนหลิงเทียนไปเป็นแขกที่นิกายเช่นกัน ก็ไม่ทันได้พูดอะไร แต่มันก็คิดว่าไม่สายเกินไปที่จะเอ่ยถึงหลังจบเรื่อง
จากนั้นจ้าวอี้เฟิงก็หันไปมองเฉียนเยว่จิ้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับใกล้หมดความอดทนเต็มที “ตาแก่เฉียน ลูกชายคนที่ 2 ของเจ้าสารเลวน้อยเฉียนเฟยนั่น มันยิ่งใหญ่นักหรือไร? ถึงได้กล้าปล่อยให้นายน้อยต้วนเสียเวลารอคอยอยู่เนิ่นนาน! ป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่ไปลากคอมันออกมาอีก!!”
สีหน้าของเฉียนเยว่จิ้นซีดลงปานกระดาษ แต่มันก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร ด้วยกลัวว่าหากทักท้วงก็รังแต่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนมีโมโหเพิ่มเปล่าๆ
มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พยายามปั้นหน้ายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “นายน้อยต้วน ลูกไม่รักดีของข้ากำลังมาแล้ว”
เฉียนเฟยนั้น ไม่กี่วันมานี้ก็ง่วนอยู่กับอนุคนใหม่ของสกุลเถี่ยสาขา 2 ที่ภูเขาไร้สิ้นสุด หลังเฉียนเยว่จิ้นส่งข้อความให้เฉียนชิว ด้านเฉียนชิวก็เร่งรุดพามันกลับมาทันที
ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง
“ไม่รีบ…แต่วันนี้หากข้าไม่เห็นหน้าเฉียนเฟย ข้าก็แค่เอาบัญชีทั้งหมดไปลงหัวตระกูลเฉียนของพวกเจ้าเท่านั้น…”
ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปยังเฉียนเยว่จิ้นพลางกล่าว
เป็นธรรมดาว่าเมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่กลัวว่าตระกูลเฉียนยังจะกล้าซ่อนตัวเฉียนเฟยหรือปกป้องมันอีก
“ขอนายน้อยต้วนโปรดวางใจ ลูกไม่รักดีของข้าจักมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า”
ในขณะที่ใจของเฉียนเยว่จิ้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด มันก็เร่งเปิดปากกล่าวออกไปเร็วไว ไม่กล้าละเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะเดียวกันกับที่แววตามันฉายชัดถึงความตื่นตระหนก มันก็เร่งส่งข้อความถามไถ่เฉียนชิวทันที พอพบว่าทั้งคู่กำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับ มันก็พอได้โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“อีกเรื่อง ข้าคิดว่าทั้งหมดสมควรเป็นเรื่องเข้าใจกันผิด”
เฉียนเยว่จิ้นยังกล่าวเสริมออกมา
เฉียนเยว่จิ้นยยังเชื่อว่าทั้งหมดต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ
ลูกชายของมันไม่น่าจะเคยพบเจอชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยซ้ำ เพราะครั้งสุดท้ายที่เรียกลูกชายมาตักเตือน มันก็ยังเลือกจะวาดภาพเหมือนต้วนหลิงเทียนและเอาไปส่งให้ลูกชายในวันเดียวกัน ด้วยกลัวว่าจะเผลอไปล่วงเกินอีกฝ่ายโดยไม่ทันรู้ตัว
และตอนนั้นลูกชายของมันก็ไม่ได้เผยท่าทีผิดแปลกอะไรหลังได้เห็นภาพเหมือน เพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น
และตัวมันเองก็มั่นใจว่าภาพเหมือนของมันวาดได้เหมือนตัววจริงไม่ผิดเพี้ยน
มันก็เลยมั่นใจได้ทันทีว่าลูกชายของมันไม่เคยพบเจอศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงคนนี้มาก่อน
ด้วยเหตุนี้มันก็ยังคงโล่งใจอยู่ได้ เพราะรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดวันนี้สมควรเกิดจากการเข้าใจอะไรผิดแน่นอน
“เข้าใจผิด?”
อย่างไรก็ตามพอได้ยินคำพูดมั่นใจของเฉียนเยว่จิ้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลอบหัวเราะเยาะในใจ
สิ่งที่เฉียนเฟยทำลงไป มันห่างไกลกับคำว่าเข้าใจผิดมากโข!
คนของหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้หลายร้อยชีวิตถูกเฉียนเฟยฆ่าล้างอย่างอำมหิต กระทั่งเด็กน้อยตัวเล็กๆที่ยังไม่รู้ความก็ไม่เว้น!
วันนี้เขาจะฆ่าเฉียนเฟยให้ตาย!
“ไฉนถึงคึกครื้นกันนักเล่า?”
ในขณะที่บรรยากาศน่านฟ้าตระกูลเฉียนกำลังอึมครึม อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล ฟังแล้วยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พอทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัว ก็ปรากฏร่างชราหนึ่งในสายตาทุกคน
เป็นชายชราในชุดคลุมสีขาวอมเทา รูปร่างผ่ายผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น เส้นผมขนคิ้วล้วนเป็นสีขาวโพลน พอปรากฏตัวขึ้นมาและมองเห็นเฉียนเยว่จิ้น สองตามันก็เปล่งประกายขึ้นมาทันใด “เจ้า…เจ้าคือเจ้าหนูเยว่จิ้นหรือ?”
อันที่จริงตั้งแต่ที่ชายชราปรากฏตัวให้เห็น เฉียนเยว่จิ้นกับอาวุโสในตระกูลเฉียนหลายคนก็ตกตะลึงอึ้งไปเป็นแถบ
จนพอชายชราเอ่ยทักออกมาอีกครั้ง เฉียนเยว่จิ้นก็รู้สึกเสมือนตื่นจากฝัน จากนัน้ใบหน้าของมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แววตาฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดี “ท่าน…ท่านบรรพบุรุษ!? ข้า…ข้ามองไม่ผิดใช่หรือไม่ ท่าน…ท่านบรรพบุรุษ?!”
บรรพบุรุษ!?
สิ่งที่เฉียนเยว่จิ้นพูดออกมา ทำให้คนของตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ และนิกายฟ้ายุทธ์ขมวดคิ้วทันที พอมองไปยังชายชราผู้มาใหม่อีกครั้ง ในแววตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แถมในปัจจุบัน หลังจากที่ชายชราปรากฏตัวได้สักพัก พวกมันก็ตระหนักถึงความไม่ธรรมดาของชายชรา ด่านพลังของอีกฝ่ายสมควรอยู่เหนือขอบเขตเทพขั้นกลางแน่นอน หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะมองพลังฝึกปรืออีกฝ่ายไม่ออกแบบนี้!!
นอกจากนั้น เฉียนเยว่จิ้นเรียกหาอีกฝ่ายว่าบรรพบุรุษแบบนี้ ก็บอกให้รู้ชัดว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นเทพขั้นสูงไม่ผิดแน่!
เพราะใน 4 ขุมกำลังของเมืองหลินซาน มีกฏที่ไม่ได้เขียนเอาไว้…
เมื่อไหร่ก็ตามที่ปรากฏเทพขั้นสูงขึ้นใน 4 ขุมกำลัง เทพขั้นสูงผู้นั้นจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการช่วงชิงและการต่อสู้ของขุมกำลังทั้ง 4 หาไม่แล้วจะกลายเป็นศัตรูร่วมของสาธารณะทันที
ไม่ใช่มีแต่ตระกูลเฉียนเท่านั้น ที่มีเทพขั้นสูง
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงติดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผู้นำตระกูลเมิ่ง ประมุขนิกายเมฆอรุน หรือประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ ก็สามารถเรียกบรรพบุรุษในตระกูลหรือบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายของพวกมันมาได้ทันที…
ดังนั้นพวกมันจึงบังเกิดความหวาดกลัวที่เห็นบรรพบุรุษตระกูลเฉียนปรากฏตัวเท่านั้น แต่ไม่ได้แตกตื่นเสียขวัญอะไร
“พอดีข้ามีธุระที่ต้องทำแถวนี้ ก็เลยกลับมาดูที่บ้าน…”
ชายชราหัวเราะ
“คารวะท่านบรรพบุรุษ!”
“คารวะท่านบรรพบุรุษ!”
…
ขณะเดียวกัน คนของตระกูลเฉียนที่รู้สึกตัวแล้ว ก็เร่งประสานามือโค้งคารวะชายชราด้วยท่าทีมากเคารพทันที
ชายชราก็คลี่ยิ้มพยักหน้ารับคำทักทาย พลางกวาดตามองคนของตระกูลเฉียนด้วยสายตาอ่อนโยน
อย่างไรก็ตาม พอมันสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียน คนของตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณรวมถึงนิกายฟ้ายุทธ์ที่นิ่งเฉยไม่มีปฏิกริยาใด มันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย จึงหันไปถามเฉียนเยว่จิ้นว่า “แล้วคนพวกนี้เล่า มิใช่คนของตระกูลเฉียนเราหรือ?”
“จ้าวอี้เฟิง ขอคารวะอาวุโสเฉียนซู่หวน”
แทบจะพร้อมๆกับที่เสียงเอ่ยถามของชายชราดังจบคำ จ้าวอี้เฟิงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ก็ป้องมือประสานโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการคารวะทักทายก่อน ค่อยกล่าวกับชายชราด้วยรอยยิ้มสืบต่อ “ไม่พบกันหมื่นปี…ผู้อาวุโสยังคงสง่างามมิเปลี่ยน”
เฉียนซู่หวน
หลังจ้าวอี้เฟิงกล่าวจบคำ คนของตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณก็ตอบสนองเรื่องราว และป้องมือคารวะทักทายชายชราเช่นกัน
เฉียนซู่หวนเป็นเทพขั้นสูงที่ปรากฏขึ้นในตระกูลเฉียนเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน
ในตอนนั้นด้วยความที่พวกมันยังเยาว์ จึงเคยได้ยินแต่ชื่อของอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่เคยพบคนตัวเป็นๆ…