ตอนที่ 3636 กำแพงอัสนี 6 ชั้น!

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ฉากเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้า ทำให้นักศึกษา 10 ดาวรวมถึงเหล่าอาจารย์ที่มาชมดูอดไม่ได้ที่จะจับจ้องอย่างไม่วางตา
  “ต้วนหลิงเทียนนั่น เกรงว่าคงต้องแพ้แล้วล่ะ!”
  “ติงเหยียนมันเร่งเร้าพลังทั้งเปิดฉากลงมือก่อน พลังสภาวะถูกเร่งเร้ามาเต็มเปี่ยม แถมบัดนี้ยังกระตุ้นใช้สายเลือดคุ้มคลั่งแล้วอีก ทำให้ด่านพลังของมันบรรลุถึงเทพขั้นกลางในชั่วระยะเวลาหนึ่ง…เมื่อด่านพลังมันทัดเทียมกับต้วนหลิงเทียน พร้อมด้วยกฏแห่งไฟอันทรงพลังนั่น คงไม่ใช่เรื่องยากที่มันจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้ในกระบวนเดียว!”
  “จากสถานการณ์ในปัจจุบัน…เว้นเสียแต่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าใจกฏที่ทรงพลังกว่าติงเหยียน เกรงว่าคงมีแต่จะแพ้ถ่ายเดียว!”
  “ข้าก็ว่างั้น!”
  “ต้วนหลิงเทียนยังพึ่งอายุเท่าไหร่กัน? แต่ระดับพลังฝึกปรือของมันทะลวงถึงเทพขั้นกลางแล้ว สิ่งนี้ช่างน่าทึ่งนัก…แต่เห็นได้ชัดว่ามันสมควรทุ่มเวลาไปกับการบ่มเพาะพลัง เช่นนั้นความเข้าใจในกฏของมันย่อมยากจะเหนือกวว่าติงเหยียนได้ เว้นเสียแต่ความเข้าใจของมันจะเทียบได้กับเหล่าอัจฉริยะเหล่านั้น!”
  “มิผิด…ด้วยอายุเพียงเท่านี้และด่านพลังถึงเทพขั้นกลาง เว้นแต่มันจะมีความเข้าใจเทียบได้กับเหล่าอัจฉริยะในนิกายหมอกเร้นลับที่อยู่เบื้องหลังสถานศึกษาหมอกเร้นลับของพวกเรา หรือเทียบได้กับเหล่าอัจฉริยะของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอันดับต้นๆรวมถึงขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพทั่วไป หาไม่แล้วคงยากจะเอาชนะติงเหยียนที่ใช้สายเลือดคุ้มคลั่งได้!!”
  …
  ในปัจจุบันผู้คนไม่ได้มองต้วนหลิงเทียนในแง่ดีมากนัก
  แม้แต่หลิวจินเองถึงก่อนหน้าซูเฟิงหยางจะลอบส่งเสียงผ่านพลังบอกมันแล้ว แต่พอเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า ใจมันก็อดไม่ได้ที่จะเต้นระส่ำ!
  ในปัจจุบันมีเพียงซูเฟิงหยางคนเดียวที่สีหน้ายังคงความสงบไม่แปรเปลี่ยน
  เหตุผลที่ไฉนมันยังนิ่งอยู่ได้ เพราะอาจารย์ลุงของมันบอกว่าต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดา
  ‘นี่น่ะเหรอ สายเลือดคุ้มคลั่ง?’
  ด้านต้วนหลิงเทียนที่กำลังเผชิญหน้ากับการบุกจู่โจมเข้ามาด้วยพลังกฏแห่งไฟทั้งหมดรวมถึงกระตุ้นใช้สายเลือดคุ้มคลั่งของติงเหยียน สีหน้าเขายังคงความสงบนิ่งเหมือนเดิม หากแต่ในดวงตาเผยความประหลาดใจเล็กน้อย
  และในขณะที่ติงเหยียนบุกตะลุยเข้ามาเจียนถึงตัวเขาแต่เขายังนิ่งอยู่ ทำให้ทุกคนคิดว่าเขากลัวจนเอื่อยเฉื่อย อยู่ๆร่างเขาก็อันตรธานหายไปคงเหลือไว้แต่ภาพติดตา…
  ติงเหยียนที่รวมรั้งพลังทั้งหมด ก็ซัดพลังจั่วลมดังขวับ!!
  “นั่นมันความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ!”
  “ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏมิติ!? ที่แท้ต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญกฏมิติ!”
  …
  ท่ามกลางสายตาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ร่างก็ได้วูบหายผ่านความว่างเปล่าไปผุดโผล่บนฟ้าสูง สองตาก้มลงมองติงเหยียนด้านล่างไกลๆด้วยความเฉยเมย
  “ข้าเกรงว่า ติงเหยียนอาจจะแพ้แล้วล่ะ…”
  “เทพขั้นกลางที่เข้าใจกฏมิติ อาศัยความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั่น…เว้นเสียแต่จะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญกฏแห่งลม และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 2 ประการที่มุ่งเน้นด้านความเร็วเป็นพิเศษสักชุด สำหรับผู้ที่ใช้กฏอื่นๆ นอกจากจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการขึ้นไปสักชุด หาไม่แล้วไม่มีทางไล่ตามมันได้ทันเลย…”
  “ติงเหยียนแพ้แล้วล่ะ”
  …
  เมื่อสถานการณ์เบื้องหน้าบังเกิดความพลิกผัน ทำให้ผู้ชมโดยรอบได้ตระหนักว่าก่อนหน้าพวกมันมองข้ามอะไรไป…
  หากต้วนหลิงเทียนเก่งกฏมิติล่ะก็ ย่อมสามารถเลือกจะหลบหนีการโจมตีของติงเหยียนได้อย่างแน่นอน และหากอาศัยการหลบหลีกประวิงเวลา รอให้พลังของสายเลือดคุ้มคลั่งที่ติงเหยียนกระตุ้นใช้หมดลงเมื่อไรถึงตอนนั้นติงเหยียนก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะพลังสายเลือดคุ้มคลั่งของติงเหยียนเองก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก
  ต่อให้ฝืนประคองสภาวะเต็มที่ แต่อยย่างดีพลังสายเลือดคุ้มคลั่งของติงเหยียนก็อยู่ได้เค่อเดียวเท่านั้น
  ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่พลังสายเลือดคุ้มคลั่งหมดลง ติงเหยียนเองก็จะได้รับผลกระทบจากการใช้พลังสายเลือด ทำให้ตกอยู่ในสถานะอ่อนแอเป็นการชั่วคราว
  ปงงง!!
  ติงเหยียนที่ลงมือพลาด เมื่อสัมผัสได้ถึงร่างต้วนหลิงเทียนบนฟ้า มันที่รู้ดีว่าตอนนี้มันตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ก็เร่งเร้าพลังสุดตัวถีบเท้ากระทืบพื้นเวทีประลอง ส่งร่างทะยานขึ้นไปราวดาวหาง คนทั้งคนคล้ายกลับกลายเป็นดวงลูกเขื่องแหวกฟ้าขึ้นไปส่งเสียงดัง ‘ฟุ่บ’ เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนกลางอากาศอย่างดุร้าย!
  วูบ!
  ต้วนหลิงเทียนเพียงรอให้ติงเหยียนบุกตุยเข้ามาห่างเพียงครึ่งก้าว ก็ใช้ความลึกซึงเคลื่อนมิติวูบร่างหายไปอีกครั้ง หลบการจู่โจมสุดตัวของติงเหยียนได้อย่างง่ายดายอีกรอบ
  ติงเหยียนที่ได้แต่จั่วลม บัดนี้ก็ไม่ไหวจะทนสืบไป คนโพล่งออกมาอย่างดุร้ายปานสัตว์ป่าคำราม “ต้วนหลิงเทียนเจ้า ทำได้แค่หลบหลีกรึไร!?”
  “ตัวขี้ขลาด! เจ้ามันตัวขี้ขลาดไม่กล้าสู้กับข้าตรงๆ!!”
  ติงเหยียนตอนนี้ไหนเลยจะไม่หัวร้อนปุดๆได้ เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นอีหร็อบนี้ต่อไป หลังผ่านไป 1 เมื่อไหร่ ความฉิบหายก็มาเยือนแน่แล้ว เพราะทันทีที่พังสายเลือดคุ้มคลั่งจบลง มันไม่พ้นต้องถูกผู้อื่นทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว!
  พอถึงจุดนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผลกระทบที่จะทำให้ร่างกายมันอ่อนแอลงจากผลข้างเคียงเลย แม้จะไม่มีผลข้างเคียงอะไร ก็เป็นเรื่องยากที่มันจะทำอะไรอีกฝ่ายได้
  ท้ายที่สุดแล้วด่านพลังก็ต่ำกว่าผู้อื่นเขาเป็นขั้น!
  บัดนี้ติงเหยียนยังเริ่มสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว หากรู้แต่แรกว่าอีกฝ่ายเป็นเทพขั้นกลางที่ดันเชี่ยวชาญกฏมิติล่ะก็ มันไม่มีวันยอมรับคำท้ามาประลองด้วยแบบนี้หรอก…เลือกตีเนียนปิดด่านบ่มเพาะจนแพ้ไปเพราะไม่รับคำท้าในเวลาที่กำหนดดีกว่า!
  สำหรับมันแล้ว ต่อให้ต้องเสียบ้านพักให้อีกฝ่ายไปแล้วจะเป็นอะไรได้? อาศัยพลังฝีมือของมันเรื่องจะไปชิงบ้านพักหลังอื่นในเขตหอพักระดับต่ำมันจะไปยากอะไร แถมบ้านแต่ละหลังในเขตหอพักระดับต่ำก็มีสภาพแวดล้อมเหมือนๆกัน
  “หืม?”
  ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มประชดประชันขึ้น “ติงเหยียน เจ้าคิดว่าข้ากำลังถ่วงเวลางั้นเหรอ?”
  “เฮอะ! แล้วไม่ใช่รึไง!?”
  ติงเหยียนพ่นลมสบถกล่าวเย้ย
  “ไม่ใช่เป็นธรรมดา”
  ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ก็แค่ข้าไม่เคยเห็นสายเลือดคุ้มคลั่ง ก็เลยอยากลองดูสักพักว่ามันทำอะไรได้บ้าง…แต่ในเมื่อเจ้ารีบร้อนพ่ายแพ้นัก เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์ให้”
  พอกล่าวจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลง จากนั้นพลังเทพทั่วร่างของเขาก็เปลี่ยนไป มันเริ่มผสานรวมเข้ากับความลึกซึ้งมิติบางอย่างและปลดปล่อยพลังอำนาจออกมา จากนั้นเพียงยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน เบื้องหน้าหน้าก็บังเกิดพายุมิติขึ้นเป็นหย่อมๆทันที!
  ทันใดนั้นความลึกซึ้งของกฏมิติ 2 ประการก็เริ่มผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ความว่างเปล่าบัดนี้ คล้ายปรากฏเมฆฝนทะมึนมืด 4 ก้อนโคจรมาบรรจบกัน!
  ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็กดฝ่ามืองอย่างไม่รีบไม่ร้อน!
  เปรี๊ยงงงง!!
  บังเกิดเสียงดั่งสนั่นขึ้นปานฟ้าคำรน เมฆทะมึน 4 ก้อนที่บรรจบกันพลันก่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นในฉับพลัน จากนั้นพอต้วนหลิงเทียนกดฝ่ามือลงมา ห่าอัสนีจากพายุฝนฟ้าคะนองดังกล่าวก็ฟาดผ่าออกไปนับหมื่นพันสายในฉับพลัน ก่อเกิดเป็น ‘กำแพงอัสนี’ ขึ้นอยย่างน่ากลัว แถมยังมีทั้งสิ้น 6 แนว จากนั้นพวกมันก็คล้ายพุ่งผ่านความว่างเปล่า ไปปรากฏรอบติงเหยียนอย่างอัศจรรย์!
  เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
  …
  แรกสุดก็เป็นกำแพงอัสนี 4 แนวพุ่งไปปรากฏซ้ายขวาหน้าหลังติงเหยียนในฉับพลัน และกำแพง 4 แนวยังบีบเข้ามาจนประกบติดกันไร้รอยต่อสุดที่มันจะตั้งตัวได้ทัน
  จากนั้นติงเหยียนที่กำลังตื่นตระหนกก็พบว่ากำแพงอัสนีอีกแนวได้ปรากฏขึ้นใต้เท้าและเลื่อนมาประกบกับกำแพงทั้ง 4 ด้าน
  พอติงเหยียนที่ตื่นตระหนกคิดจะพุ่งร่างหลบขึ้นฟ้า มันก็พบว่าไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กำแพงอัสนีแนวสุดท้ายก็ได้มาปรากฏเหนือศีรษะมันเรียบร้อยแล้ว!
  ในเวลาเพียงชั่วพริบต กำแพงอัสนี 6 แนว ก็ได้เกาะตัวเป็นกล่องลูกบาศก์หนึ่ง กักขังร่างติงเหยียนเอาไว้ด้านใน!
  จนเมื่อเสียงอัสนีฟาดผ่าดั่งเปรี๊ยงปร้าง เหล่าผู้ที่ชมดูเรื่องราวพลันได้สติกลับคืน จากนั้นก็มองคุกสายฟ้าเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ
  “ร้ายกาจ!!”
  สองตาซูเฟิงหยางเป็นประกายสว่างไสว มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพอต้วนหลิงเทียนลงมือ จะลงมือได้รวบรัดหมดจด พริบตาก็ขังติงเหยียนไว้ในกล่องอัสนีได้แล้ว!
  อาจารย์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับคนอื่นเอง ก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง
  ด้านอาจารย์แซ่หยวนที่สนิทมสนมกับติงเหยียนเอง ใบหน้ามันยังไม่อาจปิดซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้อีก “เป็นไปได้อย่างไรกัน…มันเป็นแค่เด็กน้อยอายุไม่ถึง 2,800 ปีด้วยซ้ำ แต่ไม่เพียงจะบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นกลางแล้ว ยังผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 2 ประการได้ถึง 4 ชุด!?”
  ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งติงเหยียนเองยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้แค่ 2 ประการ 3 ชุดเท่านั้น!
  ยิ่งไปกว่านั้นกฏมิติเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด ยากที่เข้าใจกว่ากฏทั่วไปเป็นทุน กล่าวได้ว่าการจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งกฏมิติ 2 ประการสักชุด ยังยากกว่าเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 2 ประการ 2 ชุดเสียอีก!
  ที่สำคัญที่สุดก็คือ…
  ผู้ที่บรรลุความสำเร็จถึงระดับนี้ ยังมีอายุไม่ถึง 2,800 ปี แถมยังบรรลุถึงเทพขั้นกลางแล้วด้วย!
  เมืองวายุสวรรค์มีสัตว์ประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
  จังหวะนี้ในใจของอาจารย์แซ่หยวนนอกจากจะเต็มไปด้วยความตกใจแล้ว ก็มีแค่ความตกตะลึงพรึงเพริดเท่านั้น!
  ขณะเดียวกัน ด้านนักศึกษา 10 ดาวที่ชมดูเรื่องราวอยู่ พอรู้สึกตัวอีกครั้ง สีหน้าแต่ละคนก็ฉายชัดถึงความประหลาดใจ “มารดามัน ให้ดิ้นตายเถอะ! ข้าดูผิดหรือไม่…นักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ของพวกเรา ไม่เพียงแต่จะเข้าใจกฏมิติเท่านั้น แต่มันยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งกฏมิติ 2 ประการได้แล้วถึง 4 ชุด!?”
  “ในเมื่อเป็นนักศึกษาใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบเข้ามา กล่าวได้ว่าอายุของมันไม่มีทางเกิน 2,800 ปี…กล่าวได้ว่าตอนนี้มันยังมีอายุไม่ถึง 2,800 ปี นับว่าอ่อนกว่าพวกเราส่วนใหญ่เสียอีก!!”
  นักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีอายุเกินกว่า 2,800 ปีทั้งสิ้น
  มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมีอายุไม่ถึง 2,800 ปี
  เพราะในสถานศึกษาหมอกเร้นลับนั้น นักศึกษา 9 ดาวทุกคน เมื่อมีอายุครบ 2,800 ปีแล้ว ก็จะถูกบังคับให้เข้าทดสอบประเมินเลื่อนขั้นเป็นนักศึกษา 10 ดาว หากล้มเหลวในการทดสอบก็จะถูกขับออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับทันที และหากจะเข้าร่วมนิกายหมอกเร้นลับ ก็จะเป็นได้แค่ศิษย์สายนอกเท่านั้น
  “ไม่อยากจะเชื่อเลย ข้าหลงคิดว่ามันต้องแพ้ติงเหยียนเสียอีก…ตอนนี้พอนึกย้อนดู ข้านับว่าดูเบามันเกินไปจริงๆ!”
  “คิดไม่ถึงจริงๆว่าจักมีนักศึกษา 10 ดาวหน้าใหม่ที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้น ก่อนหน้าไม่ปรากฏอยู่นาน พอปรากฏทีก็เป็นตัวตนท้าทายสวรรค์เช่นนี้เชียวรึ?”
  “ตัวตนเช่นมัน แม้จะไปขอเข้าร่วมขุมกำลังระดับจอมราชันเทพโดยตรง ข้าเชื่อว่าไม่มีขุมกำลังไหนไม่ยินดีต้อนรับมัน กระทั่งยังยินดีจะทุ่มทุนส่งเสริมมันด้วยซ้ำกระมัง?”
  …
  พอเหล่านักศึกษา 10 มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาแต่ละคนก็ฉายถึงความนับถือไม่น้อย โดยเฉพาะหลิวจินที่รู้จักต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรก ตอนนี้ก็ยืนอึ้งอ้าปากค้างไปแล้ว เพราะมันสุดที่จะจินตนาการได้ออกจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจขนาดนี้
  นับว่าอาจารย์ซูเฟิงหยางไม่ได้โกหกมันจริงๆ!
  “มันจบแล้ว”
  ท่ามกลางสายตาของทุกคน มือขวาต้วนหลิงเทียนที่กดลงก่อนหน้า พลันหุบลงคล้ายจะกำหมด
  “เมตตาด้วย!!”
  เห็นฉากดังกล่าว สีหน้าซูเฟิงหยางก็เปลี่ยนไปทันที ยังเร่งตะโกนออกมาอย่างเสียงดังลั่น
  ด้านอาจารย์สถานศึกษาหมอกเร้นลับคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปไม่ต่าง โดยเฉพาะอาจารย์แซ่หยวนที่สนิทสนมกับติงเหยียน เพราะตอนนี้ต่อให้มันคิดจะลงมือช่วยเหลือ ก็สายเกินไปแล้ว!
  เปรี๊ยงง!!
  เปรี๊ยงง!!
  …
  เสียงอัสนีฟาดผ่าดังลั่น เป็นกำแพงอัสนีทั้ง 6 แนวที่เกาะตคัวเป็นกล่องกักขังร่างติงเหยียนเอาไว้พลันระเบิดพลังสายฟ้าอันเกรี้ยวกราดออกมา ปานพลุไฟสว่างไสว ย้อมฟ้าให้เจิดจ้าในบัดดล มองไกลๆแล้วเป็นอะไรที่แลดูงดงามไม่น้อย!
  “โอ๊ยยยย!!”
  เสียงกรีดร้องโหยหวนพลันดังขึ้น “ยอมแล้ว! ข้ายอมแพ้แล้ว!!”
  อย่างไรก็ตามพอได้ยินเสียงกรีดร้องดังกล่าว ซูเฟิงหยางกับอาจารย์คนอื่นๆของสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะสิ่งนี้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ฆ่าติงเหยียน
  และท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของทุกคน เมื่อพลังสายฟ้าอันน่ากลัวได้จางหายไป ร่างไหม้เกรียมราวกับไปคลุกถ่านแสนอเนจอนาถก็ปรากฏสู่สายตาทุกคน…
  “เอ่อ..”
  เห็นสภาพติงเหยียนแล้ว มุมปากทุกคนอดกระตุกไปไม่ได้
  เพราะติงเหยียนในปัจจุบันนั้น เส้นผมที่เคยยาวสลวยของมัน บัดนี้ถูกพลังสายฟ้าเผาไหม้จนไม่มีเหลือ กลายเป็นหัวล้านเตียนโล่ง ไร้ขนคิ้ว เนื้อตัวยังดำเยี่ยงถ่านปรากฏรอยแผลไหม้เป็นหย่อมๆ แถมชุดเสื้อผ้าที่ไหม้เกรียมจนหลุดร่อนเป็นผงนั้น ยังทำให้ ‘ของลับ’ บางอย่างโผล่ออกมาโทงเทงท้าลมหนาว…
  วุ้มมม!
  ติงเหยียนที่คล้ายตระหนักได้ถึงความโล่งเย็นวูบวาบ พลันเร่งเร้าพลังเพลิงขึ้นมาปกคลุมทั่วร่างอย่างไม่รอช้า พริบตาต่อมาเพลิงพลังทั่วร่างก็ควบแน่นกลายเป็นชุดคลุมสีแดงเพลิง รอยแผลไหม้ตามตัวยังเริ่มดีขึ้น
  อิจจาเส้นผมขนคิ้วที่หายไป ยังไม่อาจงอกใหม่ได้…
  ติงเหยียนมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน “เจ้าไฉนไม่บอก…ไฉนจึงไม่บอกข้าแต่แรกว่าเจ้าบรรลุถึงเทพขั้นกลางแล้ว! แถมยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 2 ประการได้ถึง 4 ชุดอีก?”
  “หากเจ้าบอกข้าแต่แรก…ข้ายังไม่มอบบ้านพักโกโรโกโสนั่นให้เจ้าอีกหรือ?”
  “แล้วดูเจ้าทำกับข้า!”
  เรียกว่าพอติงเหยียนโพล่งคำออกมาอีกครั้ง ก็เสมือนลูกสะใภ้ตัวน้อยที่โดนแม่ผัวรังแกมา กำลังร่ำร้องขอความเป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น…
  ฉากดังกล่าวทำให้ทุกคนอึ้งไปตาปริบๆอยู่พักหนึ่ง
  พวกมันไม่อาจจินตนาการได้ออกจริงๆ ว่าชายหนุ่มร่างใหญ่ปานหมีควายผู้หนึ่ง กลับสามารถร่ำร้องงอแงออกมาราวสาวน้อยโดนรังแกเช่นนี้ได้…