การปรากฏตัวของจ้งเค่อฉีเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของทุกคนอยู่บ้าง
ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็หันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
“เจ้าน่ะหรือคือต้วนหลิงเทียน?”
หลังจากที่จ้งเค่อฉีปรากฏตัว มันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยรอยยิ้มปรามาสทั้งวางอำนาจทันที “เจ้าเป็นคนของตระกูหรือนิกายใด…ถึงได้หาญกล้าพูดว่าจะท้าทายข้า จ้งเค่อฉี ผู้นี้! หรือเจ้าคิดว่าตระกูลจ้งของข้าเป็นเสือกระดาษ?!”
“ไอ้หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลราชาเทพหมายความว่าอย่างไร?”
ยิ่งมารอยยิ้มประชดประชันที่มุมปากจ้งเค่อฉีก็ยิ่งหนักขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แยแสจ้งเค่อฉีแม้แต่น้อย เพียงหันไปมองถามซูเฟิงหยางว่า “อาจารย์ซูในเมื่อคนที่ข้าคิดท้าทายก็มาถึงที่แล้ว…เช่นนั้นข้าสามารถท้าทายมันโดยตรงได้เลยหรือไม่?”
“ย่อมได้”
ซูเฟิงหยางพยักหน้าตอบคำด้วยรอยยิ้มร่า
เมื่อครู่ตอนที่จ้งเค่อฉีปรากฏตัวออกมาและเริ่มกล่าววาจาข่มขู่ มันก็กังวลว่าต้วนหลิงเทียนจะบังเกิดความกริ่งเกรงพอดี แต่พอมาได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ความกังวลใดๆล้วนมลายหายกลายเป็นโล่งใจ และในขณะเดียวกัน มันก็กล่าวส่งเสียงผ่านพลังไปถึงต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน อย่าได้กังวลอันใด…ถึงแม้เจ้าจะทำให้มันไม่พอใจ แต่อาศัยตระกูลจ้งก็ไม่อาจฟาดงวงฟาดงาในสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้ได้ อีกทั้งท่านคณบดีก็จักปกป้องเจ้าสุดกำลัง”
“ตระกูลจ้งนั่น มันมีหรือจักกล้า!”
“นอกจากนั้นด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจของเจ้า มิแน่ท่านคณบดียังอาจจะรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ…เมื่อเจ้ากลายเป็นศิษย์ของท่านคณบดีแล้ว พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ตระกูลจ้ง ให้ตระกูลใหญ่ทั้งหมดในเมืองวายุสวรรค์มัดรวมกันมา ก็ไม่มีความกล้าพอจะแตะต้องเจ้า!”
ซูเฟิงหยางพอกล่าว ก็ยกอ้างคณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับออกมาเป็นหลักประกันทันที
คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ?
ได้ยินคำพูดผ่านพลังของซูเฟิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวในงานประมูลตระกูลโจวเมื่อครึ่งเดือนก่อนทันที วันนั้นเขาเองก็ได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาของ มู่หรงสุยเฟิง คณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับชัดถนัดหู บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และสมควรเป็นผู้ที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งพอตัว…
กอปรกับเรื่องที่หลายคนคาดเดากันไปว่ามู่หรงสุยเฟิงอาจบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะถูกขนานนามว่า อันดับ 1 ในเมืองวายุสวรรค์
หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ตอบซูเฟิงหยาง เพราะเขาไม่อาจกราบคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้เป็นอาจารย์ได้ เพราะอาจารย์ของเขามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นและในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระนาบเทวโลก กล่าวให้ชัดคืออยู่ในนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก
‘ไม่รู้…ป่านนี้ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง’
พอคิดถึงฟงชิงหยางขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เพราะที่อาจารย์เขาถูกบีบคั้นให้ต้องหลบหนีเข้าสู่นรกอสุราอีกครั้ง เหตุผลหลักๆมันเป็นเพราะเขา หาไม่แล้วป่านนี้อาจารย์ของเขาก็ยังคงมีความสุขและอยู่อย่างสบายในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน รอวันที่ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบเทพเปิดออกเมื่อไหร่ ก็จะขึ้นสู่ระนาบเทพ และกลายเป็นเทพอันทรงพลัง!
อาจารย์เขาได้เข้าใจมรรคาศาสตราอันเป็น 1 ใน 4 จตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกแล้ว แถมยังได้รับสืบทอดมรดกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดอีก ยามใดที่ก้าวขึ้นสู่ระนาบเทพและสามารถตั้งตัวได้ อนาคตก็ถูกลิขิตให้กลายเป็นตัวตนที่สามารถโดดเด่นขึ้นมาเหนือใครหลายๆคนในแดนเทพ
แต่บัดนี้กลับทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ในนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลกเท่านั้น…
“เช่นนั้นข้าจะท้าทายมันโดยตรง ต่อหน้าผู้คนในที่นี้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ครู่ต่อมา สายตาเขาก็หันขวับไปจับจ้องจ้งเค่อฉีราวมีสายฟ้าฟาดลั่น มุมปากยังยกยิ้มแสยะหยันหยาม “เจ้าสมควรเป็น จ้งเค่อฉี นายน้อยแห่งตระกูลจ้งกระมัง? ตอนนี้ข้าต้วนหลิงเทียนขอท้าประลองกับเจ้า แล้วเจ้าจะสู้กับข้าที่นี่…หรือหนีไปเยี่ยงตัวขี้ขลาดเล่า?”
พอได้ยินวาจาดุร้ายของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจ้งเค่อฉีก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ว่านักศึกษา 10 ดาวคนใหม่เบื้องหน้าจะกำแหงถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่มันยกตระกูลจ้งออกมาข่มแล้ว!
เป็นไปได้หรือไม่…ที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าตระกูลจ้งของมันยิ่งใหญ่และมีอำนาจแค่ไหน?
หรือบางที อีกฝ่ายอาจจะคิดว่าคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับจะสามารถคุ้มกะลาหัวได้จริงๆ?
“ต้วนหลิงเทียน!”
ทันใดนั้นเอง จ้งเค่อฉีพลันกล่าวส่งเสียงผ่านพลังไปถึงต้วนหลิงเทียน และในถ้อยคำน้ำเสียงก็ไม่ขาดการข่มขู่คุกคามแม้แต่น้อย “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคงเชื่อว่าคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับจักคุ้มกะลาหัวเจ้าได้กระมัง…แต่ข้าอยากจะขอเตือนเจ้าไว้อย่าง ต่อให้คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้จักมีฐานะเป็นถึงรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ทว่ายามปกติแล้วคณบดีมักจะรั้งอยู่ในเมืองวายุสวรรค์เพื่อดูแลสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่ไปไหน…”
“ถึงแม้ในเมืองวายุสวรรค์ข้ากับตระกูลของข้าอาจแตะต้องเจ้าไม่ได้…แต่เจ้าไปถึงนิกายหมอกเร้นลับเมื่อใด ผู้อาวุโสในตระกูลจ้งของข้าสามารถละเล่นกับเจ้าได้ง่ายดายเสมือนเจ้าอยู่ในกำมือ!”
“กระทั่งในเมืองวายุสวรรค์แห่งนี้ เจ้ามั่นใจหรือว่าคณบดีจักสามารถอยู่เคียงข้างเพื่อคอยปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา?”
กล่าวได้ว่าจ้งเค่อฉี กล่าวข่มขู่กันซึ่งๆหน้า!
อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญหน้ากับเสียงผ่านพลังข่มขู่อย่างเอาเรื่องของจ้งเค่อฉี ต้วนหลิงเทียนเพียงคลี่ยิ้มบางๆแล้วกล่าวออกมาตรงๆ “เจ้าไม่ต้องข่มขู่ข้าด้วยการส่งเสียงผ่านพลังหรอก…วันนี้เจ้ามีทางเลือก 2 ทางเท่านั้น หนึ่งคือสู้กับข้า หรือหนีไปเยี่ยงตัวขี้ขลาด”
“อ่อจริงสิ เจ้ายังสามารถเลือกได้อีกทาง…ก็แค่กล่าวยอมแพ้ออกมาเสีย”
“ข้าคิดว่าจากสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ การเลือกจะยอมแพ้ข้าออกมาตรงๆสมควรดีที่สุด…เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
หลังพูดจบต้วนหลิงเทียนก็มองลึกไปยังจ้งเค่อฉี
“เจ้า…”
จ้งเค่อฉีไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ว่าหน้าและเมินคำขู่มันตรงๆ แถมยังโพล่งออกมาให้ผู้อื่นรู้กันทั่วอีกว่ามันส่งเสียงเสียงผ่านไปพลังไปข่มขู่ ทำให้โทสะอารมณ์ของมันพุ่งปรี๊ดแททะลุหลอด “แล้วเจ้าจะเสียใจ! สักวันเจ้าต้องสำนึกเสียใจแน่!!”
หลังสบถคำออกมาด้วยโทสะจบ จ้งเค่อฉีก็หันไปมองกล่าวกับซูเฟิงหยาง แววตาของมันยังทอแสงเยียบเย็นนัก “อาจารย์ซูที่มันท้า ข้ายอมแพ้”
พอกล่าวจบมันก็หันหลัง แล้วเหินร่างจากไปทันที
ให้สู้กับต้วนหลิงเทียนหรือ?
มันยังไม่ไร้สมองถึงขนาดนั้น!
มันไม่ใช่แม้แต่คู่ต่อสู้ของหงจวิ้นด้วยซ้ำ และในเมื่อหงจวิ้นยังแพ้ต้วนหลิงเทียน หากมันทะลึ่งรับคำท้าต้วนหลิงเทียนก็เสมือนถูกลิขิตให้ขึ้นไปโดนทุบตีต่อหน้าผู้คน!
เช่นนั้น มิสู้ก่าวคำยอมแพ้ออกมาตรงๆยังประเสริฐกว่า!
เดิมทีมันก็คิดจะเพิกเฉยคำท้าทายของต้วนหลิงเทียนแล้วกลับไปหอพักเพื่อรอให้หมดเวลาตามกำหนด…หรือในระหว่างที่รอเวลาก็ส่งข้อความติดต่อกลับไปยังตระกูลจ้ง ให้ทางตระกูลจ้งช่วยมันกดดันต้วนหลิงเทียนอีกทาง เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนเพิกถอนสาส์นท้าประลองไปเสีย…
อนิจจาตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวดักคอไว้ ว่ามันจะเลือกหนีไปเยี่ยงตัวขี้ขลาดนั่น มันก็เสมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจตีเนียนหนีไปหน้าตาเฉยได้…
เพราะถ้ามันทำแบบนั้น ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีใครกล้าพูดว่ามันเป็นตัวขี้ขลาดหนีคำท้าต่อหน้าแน่ๆ แต่ลับหลังไม่พ้นมันต้องกลาเป็นตัว ‘ขี้ขลาด’ ในวงสนทนา กระทั่งยังจะกลายเป็นขี้ปากของคนทั้งเมืองวายุสวรรค์ สิ่งนี้จะติดตรึงอยู่กับมันไปชั่วชีวิต เป็นดั่งคราบบาปมิอาจลบ และจุดด่างพร้อยในชีวิตของมันไปตลอดกาล…นั่นคืออะไรที่มันไม่ต้องการเห็น
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าสนุกกับคืนวันอันดีของเจ้าไปเถอะ…เจ้ามีมันได้อีกไม่นานนักหรอก!”
ในขณะที่จ้งเค่อฉีเหินร่างจากไป ในหูต้วนหลิงเทียนก็มีเสียงผ่านพลังหนึ่งส่งตรงมาถึง เป็นจ้งเค่อฉีที่กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างอาฆาตปานตัวร้ายราคาถูก…
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่แยแสเป็นธรรมดา
ด้วยประกาลฉะนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยึดครองหอพักนักศึกษา 10 ดาวระดับสูงของจ้งเค่อฉี จากนั้นเขาก็เหินร่างจากไปต่อหน้าต่อตาผู้คน…
จนเมื่อแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปจากสายตาแล้ว ทุกคนค่อยได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
“เหอะๆ จากวันนี้เป็นต้นไป 1 ในหอพักระดับสูงของนักศึกษา 10 ดาวเราก็ได้เปลี่ยนเจ้าของเป็นที่เรียบร้อย…และในบรรดาหอพักระดับสูงทั้ง 5 บัดนี้ก็เหลือหอพักนักศึกษา 10 ดาวระดับสูงแค่ 2 แห่งเท่านั้น…ที่ผู้อาศัยมีพลังฝีมือไม่คู่ควรกับมัน”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมันมาจากที่ใดกันแน่ พลังฝีมือของมันร้ายกาจเกิน! จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!!”
“นั่นสิ ด้วยความแข็งแกร่งของมัน กล่าวได้ว่ามันสามารถสบปราบนักศึกษา 10 ดาวทั้งหมดได้ราบคาบ…จากนี้ไปมันอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเราวันหนึ่ง ก็เป็นนักศึกษาอันดับ 1 ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเราอีกวัน”
“เจ้านั่นยังมีอายุไม่ถึง 2,800 ปีด้วยซ้ำ…หากมันสามารถเติบโตก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น วันหน้ามันต้องกลายเป็นตัวตนระดับสูงในนิกายหมอกเร้นลับแน่นอน เผลอๆอาจถูกคาดหวังให้ขึ้นชิงตำแหน่งประมุขนิกายด้วยซ้ำ”
…
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป เหล่านักศึกษา 10 ดาวก็ไม่รีบร้อนแยกย้ายไปไหน เพียงยืนคุยกันอย่างออกรส และสายตาของอาจารย์หลาๆคนไม่เว้น หยวนเล่ย ก็เป็นประกายจ้า เรียกว่าตอนนี้มันไม่เหลือความขุ่นเคืองที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะนักศึกษาที่มันสนิทและเลือกมาอีกต่อไป…
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับคนหนึ่ง มันย่อมหวังให้นักศึกษา 10 ดาวมีความกระตือรือร้นเป็นธรรมดา ไม่ใช่อาศัยฐานะความเป็นมาเข้าข่มผู้อื่น จนเกิดเป็นสถานการณ์น่าเบื่อปานน้ำนิ่ง ยังมีอาจารย์คนไหนพอใจที่จะเห็นสภาพชั้นเป็นแบบนั้น?
ดั่งคำกล่าวที่ว่า
ยิ่งแข่งขัน ยิ่งก้าวหน้า
เหล่านักศึกษา 10 ดาวในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ที่ไม่เหลือแรงจูงใจในการแข่งขัน เพียงเลือกจะบ่มเพาะพลังไปอย่างสงบสุข ก็เสมือนถูกลิขิตให้ไม่อาจก้าวหน้าได้มากนัก และทุกคนก็เสมือนถูกกำหนดให้ใช้เวลาในสถานศึกษาหมอกเร้นลับอย่างเสียเปล่า ไม่ได้วางรากฐานหรือสร้างผลงานอันดี ที่จะเอาไปใช้ต่ออดในนิกายหมอกเร้นลับได้เลย
“ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งและอัศจรรย์ยิ่งนัก…”
หลิวจินถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าซับซ้อน มันก็หลงคิดว่าผู้อื่นเป็นนักศึกษาเข้าใหม่และคงอยู่ได้แต่ในหอพักระดับต่ำสุดเหมือนมันเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันแรกที่อีกฝ่ายมาถึง เรียกว่ายังไม่ทันได้นั่งในบ้านจนเก้าอี้อุ่นด้วยซ้ำ พี่ท่านก็เล่นท้าทายผู้อื่น ไต่ระดับหอพักจากต่ำสุด มาถึงหอพักระดับสูงได้ในเวลาอันสั้น…
กระทั่งสุดท้ายแล้ว ยังหาญกล้าท้าชิงหอพักระดับสูงของจ้งเค่อฉี นายน้อยตระกูลจ้งผู้นั้น!
แม้จะมีแค่นักศึกษา 10 ดาวและอาจารย์ในโถง 10 ดาวเท่านั้น ที่มาร่วมชมการประลองชิงหอพักของต้วนหลิงเทียนวันนี้ แต่เมื่อผู้คนแยกย้ายกันไป ข่าวเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วสถานศึกษาหมอกเร้นลับดั่งไฟลามทุ่ง
ใช้เวลาแค่พักหนึ่ง นักศึกษาทั้งหมด ไม่เว้นนักศึกษาใหม่ที่พึ่งผ่านการประเมินทดสอบเข้าสู่สถานศึกษาหมอกเร้นลับได้ ก็ได้รับทราบข่าวคราวและบังเกิดความตกใจจนอธิบายไม่ถูก “มิใช่เป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกันหรือไร…ไฉนพวกเรากับรุ่นพี่ต้วนถึงได้ห่างชั้นกันนักล่ะ รุ่นพี่ต้วนจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
“ใช่…รุ่นพี่ต้วนผู้นั้น ทั้งๆที่เข้าสถานศึกษามาวันแรกเหมือนพวกเราแท้ๆ แต่พี่ท่านสามารถเอาชนะรุ่นพี่หงจวิ้น ตัวตนที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 5 นักศึกษา 10 ดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานศึกษาลงได้ กลายไปเป็นนักศึกษาอันดับ 1 ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเรา!”
“รุ่นพี่ต้วน ดูเหมือนจะเป็นคนแรกในรอบ 10 ปีที่เข้าร่วมการประเมินทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเรากระมัง?”
“ใช่ แถมสถานศึกษาหมอกเร้นลับเราไม่มีนักศึกษา 10 ดาวคนใหม่มากว่า 30 ปีแล้ว…ข้าไม่คิดเลยว่าพอปรากฏขึ้นมาสักที จะกลายเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้1”
…
เรียกว่าวันนี้สถานศึกษาหมอกเร้นลับถูกกำหนดให้เดือดพล่านขึ้นมาเพราะชื่อ ต้วนหลิงเทียน
เมื่ออัสดงเริ่มหม่นแสง ย้อมโลกหล้าให้กลับกลายเป็นสีแดงฉานบ่งบอกเวลาโพล้เพล้
บนฟ้าสูงเหนือสถานศึกษาหมอกเร้นลับ สองร่างที่เหินลอยอย่างเงียบงันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ พอเห็นว่าม่านรัตติกาลใกล้คลี่กางเต็มที คนก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นโฉมสะคราญ กับดรุณีน้อยแลดูร่าเริง
หากต้วนหลิงเทียนมาเห็น 2 ร่างที่พึ่งจากไปเมื่อครู่ เขาต้องจดจำได้ทันทีแน่ เพราะทั้งคู่ก็คือ ต้วนเฉียวอวี่ กับอวี๋ชิวซวน ที่เขาพบเจอตอนไปโรงประมูลตระกูลโจวเมื่อครึ่งเดือนก่อน…
และในคืนเดียวกัน ทางตระกูลจ้ง ตระกูลราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์ก็ถูกลิขิตให้เป็นค่ำคืนที่ไม่อาจหลับใหล
“พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือยัง เห็นว่านายน้อยเค่อฉีถูกใครที่ไหนก็ไม่ทราบท้าชิง สุดท้ายก็ต้องเสียหอพักนักศึกษา 10 ดาวระดับสูงไป…”
ถึงแม้จ้งเค่อฉีจะส่งข่าวมาบอกแค่คนใกล้ชิดของมัน และไม่ได้บอกให้คนอื่นในตระกูลล่วงรู้ อนิจจากระดาษมิอาจห่อไฟได้นาน สุดท้ายเรื่องที่มันถูกท้าจนต้องยอมแพ้ก็แดงขึ้นมา และเริ่มแพร่กระจายไปทั่วตระกูลจ้งอย่างรวดเร็ว…
เนื่องเพราะมีนักศึกษา 10 ดาวกับอาจารย์หลายคนอยู่ในเหตุการณ์ ทั้งหลายก็นำเรื่องนี้ไปบอกต่อจนรู้กันทั้งสถานศึกษาหมอกเร้นลับ แน่นอนว่าในบรรดาผู้ที่ได้ยินเรื่องราวย่อมไม่ขาดคนในตระกูลราชาเทพทั้งหลาย จึงเร่งส่งข้อความบอกต่อๆกันไปทันที ยังมีคนของตระกูลราชาเทพอื่นๆที่ไม่ถูกกับตระกูลจ้ง ก็เสมือนได้ทีขี่แพะไล่ สั่งให้คนในตระกูลเอาไปโพทนาเร็วไว ไม่ว่ามีเรื่องสำคัญอันใดให้เอาไว้ที่หลัง หมายให้ตระกูลจ้งกลายเป็นตัวตลก…
เรียกว่าไม่ใชแค่ในบรรดาตระกูลราชาเทพใหญ่ๆเท่านั้น
กระทั่งตระกูลราชาเทพที่ด้อยกว่า ไม่เว้นกระทั่งตระกูลระดับเทพทั้งหลาย ก็ล่วงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกันถ้วนหน้า…
เป็นธรรมดา…
ต่างจากบรรยากาศอันเงียบสงบอึมครึมของตระกูลจ้ง ตระกูลราชาเทพอื่นๆล้วนมีควมสุขจนแทบจะจัดงานเลี้ยงฉลองความโชคร้ายของตระกูลจ้ง กระทั่งคนจากตระกูลราชาเทพเหล่านี้ ยังหัวเราะเยาะนายน้อยตระกูลจ้งเสียงดังลั่นกลางเหลาอาหาร หรือร้านรวงต่างๆ…
และนั่นย่อมเป็นชวนเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่ง! กลายเป็นว่าค่ำคืนนี้เกิดการนองเลือดระหว่างตระกูลระดับราชาเทพไม่น้อย!!
กล่าวให้ถูกก็คือเกิดการนองเลือดระหว่างตระกูลจ้ง กับตระกูลราชาเทพใหญ่อื่นๆ…