ไปหาคณบดีแล้วขอโดยตรง?
ฟังที่ติงเหยียนพูด ต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าหากทำแบบนั้นจริงก็น่าจะได้อยู่ แต่เขาไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นเลย
เพราะเมื่อไปขอโดยตรงแบบนั้น เขาก็จะติดหนี้บุญคุณผู้อื่นครั้งใหญ่…
เรื่องของเรื่องคือ เขาไม่คิดว่ามันจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น
“ข้ายังอยากเห็นการทดสอบของนักศึกษา 10 ดาวกับตา…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางคลี่ยิ้มบางๆ
“เจ้า…”
เดิมทีติงเหยียนก็คิดจะเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวต้วนหลิงเทียนต่อ แต่พอเห็นแววตาของต้วนหลิงเทียน มันก็เลือกจะเงียบและไม่คิดเสียเวลาพูดอะไรออกมาอีก
ไม่ยากที่มันจะมองออก ว่าต้วนหลิงเทียนตัดสินใจแน่แล้ว
“เช่นนั้น ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยเถอะ…หากพวกมันเห็นข้า อย่างน้อยๆพวกมันก็ต้องบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายบ้าง”
ติงเหยียนกล่าว
พอกล่าวจบประโยคแรก มันก็รีบกล่าวเสริมว่า “อ้อ แต่เจ้าอย่าพึ่งเข้าใจข้าผิดไปเล่า ข้าไม่ได้ตั้งใจไปกับเจ้าเพื่อคะแนนทดสอบ…ระหว่างการทดสอบ ผู้ใดฆ่าสัตว์อสูรได้ ก็เอาคะแนนไป”
ที่ติงเหยียนเร่งกล่าวออกมาก่อน ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะเข้าใจเจตนาของมันผิดไป
“เจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปทางติงเหยียน “หากคนของตระกูลราชาเทพทั้งหลายเห็นเจ้า พวกมันจะบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายด้วยหรือ?”
“หากข้าจำไม่ผิด…ไม่ใช่ทุกคนก็สมควรรู้กันหมดแล้วหรือไร ว่าเจ้าเองก็แพ้ข้าขาดลอย?”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ เขาก็อดนึกถึงสภาพติงเหยียนวันนั้นขึ้นไม่ไม่ได้ จึงเผลอหัวเราะออกมา
“เพ่ย! ข้ายังไม่ได้พูดสักคำว่าพวกมันจะบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายเพราะพลังฝีมือของข้า…ทั้งหมดเป็นเพราะตัวตนของข้าต่างหากเล่า!”
สองตาติงเหยียนเป็นประกายขึ้นมา หากแต่ยังฉายแววลังเลไม่น้อยคล้ายไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี
“ตัวตนของเจ้าหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ อดหันไปมองถามติงเหยียนไม่ได้ “แล้วที่แท้เจ้าเป็นใครมาจากไหนเล่า?”
ในความเห็นของต้วนหลิงเทียน หากติงเหยียนเป็นคนที่มีฐานะสูงพอจะทำให้คนของตระกูลราชาเทพทั้งหลายบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายจริง เช่นนั้นฐานะของอีกฝ่ายต้องสูงส่งไม่ธรรมดา แล้วไฉนอีกฝ่ายจึงอยู่ในหอพักระดับต่ำ ไม่ไปอยู่ในหอพักระดับกลางหรือสูงแทน?
“พอถึงตอนนั้น เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เห็นได้ชัดว่าติงเหยียนไม่คิดพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
และต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดเซ้าซี้ เพราะเขาก็ไม่คิดจะให้ใครมาปกป้องแต่แรก
ขอเพียงตระกูลราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์ ไม่ส่งตัวตนระดับราชาเทพมาฆ่าเขา ไม่ว่าจะเป็นเทพขั้นสูงกี่คน ต่อให้อีกฝ่ายจะเยอะจนเขาสู้ไม่ได้จริง เขาก็มั่นใจว่าสามารถหลบหนีได้แน่…แต่ที่สำคัญคือพวกมันจะแห่กันมามืดฟ้ามัวดินจนเขาต้องหนีจริงๆเหรอ?
และเผลอๆบางทีพอถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าใครจะไล่ฆ่าใครกันแน่!
“เอาล่ะ ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจของเจ้า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ติงเหยียนอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งตรงไปรับแจกโอสถเทพ พอได้แล้วเขาก็เตรียมจะเดินออกจากโถง 10 ดาวเพื่อกลับไปบ่มเพาะพลังต่อ รอวันทดสอบนักศึกษา 10 ดาว
“ต้วนหลิงเทียน!”
ทว่าพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง และผู้พูดก็เหมือนกำลังเดินเข้ามาหาเขา พอต้วนหลิงเทียนหันกลับไปดู เขาก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างปานกลางมาในชุดคลุมสีฟ้าหน้าตาแลดูธรรมดาเดินมาหยุดลงตรงหน้าเขา
“เจ้ามีอะไรหรือ?”
คนที่มาโผล่ในโถง 10 ดาวได้ ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักศึกษา 10 ดาวไม่ผิดแน่ แค่ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แล้วมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร
และหลังจากต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปได้ไม่ทันไร เสียงผ่านพลังของติงเหยียนก็ดังขึ้นในหูเขาพอดี “ต้วนหลิงเทียน เจ้านั่นเป็นคนของตระกูลจ้งเรียกว่า จ้งเฮ่อเหลียง…แต่มันเป็นแค่คนจากบ้านรองตระกูลจ้งเท่านั้น ฐานะมันเทียบกับจ้งเค่อฉีไม่ได้เลย”
แทบจะพอดีกับที่เสียงผ่านพลังของติงเหยียนดังจบคำ จ้งเฮ่อเหลียง ก็มองสบตาต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้รับมอบหมายจากตระกูลจ้งให้มายื่นข้อเสนอแก่เจ้า…ตราบใดที่เจ้ายินดีเข้าร่วมตระกูลจ้งของพวกเราในฐานะสาวกต่างแซ่ รวมถึงสาบานกับเลือดมารหัวใจว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลจ้งเราชั่วชีวิต ตระกูลจ้งของพวกเราก็จะลืมเลือนเรื่องราวความบาดหมางระหว่างนายน้อยกับเจ้าไปเสีย!”
“หาไม่แล้ว….”
แม้จ้งเฮ่อเหลียงจะจงใจพูดไม่จบประโยค แต่น้ำเสียงของมันก็ไม่ขาดการข่มขู่แม้แต่น้อย
ไม่ว่าใครก็พอเดาได้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ
“หาไม่แล้ว ตระกูลจ้งของพวกเจ้าจะทำไม?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจ้งเฮ่อเหลียงอย่างไม่แยแส ขณะกล่าวมุมปากยังยกยิ้มแสยะเล็กน้อย “หรือพวกเจ้าตระกูลจ้งคิดจะฆ่าข้าให้ได้? และต้นตอทั้งหมดก็เพียงเพราะข้าแย่งหอพักจ้งเค่อฉี…โดยที่ข้าทำตามกฏการชิงหอพักของสถานศึกษาหมอกเร้นลับทุกอย่าง? นี่ตระกูลจ้งของพวกเจ้าแพ้ไม่เป็นถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยเยี่ยงสตรีใจแคบเชียว?”
“ต้วนหลิงเทียน! ข้ารู้ว่าพรสวรรค์กับความเข้าใจของเจ้ามันยอดเยี่ยม…แต่ข้าจะแนะนำอะไรเจ้าสักอย่าง เพียงประพฤติตัวเป็นผู้ฉลาดรู้สถานการณ์เถอะ…”
จ้งเฮ่อเหลียงส่ายหัวไปมา “นี่เป็นคำแนะนำส่วนตัวของข้าคนเดียว…”
“และข้าหวังว่าเจ้าจะให้คำตอบข้าก่อนที่การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวจะเริ่มต้นขึ้น…หาไม่แล้วตระกูลจ้งไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
“นี่คือลูกแก้ววิญญาณของข้า”
พอจ้งเฮ่อเหลียงกล่าวจบ มันก็หันหลังเดินจากไป ยังไม่ลืมโยนลูกแก้ววิญญาณกลับมาให้ต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่แยแสลูกแก้ววิญญาณของอีกฝ่าย และกล่าวปฏิเสธออกไป “นั่นไม่จำเป็น”
“ประเสริฐ!”
จ้งเฮ่อเหลียงก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ มันใช้พลังดูดรั้งลูกแก้ววิญญาณของตัวเองกลับไปเก็บก่อนจะร่วงตกพื้น ยังหันกลับมากล่าวคำทิ้งท้ายสั้นๆ มุมปากยกยิ้มแสยะเย้ยหยันเล็กน้อย
ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนมันก็ทำได้เท่านี้ ไม่กล้าทำอะไรเกินเลย
ท้ายที่สุดแล้วพลังฝีมือของมันก็ต่ำต้อยกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขุม
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเดินออกจากโถง 10 ดาวอีกครั้ง ก็มีผู้คน 2-3 คนทยอยกันเดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม…และไม่ว่าใคร ก็ล้วนมาจากตระกูลระดับราชาเทพของเมืองวายุสวรรค์หมดสิ้น
จุดประสงค์ของพวกมันก็เหมือนๆกับจ้งเฮ่อเหลียง คิดชักชวนเขาไปเข้าร่วมตระกูล
แต่เป็นธรรมดาว่าไม่มีใครเรียกร้องอะไรจากเขาเกินเลย อย่างเช่นให้สาบานด้วยโลหิตมารหัวใจ…สุดท้ายพวกมันก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับเขา ทำให้แม้จะเข้าร่วมกับตระกูลของพวกมันเป็นการชั่วคราว ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็ปฏิเสธทุกคน
เขามีเส้นทางที่จะเดินแล้ว
ตอนนี้เขาอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ที่อยู่ภายใต้นิกายหมอกเร้นลับโดยตรง ในเมื่อเขาก็กำลังจะเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ หากไปเสียเวลาเข้าร่วมกับตระกูลราชาเทพ ก็นับว่าซ้ำซ้อนและวุ่นวายเกินจำเป็นอยู่บ้าง
…
การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวนั้น ทางสถานศึกษาหมอกเร้นลับจัดขึ้นทุกปี และแต่ละปีสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็มีของรางวัลที่มอบให้แตกต่างกันไป
ในปีนี้สถานศึกษาหมอกเร้นลับก็เตรียมของรางวัลที่น่าสนใจไม่แพ้ปีก่อนๆ
ในบรรดาของรางวัลที่ว่า ดีที่สุดก็คือ ‘ว่านเทพลายมังกร’ นั่นเอง
“เฮ่อ ไฉนปีนี้สถานศึกษาหมอกเร้นลับเราตระหนี่นักเล่า…ปีที่แล้วยังนำโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งทั้ง 3 เม็ดเป็นของรางวัลให้ผู้ชนะอันดับ 1 แท้ๆ แต่ปีนี้กลับมอบให้แค่ ว่านเทพลายมังกร?”
“นั่นน่ะสิ…ว่านเทพลายมังกรแม้จักมีสรรพคุณไม่ใช่ชั่ว แต่กล่าวไปยังมีประสิทธิภาพด้อยกว่าโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งทั้ง 3 เม็ดพอสมควร”
“พวกเจ้าจะเถียงกันทำมะเขืออันใด? ต่อให้พวกเจ้านำคะแนนทดสอบมารวมกันยังไม่มีวันเฉียดคะแนนอันดับ 1 ด้วยซ้ำ…แถมพวกเจ้าลองดูของรางวัลอันดับ 2 กับ 3 ก่อนเถอะ มันดีกว่าปีก่อนไม่น้อย เช่นนั้นหากมองจากมูลค่ารวมแล้ว ของรางวัลปีนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าปีก่อนเลย”
…
ไม่กี่วันต่อมา
ด้านหน้าโถง 10 ดาว ปรากฏร่างนักศึกษา 10 ดาวมายืนคุยกันไม่น้อย
และวันนี้ก็เป็นวันทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ โดยการทดสอบดังกล่าวจะเริ่มต้นขึ้นวันนี้และกินเวลาทดสอบไปตลอด 3 เดือนติดต่อ…ตลอดช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ นักศึกษา 10 ดาวทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ในเขตพื้นที่ทดสอบที่สถานศึกษาได้ตระเตรียมไว้ให้
พื้นที่สุดสอบดังกล่าวเป็นป่าใหญ่รวมถึงแนวเทือกเขา มันเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่ถูกจับมาปล่อยไว้มากมาย ไม่ว่าจะฆ่าไปมากเท่าไหร่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าปีหน้าจะไม่มี
เพราะสิ่งนี้เป็นสถานศึกษา…กล่าวให้ชัดคือนิกายหมอกเร้นลับจับมาส่งทุกปี
สัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนนี้แต่เดิมนั้น ได้ถูกฆ่าล้างไปเนิ่นนานแล้ว นิกาหมอกเร้นลับจึงต้องจัดภารกิจให้ศิษย์ในนิกายจับสัตว์อสูรตามระดับที่เหมาะสมมาปล่อยไว้ที่นี่ ด้วยพลังฝีมือของศิษย์ที่กล้ารับภารกิจ สัตว์อสูรเหล่านี้ก็ไม่นับเป็นอะไรได้ เช่นนั้นเพียงออกไปไล่จับสัตว์อสูรใส่โลกใบเล็กไว้ แล้วนำมาส่งมอบทีเดียวก็ได้รับแต้มอุทิศของนิกายง่ายๆ
เหมือนปีนี้ ก่อนที่การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับจะเริ่มต้นขึ้นเดือนหนึ่ง สัตว์อสูรก็ถูกศิษย์นิกายหมอกเร้นลับจับมาส่งภารกิจ และพวกมันก็ให้คนนำมาปล่อยไว้อีกทอดจนเต็มป่าแล้ว…
“…กฏในการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวก็มีเพียงเท่านี้”
ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงแต่แรกและยืนปะปนอยู่ในฝูงชนเช่นกัน ผู้คนรอบๆกายมักมองเขาราวกับสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ที่หาชมดูได้ยากอย่างไรอย่างนั้น
ด้านติงเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กล่าวจบคำพอดี
ด้วยมีติงเหยียนอธิบาย ต้วนหลิงเทียนจึงเข้าใจกฏการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเรียบร้อย
การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ดำเนินการเช่นนี้ทุกปี ภายในป่าก็มีสัตว์อสูรถูกจับมาปล่อยไว้เป็นจำนวนมากพอให้ทุกคนฆ่าได้ไม่ต้องแย่งชิงมากนัก และตราบใดที่ฆ่าสัตว์อสูรได้แล้ว ขอเพียงนำป้ายที่ตระเตรียมไว้ให้สัมผัสถูกเลือดของสัตว์อสูรที่พึ่งฆ่าได้ คะแนนก็จะถูกบันทึกไว้ทันที…แน่นอนว่าระดับพลังของสัตว์อสูรที่แตกต่างกันก็จะให้คะแนนทดสอบที่แตกต่างกัน
และป้ายเก็บคะแนน ก็จะมอบให้ก่อนเริ่มการทดสอบเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดการโกงใดๆขึ้น
สัตว์อสูรในป่านั้น เมื่อเป็นคนของนิกายหมอกเร้นลับจับมาปล่อย เช่นนั้นแต่ละตัวก็ถูกลงอาคมง่ายๆเอาไว้ ทันทีที่ถูกฆ่าตาย ก็จะมีเวลาให้ผู้ฆ่าบันทึกคะแนนเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น วิธีก็ง่ายๆไม่ต่างอะไรจากหยดเลือดลงแหวนพื้นที่เพื่อผูกพันธะ ต่างกันก็แค่คราวนี้ต้องนำเลือดมันมาแตะป้ายเก็บคะแนนเท่านั้น
เพราะมีแต่ผู้ฆ่าเท่านั้นที่สามารถเก็บคะแนนจากมันได้ ก็ทำให้หมดปัญหาเรื่องนักศึกษาที่มีภูมิหลังเล่นตุกติกไปได้หลายส่วน
แน่นอนว่าในพื้นที่ล่า มีอาคมจากค่ายกลที่ค่อยกั้นเขตไว้เช่นกัน แต่จะทำได้แค่แจ้งเตือนเมื่อมีตัวตนระดับราชาเทพขึ้นไปเข้ามาเท่านั้น
นอกจากนั้นก่อนที่การทดลองจะเริ่มต้นขึ้น ก็จะมีอาจารย์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับลาดตระเวนทั่วพื้นที่ทดสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มียอดฝีมือจากตระกูลไหนมาแอบจับตัวสัตว์อสูรรอไว้ ให้คนในตระกูลของตัวเองมาฆ่าเก็บคะแนนได้ง่ายๆ
“ป้ายทดสอบแต่ละป้ายต้องหยดเลือดเพื่อจดจำเจ้าของก่อน…และหลังจากสัตว์อสูรตายไม่เพียงจะสามารถบันทึกคะแนนได้โดยผู้ที่ฆ่ามันเท่านั้น แต่สัตวอสูรตัวนั้นต้องไม่โดนผู้ที่ไร้ป้ายเก็บคะแนนทำร้ายมาก่อน แถมยามบันทึกคะแนนในระยะใกล้เคียงต้องไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยถึงจะเก็บคะแนนได้ เมื่อมีกฏในการเก็บคะแนนทดสอบละเอียดเช่นนี้ ก็ตัดปัญหาเรื่องการโกงไปได้เลย เพราะต่อให้คนที่มีภูมิหลังจะลอบส่งคนเข้ามาเพื่อช่วยจับสัตว์อสูรให้ฆ่า ก็ไม่มีทางที่จะเก็บคะแนนได้”
ก่อนหน้านี้ หลังจากได้ฟังกฏการทดสอบจากติงเหยียน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง
เพราะดูเหมือนสถานศึกษาหมอกเร้นลับจะลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เพื่อหาวิธีที่จะทำให้นักศึกษาไม่อาจโกงการทดสอบ
มีข้อจำกัดมากมายนัก แต่ไม่ทราบไฉนถึงไม่จัดสร้างค่ายกลที่จะทำให้คนนอกเข้ามาในเขตพื้นที่ล่าไม่ได้ไปเลย? มิสู้เลือกจำกัดให้มีแต่นักศึกษาของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเข้าได้แต่แรกไม่ดีกว่าหรือ?
ต้วนหลิงเทียนที่สงสัยในเรื่องนี้จึงหันไปถามชิงเหยียน
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ติงเหยียนบอกมาก็คือ
สถานศึกษาหมอกเร้นลับทำแบบนี้ เพราะคิดว่ามันดีที่สุด เพราะค่ายกลปิดกั้นอาณาเขตที่จะปิดกั้นไม่ให้ตัวตนตั้งแต่ค่ราชาเทพเข้าไปได้นั้น ขอเพียงมีตัวตนระดับราชาเทพขั้นสูงที่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลก็คงบุกฝ่าเข้ามาได้ง่ายๆ ทำให้หากจะโกงจริงก็ไม่ใช่ปัญหา
และในเมื่อจัดตั้งค่ายกลระดับนั้นไป สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรจากการแจ้งเตือนว่ามีตัวตนระดับราชาเทพขึ้นไปบุกเข้ามาอยู่ดี เพราะไม่อาจสร้างค่ายกลที่กำจัดตัวตนระดับราชาเทพได้โดยตรง
นิกายหมอกเร้นลับที่อยู่เบื้องหลังสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญถึงขนาดจัดตั้งค่ายกลที่สามารถสังหารตัวตนระดับราชาเทพขึ้นไปได้
ดังนั้นสถานศึกษาหมอกเร้นลับจึงใช้อาคมง่ายๆหลากหลายอาคมจนแลดูวุ่นวายแทน เพื่อพยายามจำกัดให้นักศึกษาโกงการทดสอบได้ยากที่สุด
“หงจวิน เจ้าแพ้มันในกระบวนท่าเดียวจริงหรือ…เจ้านั่นมันร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว?”
ในมุมหนึ่งของกลุ่มนักศึกษา 10 ดาว ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทาคนหนึ่งเดินไปหยุดลงข้างๆหงจวิน ก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มชุดม่วงที่ยืนหันหลังให้ไกลตาครู่หนึ่ง ค่อยถามหงจวินด้วยสองตาเป็นประกาย