กล่าวไปก็เป็นเรื่องบังเอิญ
เมื่อหมื่นกว่าปีก่อน หลังจากเฉียนซู่หวนบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แล้ว มันที่เดินทางออกจากตระกูลเฉียนกระทั่งเมืองหลินซาน ก็ได้เข้าร่วมกับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพแห่งหนึ่ง แน่นอนว่ามันเป็นแค่ข้ารับใช้เท่านั้น และได้รับมอบหมายให้เป็นบรรณารักษ์ในหอตำราของขุมกำลังดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ฐานะของมันจะต่ำต้อย แต่อย่างน้อยๆมันก็อยู่ในขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ เช่นนั้นเรื่องราวในแวดวงสูงๆ มันก็ได้ยินมาไม่น้อย
ดุจเดียวกับนิกายฟ้าจรัสแสง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถายที่ตั้งขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่เฉียนซู่หวนอยู่มากนัก
กล่าวให้ชัดก็คือ ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่เฉียนซู่หวนเข้าร่วมมักประจบประแจงนิกายฟ้าจรัสแสง ดังนั้นขุมกำลังของมันกับนิกาฟ้าจรัสแสงก็มีอดีตร่วมกันไม่น้อย แม้แต่ข้ารับใช้อย่างเฉียนซู่หวน ก็ยังได้ยินเรื่องราวของนิกายฟ้าจรัสแสงมามากมาย
เรื่องที่ เย่เป่ยหยวน คือจ้าวหุบเขาเงาจันทร์แห่งนิกายฟ้าจรัสแสง ไม่เพียงแต่เฉียนเยว่จิ้นผู้นำตระกูลเฉียนล่วงรู้ เฉียนซู่หวนก็ล่วงรู้เช่นกัน
และหลายๆเรื่องที่เฉียนเยว่จิ้นไม่รู้ ทว่าเฉียนซู่หวนกลับรู้
ในบรรดาเรื่องเหล่านั้น ก็คือศิษย์คนเดียวของเย่เป่ยหยวนจ้าวหุบเขาเงาจันทร์แห่งนิกายฟ้าจรัสแสงนั้น เมื่อ 30 ปีก่อนก็ได้ถูกนิกายทอดทิ้งและตกตายไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินว่าเย่เป่ยหยวนรับศิษย์คนใหม่อีกเลย
‘ว่ากันว่า…หลังจากใต้เท้าเย่เป่ยหยวนเสียลูกศิษย์ที่รักไป ก็เข้าสู่ระนาบสมรภูมิและไม่เคยกลับออกมาอีกเลย…’
นี่คือสิ่งที่เฉียนซู่หวนล่วงรู้
ในขณะที่ความคิดของเฉียนซู่หวนล่องลอยไปไกล ผู้นำตระกูลเฉียน เฉียนเยว่จิ้นก็ปรี่เข้าไปหาเฉียนเฟย งตะคอกออกเสียงดัง “ไอ้ลูกไม่รักดี! เจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!!”
คุกเข่า?!
พอเฉียนเยว่จิ้นตวาดออกมาแบบนั้น ไม่เพียงแต่เฉียนเฟยจะตกตะลึง กระทั่งคนอื่นๆเองก็อึ้งไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนอื่นๆตอบสนองเรื่องราว พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความเฉลียวฉลาดของเฉียนเยว่จิ้น เพราะการคุกเข่าลงนับเป็นการอ่อนน้อมศิโรราบอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเฉียนเฟยกับศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงจะไม่ได้มีเรื่องเข้าใจผิดกัน ขอเพียงแค่มีช่องว่างให้ประนีประนอม ศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงคงไม่ถึงขั้นบีบให้คนตายตก
“ท่านพ่อ…”
อย่างไรก็ตามคนอื่นๆสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ หากทว่าเฉียนเฟยที่เป็นคนวงในกลับยังติดตามเรื่องราวไม่ทัน มันไม่ได้คุกเข่าลงทันทีเพีงมองจ้องบิดาตัวเองด้วยสายตาว่างเปล่า
ในสายตาของเฉียนเฟย การคุกเข่าให้ผู้อื่นเป็นอะไรที่น่าอับอายขายหน้านัก
อย่างไรก็ตาม เฉียนเฟยที่พึ่งจะปริปากกล่าวคำ ก็โดนเฉียนเยว่จิ้นใช้พลังบีบให้คุกเข่าลงทันที พอคิดจะขัดขืน ก็ได้ยินเสียงผ่านพลังของเฉียนเยว่จิ้นเสียก่อน “เจ้าโง่! หากเจ้ายังไม่อยากตายรีบคุกเข่าลงไปเดี๋ยวนี้!!”
“บิดาผู้นี้เป็นบิดาของเจ้าทั้งคน หรือเจ้าคิดว่าข้าจักทำร้ายเจ้า?”
วินาทีนี้เฉียนเฟยเสมือนได้น้ำเย็นราดรดศีรษะ สติของมันกลายเป็นแจ่มใส จึงเร่งคุกเข่าลงไปอย่างว่าง่าย ก้มหัวลงไปไม่กล้ามองหน้าต้วนหลิงเทียนนอีก ลังเพื่อไม่ให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นใบหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจของมันอีกทาง
และด้วยความไม่เต็มใจถึงที่สุด ร่างของเฉียนเฟยจึงสั่นระริกไปเบาๆ
“นายน้อยต้วน…”
ต่อมา เฉียนเยว่จิ้นก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทีนอบน้อม “มิทราบว่าลูกไม่รักดีของข้าคนนี้ ไปล่วงเกินท่านตรงที่ใดหรือ?”
พอเฉียนเยว่จิ้นเอ่ยถามจบคำ ผู้คนบนฟ้าก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน ด้วยอยากรู้อยากเห็นว่าที่แท้เฉียนเฟยไปล่วงเกินศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงคนนี้ได้อย่างไร…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนจากตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ และนิกายฟ้ายุทธ์ พวกมันย่อมได้ยินสิ่งที่คนของตระกูลเฉียนกระซิบกล่าวบอกเฉียนซู่หวนแล้ว จึงรู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าไม่ใช่ศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงธรรมดาๆ
แต่เป็นถึงศิษย์ของเย่เป่ยหยวน จ้าวหุบเขาเงาจันทร์แห่งนิกายฟ้าจรัสแสง!
คนส่วนใหญ่ของอีก 3 ขุมกำลังอาจไม่รู้ว่าเย่เป่ยหยวนเป็นใคร…
อย่างไรก็ตามชนชั้นผู้นำของอีก 3 ขุมกำลังรู้ว่าเย่เป่ยหยวนเป็นใคร เพราะพวกมันเคยได้ยินมาบ้าง จึงรู้ว่านั่นคือคนสำคัญคนหนึ่งของนิกายฟ้าจรัสแสง เมื่อหลายปีก่อนก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตคฤหาสน์ตงหลินตะวันออก เพียงแค่หลังๆมานี้ไม่ค่อยได้ปรากฏตัว ทำให้ผู้คนในเขตคฤหาสน์ตงหลิงค่อยๆลืมเลือนกันไป และไม่เป็นที่รู้จักเหมือนในอดีต
“หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ในภูเขาไร้สิ้นสุด มีความเกี่ยวข้องกับข้า…”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเฉียนเยว่จิ้นพลางกล่าวเสียงเบา “อย่าได้บอกเชียว…ว่าผู้นำตระกูลเฉียนเช่นเจ้าไม่รู้ ทั้งๆที่เรื่องนี้ผู้คนแทบทั้งเมืองหลินซานล่วงรู้หมดแล้ว?”
ตั้งแต่ที่ได้ยินประโยคแรกของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเฉียนเยว่จิ้นก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง
แม้แต่ร่างเฉียนเฟยที่สั่นระริกเพราะคับแค้น ก็แข็งค้างไปทันที
พวกมันทั้งหมดหวาดกลัวแล้ว…
ด้วยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่น่ากลัวคนนี้ กลับมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้เล็กๆในภูเขาไร้สิ้นสุด!
พวกมันคิดเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าไฉนหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ในภูเขาไร้สิ้นสุด ถึงไปมีความสัมพันธ์กับตัวตนระดับนี้ได้…
จังหวะนี้จะเฉียนเยว่จิ้นก็ดีหรือเฉียนเฟยก็ดี พวกมันอื้ออึงจนรู้สึกเสมือนว่าตัวเองกำลังฝันไป
ซูว!
สีหน้าของเฉียนชิวเองก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง.
เพราะในตอนที่ฆ่าล้างหมู้บ้านสกุลต้วนทิศใต้ มันเองก็อยู่ข้างกายเฉียนเฟยด้วย
แม้แต่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่แข็งแกร่งที่สุด 2 คนของหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ก็ตกตายด้วยน้ำมือของมัน
สำหรับคนอื่นๆนั้น เป็นคนของตระกูลเถี่ยที่ลงมือ
ทันใดนั้นทุกคนบนฟ้านอกจากเฉียนซู่หวนก็ตระหนักเรื่องราวได้ทันที “ที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง!”
“ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนก่อน เฉียนเฟยนั่นได้ฆ่าล้างคนของหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ในภูเขาไร้สิ้นสุดจนหมดสิ้น กระทั่งไก่สุนัขยังไม่เหลือรอด…เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนในเมืองหลินซานเราอยู่พักหนึ่ง”
“เหอะๆ ผู้ใดไหนเล่าจักไปคิด ว่าเรื่องเล็กน้อยๆที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเพียง ‘กระต่ายตายจิ้งจอกโศกเศร้า’ ที่แท้จะเกี่ยวพันถึงศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสง นอกจากนั้นศิษย์คนดังกล่าวยังเป็นถึงลูกศิษย์ของเย่เป่ยหยวน จ้าวหุบเขาเงาจันทร์แห่งนิกายฟ้าจรัสแสงอีก!”
“เฉียนเฟยนั่นมันตายแน่!”
“หากหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ไร้เบื้องหลังก็แล้วไป…แต่ในเมื่อมีเบื้องหลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏขึ้น มันไม่มีทางรอดตัวไปได้!”
“นั่นก็ยังไม่แน่นัก…ต้องดูด้วยความความเกี่ยวข้องระหว่างศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงกับหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ที่ว่าแน่นแฟ้นเพียงใด หากเป็นแค่ความสัมพันธ์อันตื้นเขินก็อาจใช้เงินแก้ปัญหาได้มิใช่รึ? บางทีนายน้อยต้วนผู้นี้อาจไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ที่ว่ามากนัก แต่อาจอาศัยโอกาสนี้รีดไถเงินจากตระกูลเฉียนก็ได้มิใช่รึ?”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล สุดท้ายแล้วหากหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ที่ว่านั่นมันมีความสัมพันธ์อันดีกับนายน้อยต้วนจริง พวกมันก็ไม่น่าจะยังอาศัยอยู่ในภูเขาไร้สิ้นสุด”
…
ผู้คนบนฟ้าที่อยู่รอบๆ ไม่ว่าจะตระกูลเมิ่งก็ดีหรือนิกายเมฆอรุณกับนิกายฟ้ายุทธ์ก็ดี บัดนี้เริ่มกระซิบกระซาบคุยกันอย่างได้รสชาติ
ฟังจากคำพูดของพวกมัน บางคนก็คิดว่าวันนี้เฉียนเฟยต้องตายแน่นอน แต่บางคนก็รู้สึกว่ายังพอมีช่องว่างให้ต่อรอง
“นายน้อยต้วน”
ตอนนี้เองเฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนก็ดึงสติให้กลับมาอยู่กับตัวได้อีกครั้ง มันสูดลมหายใจเข้าลึกหๆ จากนั้นก็ฝืนยิ้มกล่าวออกมาว่า “มิทราบว่า…ท่านกับหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้แห่งนั้น มีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร?”
หากเป็นสมาชิกคนอื่นในตระกูลเฉียน มันคงไม่ถามอะไรแบบนี้ แต่คงลงมือฆ่าคนทันที
แต่ปัญหาคืออีกฝ่ายเป็นลูกชายคนรองของมัน ลูกชายแท้ๆของมัน!
ถึงแม้วว่ามันจะมีลูกชาย 2 คน แต่คนที่มันรักและเอ็นดูที่สุดก็คือลูกชายคนรองอย่างเฉียนเฟยที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆมัน…
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่…”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเฉียนเยว่จิ้นด้วยสายตาเฉยเมย “เจ้ากำลังคิดว่าหากข้าไม่ได้มีสัมพันธ์กับหมู่บ้านสุลต้วนดีอะไรนักหนา ก็คงคิดใช้อย่างอื่นดับโทสะของข้า แทนที่จะให้ลูกชายเจ้าเฉียนเฟยตายชดใช้ให้ข้ากระมัง?”
เฉียนเยว่จิ้นได้แต่เงียบ เพราะมันคิดแบบนี้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม อยู่ๆต้วนหลิงเทียนกลับกล่าวแฉเรื่องนี้ออกมา ทำให้ในใจมันบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นทันที!
และคำพูดต่อมาของต้วนหลิงเทียน ก็ยืนยันว่าลางสังหรณ์ของมันไม่ผิด…
“วันนี้มันต้องตาย!”
“เป็นธรรมดาว่าหากเจ้าคิดจะปกป้องมันก็ทำได้ แต่เจ้ากับตระกูลเฉียนต้องคิดให้ดี…ทันทีที่เจ้าออกหน้า ไม่ว่าเจ้าหรือตระกูลเฉียนก็ไม่อาจหวนกลับ!”
ต้วนหลิงเทียนปริปากกล่าวคำประกาศจุดยืนออกมาแน่วแน่ สายตาที่ดูสงบเฉยเมยกลายเป็นลึกล้ำขึ้นไม่น้อย ทำให้หน้าเฉียนเยว่จิ้นเปลี่ยนสีไปทันที
“ท่านผู้นำ!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ด้านคนของตระกูลเฉียนโดยรอบก็หน้าเปลี่ยนสีไปเร็วไว อาวุโสตระกูลเฉียนคนหนึ่งยังเร่งโพล่งความเห็นออกมาเสียงเข้มทันที “โปรดเห็นแก่ตระกูลด้วย!”
“ท่านผู้นำ โปรดเห็นแก่ตระกูลก่อนสิ่งใด!”
“ผู้นำ!”
…
ผู้คนในตระกูลเฉียนทั้งหลาย นอกจากเฉียนชิวแล้ว คนอื่นๆเร่งประสานมือโค้งหัวกล่าวร้องขอเฉียนเยว่จิ้นกันอย่างลนลาน เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องการให้เฉียนเยว่จิ้นรีบๆลงมือฆ่าเฉียนเฟยทิ้งไปเพื่อระงับโทสะของต้วนหลิงเทียนเสีย
สีหน้าเฉียนเยว่จิ้นตอนนี้ซีดลงปานกระดาษ คนคล้ายแก่ตัวลงนับสิบปีในชั่วพริบตา จากนั้นมันก็หันไปมองลูกชายที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ในดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมา
ด้านเฉียนเฟยเอง ก็เงยหน้าขึ้นมามองบิดาพอดี และพอเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของบิดา ทั้งเห็นว่าอีกฝ่ายคต่อยๆยกมือขึ้น มันก็รีบร่ำร้องออกมา หน้าซีดเผือด “ท่านพ่อ ไม่! ไม่นะ!!”
“เสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง ท่านพ่อฆ่าข้าไม่ได้1 ท่านไม่อาจฆ่าข้าได้!!”
เฉียนเฟยเร่งกล่าวร่ำร้องออกมาเสียงหลง น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนัก
อย่างไรก็ตามพอมันพบว่าแววตาของบิดาแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน มันก็เร่งหันไปร้องขอความช่วยเหลือจากเฉียนชิวทันที “ท่านปู่ชิว ช่วยข้าด้วย!!”
ฟุ่บ!
แทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเฉียนเฟยดังจบคำ ร่างเฉียนชิวก็วูบไหวราเงาพราย ไปหยุดลงเบื้องหน้าเฉียนเยว่จิ้น เพื่อหยุดอีกฝ่ายทันที
“อาวุโสชิว…”
สีหน้าเฉียนเยว่จิ้นเต็มไปด้วยความขมขื่น มันย่อมรู้ดีว่าอาวุโสเฉียนชิวคนนี้ รักและเอ็นดูลูกชายคนรองของตัวเองไม่ได้น้อยไปกว่ามันเลย…
มันก็เลยคิดไปตามสามัญสำนึกโดยไม่รู้ตัว ว่าอีกฝ่ายคิดปกป้องลูกชายตัวเอง น้ำเสียงก็เลยขื่นขมนัก…
ในขณะที่สองตาของเฉียนเฟยเป็นประกายสว่างจ้า และสีหน้าของคนตระกูลเฉียนที่เหลือก็เริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ รวมถึงกำลังจะตำหนิเฉียนชิว ทั้งกล่าวเตือนอีกฝ่ายไม่ให้ลากทั้งตระกูลเฉียนล่มจมออกมานั้นเอง…
เฉียนชิวก็กล่าวออกมาก่อนว่า “ท่านผู้นำตระกูล ข้าเองก็มีส่วนร่วมในการทำลาหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ที่ภูเขาไร้สิ้นสุดด้วย หลังจากข้าฆ่าคุณชายรองด้วยมือของข้าเองแล้ว ข้าจะตัดหัวตัวเองเพื่อบรรเทาโทสะของนายน้อยต้วน”
พอเฉียนชิวกล่าวจบคำ สีหน้าคนตระกูลเฉียนก็ผ่อนลงทันที อย่างไรก็ตามไม่นานหลายๆคนก็เผยท่าทีเสียใจออกมา
เฉียนชิว จะอย่างไรก็เป็นตัวตนขอบเขตเทพของตระกูลเฉียนคนหนึ่ง…
เมื่อตกตายไป ก็เท่ากับว่าตระกูลเฉียนได้สูญเสียตัวตนขอบเขตเทพไป…
บัดนี้ สายตาที่เหล่าอาวุโสตระกูลเฉียนใช้มองเฉียนเฟยนั้นยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…เพราะไอ้ลูกมารดาสำส่อนคนนี้คนเดียว หากมันตายไปคนเดียวก็ช่างปะไร! แต่นี่กลับลากอาวุโสขอบเขตเทพคนหนึ่งของตระกูลเฉียนให้ตกตายไปพร้อมมันอีก!!
“ท่านปู่ชิว..!!”
เฉียนเฟยแต่เดิมพอเห็นเฉียนชิวออกหน้า มันก็คิดว่าอาจจะรอดพ้นหายนะแล้ว แต่พอได้ยินคำพูดของเฉียนชิวมันก็อึ้งไปทันใด จากนั้นสีหน้าและแววตาก็เริ่มเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
วู้มมม!!
เฉียนชิวยกมือขึ้น พลังเทพรวมรั้งเร็วไว คลื่นพลังกำจายออกมาไม่หยุด ก่อเกิดสายลมรุนแรงป่วนปั่น
“ช้าก่อน!”
ทว่าในขณะที่เฉียนชิวกำลังจะงมือเข่นฆ่าเฉียนเฟยนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นเฉียนซู่หวน บรรพบุรุษตระกูลเฉียนที่เงียบมาตลอดออกปากขึ้น ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง “ท่านเป็นศิษย์ของใต้เท้าเย่เป่ยหยวนจริงๆหรือ?”
“แต่เท่าที่ข้าทราบมา…ศิษย์เพียงคนเดียวของใต้เท้าเย่เป่ยหยวนพึ่งจะตกตายไปเมื่อ 30 ปีก่อน…”