ตอนที่ 3652 บอกเล่าความเป็นมา

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

วาจาดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิงได้ดับความคิดอยากขอสุราเฉวียนเนี่ยงสักเหยือกสองเหยือกของต้วนหลิงเทียนไปทันที
  “ต้วนหลิงเทียน”
  ทันใดนั้นเอง อยู่ๆสีหน้าของมู่หรงสุยเฟิงก็ฉายความจริงจัง สองตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างลึกล้ำ “การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวครานี้…เจ้าสมควรถูกพวกเดนตายไล่ล่าสังหารกระมัง?”
  ต้วนหลิงเทียนมองสบตามู่หรงสุยเฟิงพลางพยักหน้ารับคำ “ไม่ผิด”
  “ข้ายังทราบมาว่าคนของนิกายหมื่นจันทราได้ไปตระเตรียมการอยู่ด้านนอกพื้นที่ทดสอบ…ทว่าการทดสอบยยังไม่ทันเริ่มพวกมันก็ถอนตัวจากไป…คงเพราะเจ้าปฏิเสธความช่วยเหลือที่โหวชิ่งหนิงหยิบยื่นให้กระมัง?”   มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถามสืบต่อ
  ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอีกครั้ง
  “เจ้ามีเหตุผลอันใดถึงต้องปฏิเสธมันรึ?”
  มู่หรงสุยเฟิงยังคงกล่าวถามต่อ “ในเมื่อหากมีคนของมันช่วยเหลือ แม้ชนชั้นราชาเทพจักมิอาจเข้ามาได้จนอย่างดีก็มีแต่เทพขั้นสูงเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเจ้า…แต่การมีเทพขั้นสูงคอยช่วยเหลือ ก็ยังดีกว่าเจ้าลงมือเพียงลำพังกระมัง…เช่นนั้นเจ้าไฉนจึงเลือกปฏิเสธเสียเล่า?”
  “เป็นเจ้ามั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองหรือมีผู้อื่นช่วยเหลือ?”
  ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบคำถามแรก มู่หรงสุยเฟิงก็ยิงคำถามที่สองออกมา
  “ข้าไม่อยากติดค้างมัน”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าว
  “ไม่อยากติดค้างมัน?”
  มู่หรงสุยเฟิงมองลึกไปทางต้วนหลิงเทียน “นี่คงมิใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด…เหตุผลที่สำคัญที่สุด คงเป็นเพราะเจ้ามั่นใจในพลังฝีมือส่วนตัวของเจ้ากระมัง?”
  “ในเมื่อท่านคณบดีเองก็ทราบดีอยู่แล้ว ไยต้องถามข้าอีกเล่า…”
  ต้วนหลิงเทียนละเลียดจิบสุราอยย่างได้อรรถรส ก่อนจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่ตระกูลราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์ไม่ส่งชนชั้นราชาเทพมาลงมือ…ข้าลองไถ่ถามตัวเองดูก็ตอบได้ว่า ข้าสมควรมีพลังฝีมือมากพอดูแลตัวเองได้”
  “แค่ดูแลตัวเองจริงๆ?”
  มู่หรงสุยเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “เท่าที่ข้าทราบมา…ตระกูลจ้งไม่เพียงเพาะสร้างพวกเดนตายระดับเทพขั้นสูงไว้มากมาย กระทั่งยังเพาะสร้างเทพขั้นสูงที่มีพลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเดนตาย จนได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำหน่วยเดนตายด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน…และครั้งนี้พวกเดนตายที่ตระกูลจ้งส่งมา สมควรนำโดยผู้นำหน่วยเดนตายคนหนึ่งกระมัง?”   “และผู้นำหน่วยเดนตายที่ว่าของตระกูลจ้ง เท่าที่ข้าทราบมาไม่เพียงด่านพลังจักบรรลุถึงเทพขั้นสูงมานาน แต่ความเข้าใจในกฏยังมิใช่ต่ำทราม อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่อะไรที่จะอาศัยเทพขั้นกลางที่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 2 ประการไม่กี่ชุดจะต้านทานรับมือได้…กล่าวได้ว่าอาศัยพลังฝีมือที่เจ้าเผยออกจนเอาชนะหงจวินได้วันนั้น มิน่าจะใช่คู่มือของมัน…”
  พูดถึงจุดนี้มู่หรงสุยเฟิงก็หยุดลงเล็กน้อย แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งล้ำลึก “เว้นเสียแต่…การประลองวันนั้นเป็นเจ้ายังซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้”
  ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่บ้าง ที่มู่หรงสุยเฟิงกลับรู้เรื่องพวกเดนตายสกุลจ้งมากถึงขนาดนี้ และยังตัดสินพลังของอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด
  แต่พอคิดไปคิดมา ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก สุดท้ายมู่หรงสุยเฟิงก็ไม่ใช่แค่คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับเท่านั้น แต่ยังเป็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอีกด้วย
  อาศัยฐานะดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง เรื่องในตระกูลราชาเทพเกรงว่าไม่ยากเกินจะรู้จริงๆ
  “ข้ากล่าวถูกกระมัง?”
  มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถามด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
  ได้ยินคำถามของมู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะเบาๆ “สายข่าวของคณบดีมู่หรงช่างน่าประทับใจจริงๆ…พวกเดนตายที่ข้าฆ่าทิ้งไปในพื้นที่ทดสอบ ไม่น่าจะมาจากตระกูลจ้งตระกูลเดียวเท่านั้น แต่ยังมีพวกเดนตายจากตระกูลอื่นๆอีกด้วย อย่างไรก็ตามข้าจับเป็นพวกเดนตายกี่คนต่อกี่คน ให้เค้นถามพวกมันเท่าไหร่ก็มีแต่เลือกหนทางตายถ่ายเดียว ไม่มีผู้ใดยอมจำนนปริปากกล่าวคำสักคน…”
  “กล่าวได้ว่าข้าไม่มีทางรู้ได้ด้วยซ้ำว่าพวกมันเป็นคนของใคร”   “แต่ท่านคณบดีกลับรู้เรื่องพวกมันกระจ่างนัก”
  กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
  “ดูเหมือนเจ้าจะยอมรับแล้ว…”
  มู่หรงสุยเฟิงเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ที่ข้าถามเจ้าเรื่องนี้มิใช่อะไร ข้าเพียงต้องการยืนยันให้แน่ชัดเท่านั้น…เพราะข้าตั้งใจจะแนะนำเจ้าให้เข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับก่อนกำหนด และยังจะเสนอชื่อให้เจ้าเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ”
  “เจ้าสนใจหรือไม่เล่า?”
  มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถาม
  เข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้า?
  เสนอชื่อให้เป็นศิษย์หลักนิกาย?
  พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวขอบคุณยกใหญ่ “ต้องขอขอบคุณท่านคณบดีแล้ว”   ศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับหมายถึงอะไร และเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้ามีความหมายอย่างไร ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง
  เมื่อกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ ไม่เพียงฐานะในนิกายหมอกเร้นลับจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชนชั้นผู้อาวุโสสายในเท่านั้น กล่าวไปฐานะยังถือว่าสูงกว่าอีกด้วย
  เพราะหลังจากดำรงตำแหน่งศิษย์หลักจนอายุถึงเกณฑ์แล้ว หากไม่เลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เหนือนิกายหมอกเร้นลับ ก็สามารถดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหลักของนิกายหมอกเร้นลับได้ทันที ถึงตอนนั้นกล่าวได้ว่าจะกลายเป็น ‘เสาหลัก’ คนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับอย่างจริงจัง แต่ถ้าเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังเบื้องหลัง แม้สถานะในขุมกำลังดังกล่าวจะไม่สูง แต่เนื้อแท้แล้วยังสูงส่งกว่าอาวุโสหลักนิกายหมอกเร้นลับมาก!
  ชนชั้นอาวุโสทั่วไปของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ ยามออกไปด้านนอก ในแง่สถานะแล้ว…ต่อให้เป็นชนนั้นอาวุโสหลักของขุมกำลังจอมราชันเทพก็ยังด้อยกว่ามาก!
  แน่นอนว่าหากคิดเป็นผู้อาวุโสของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพต่อให้เป็นแค่ผู้อาวุโสทั่วไป ถึงจะถูกนิกายหมอกเร้นลับแนะนำมา ก็ยังต้องผ่านการทดสอบบางอย่างอยู่ดี…มีเพียงผ่านการทดสอบแล้วเท่านั้น ถึงจะได้สถานะผู้อาวุโสทั่วไป แต่ถ้าไม่ผ่านก็ทำได้แค่รั้งอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับสืบต่อ
  “อย่างไรก็ตามเรื่องแนะนำให้เจ้าเข้านิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้า กับเสนอชื่อเจ้าให้เป็นศิษย์หลักนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน อย่างแรกไม่มีปัญหา ทว่าอย่างหลังนั้นเจ้าจำต้องผ่านการทดสอบที่นิกายหมอกเร้นลับจัดเตรียมไว้เสียก่อน…มีเพียงผ่านการทดสอบดังกล่าวเจ้าถึงจะขึ้นเป็นศิษย์หลักได้”
  มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อว่า “หากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบดังกล่าว แม้เจ้าจะเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้าได้อยู่ แต่เจ้าจักเป็นได้แค่ศิษย์สายในเท่านั้น…วันหน้าหากเจ้าคิดจะเป็นศิษย์หลักอีกครั้ง ก็ต้องไปสมัครเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ”
  “เข้าใจแล้ว”
  สิ่งที่มู่หรงสุยเฟิงกล่าวมา ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจได้ไม่ยาก ลักษณะมันก็เหมือนๆกับศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับคิดจะเข้าสู่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดคือการแนะนำเท่านั้น…
  และการแนะนำของนิกายหมอกเร้นลับก็เป็น ‘โอกาส’ เท่านั้น เรื่องจะเข้าสู่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพในฐานะชนชั้นอาวุโสทั่วไปได้หรือไม่ ยังต้องดูพลังฝีมือส่วนตัว
  “ช่วงนี้เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ…หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ข้าจะแจ้งไปยังนิกายหมอกเร้นลับให้ส่งคนมารับเจ้า”
  มู่หรงสุเฟิงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันก็รินสุราเติมจอกของต้วนหลิงเทียน  “ขอบคุณท่านคณบดี”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
  หลังจากนั้นมู่หรงสุยเฟิงก็ชวนต้วนหลิงเทียนคุยไปเรื่อย เมื่อสุราในจอกต้วนหลิงเทียนหมดลงก็คอยรินเติม คุยไปคุยมาก็เริ่มกล่าวถามถึงความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน
  ต่อหน้ามู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเล่าเรื่องปั้นแต่งอย่างที่เคยใช้ในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้กับเมืองหลินซานออกไป เพราะมู่หรงสุยเฟิงนั้นเป็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ที่เข้าถึงข้อมูลของนิกายฟ้าจรัสแสงได้
  นอกจากนั้นเขาเองก็กำลังจะเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับ ให้บอกว่าเป็นศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงก็เหลวไหลใหญ่แล้ว
  “ท่านคณบดี กล่าวไปข้าเองก็พึ่งมาถึงดินแดนดาราพิศวงได้ไม่นาน…อีกทั้งข้าไม่เคยบอกความเป็นมาที่แท้จริงของข้ากับผู้ใด”
  ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งค่อยกล่าวต่อ “คณบดีดูแลข้ามากแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจโกหกท่านได้…อันที่จริงข้าไม่ใช่คนของดินแดนดาราพิศวง”
  “หืม? ไม่ใช่คนของดินแดนดาราพิศวงรึ?!”
  มู่หรงสุยเฟิงอึ้งไปอยู่บ้าง ยังเอ่ยถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
  “ใช่”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
  “แล้วที่แท้เจ้ามาจากที่ใดกัน?”
  มู่หรงสุยเฟิงถามต่อด้วยความสนใจ
  “ข้ามาจากระนาบเทวโลก”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
  “ระนาบเทวโลก?”
  พอได้ยินมู่หรงสุยเฟิงก็คลี่ยิ้มทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…อย่างไรก็ตามด้วยวัยเช่นเจ้า แต่กลับบรรลุถึงความสำเร็จระดับนี้ได้ ในระนาบเทวโลกเจ้าสมควรไม่ใช่ตัวตนธรรมดาๆกระมัง?”
  ในสายตาของมู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนอย่างไรก็มีอายุมากกว่า 2,000 ปีแล้ว จึงเชื่อเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมาจากระนาบเทวโลกโดยไม่สงสัย เพราะสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็มีโอกาสมายังดินแดนดาราพิศวงก่อนที่ระนาบเทพคู่ขนานจะโคจรมาบรรจบกันถมเถ
  “เช่นนั้นกล่าวได้ว่าเจ้ามายังดินแดนดาราพิศวงเป็นพันปีแล้ว?”
  มู่หรงสุเฟิงเลิกคิ้วขึ้น พลางถาม
  “พันปี?”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
  “หืม? หรือเจ้าพึ่งจะขึ้นมายังดินแดนดาราพิศวงก่อนที่ระนาบเทพคู่ขนานจะโคจรมาปะทะกันไม่นาน เช่นนั้นก็ยังขึ้นมาไม่ถึง 700 ปีกระมัง?”
  มู่หรงสุยเฟิงกล่าวคาดเดาเพิ่ม
  “ไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง”   ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “อันที่จริงข้าพึ่งมาถึงดินแดนดาราพิศวงได้ไม่กี่ปีเท่านั้น”
  “ไม่กี่ปี?”
  คราวนี้มู่หรงสุยเฟิงถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ ยังกล่าวพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว “ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกมันปิดอยู่ไม่ใช่หรือไร…เช่นนั้น ไฉนถึงขึ้นมายังดินแดนดาราพิศวงเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้เล่า?”
  “เรื่องนี้กล่าวไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับข้ากันแน่…”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางคลี่ยิ้มเหยเก “เดิมทีข้าไปฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองอู่ในดินแดนแห่งความตายที่เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก แต่อยู่ดีๆเบื้องหน้าข้าก็อุบัติรอยแยกมิติขึ้น จากนั้นมันก็ดูดข้าเข้ามา…พอรู้ตัวอีกทีข้าก็มาปรากฏตัวในสถานที่แปลกตา ทั้งบรรยากาศยังผิดแปลกไปจากที่ๆข้าเคยไปมาก…”   “หลังจากพลัดหลงอยู่ในสถานที่แห่งนั้นได้ไม่กี่เดือน ในที่สุดข้าก็รู้ว่าข้ามาโผล่ในระนาบสมรภูมิที่เกิดจากการโคจรมาบรรจบกันของระนาบเทพคู่ขนาน…”
  พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ มู่หรงสุยเฟิงก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง “ที่แท้เจ้าถูกห้วงมิติผันผวนสุ่มปรากฏดูดเข้าไป จนมาโผล่ในระนาบสมรภูมิ…ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก มันมีอันตรายยิ่งนัก แต่ข้าไม่คิดเลยว่าห้วงมิติที่นั่นจะไร้เสถียรภาพถึงขนาดนี้…”
  มู่หรงสุยเฟิงไม่ได้สงสัยคำพูดของต้วนหลิงเทียน
  “อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า การที่สามารถรอดกลับออกมาจากระนาบสมรภูมิจนมาถึงดินแดนดาราพิศวงของเราได้ทั้งยังมีชีวิต ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว”
  มู่หรงสุยเฟิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
  “อันที่จริงโชคข้าก็ไม่เลวจริงๆ ข้าบังเอิญพบเจออาวุโสท่านหนึ่งในระนาบสมรภูมิ และอาวุโสท่านนั้นก็เมตตาบอกกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า จากนั้นอาวุโสท่านนั้นยังพาข้ามาส่งถึงค่ายทหารของดินแดนดาราพิศวง สุดท้ายก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจนมาปรากฏในดินแดนดาราพิศวง”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มแหยๆ
  “เจ้ายังบอกว่าโชคเจ้าแค่ ‘ไม่เลว’ อีก?”
  มู่หรงสุยเฟิงหัวเราะ “ไม่ใช่ทุกคนในระนาบสมรภูมิที่จะใจดีเช่นนั้น”
  “ข้าเองก็คิดเหมือนกัน”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจังว่า “ข้าก็เลยตัดสินใจแล้ว ว่าวันหน้าข้าจะหาทางตอบแทนอาวุโสท่านนั้นให้จงได้”
  ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สองตามู่หรงสุยเฟิงก็เป็นประกายจ้าขึ้นมาทันที มันย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าต้วนหลิงเทียนได้กล่าวออกมาจากก้นบึ้งของใจ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเพียงเพราะอยู่ต่อหน้ามัน  ด้วยเหตุนี้ยิ่งมามู่หรงสุยเฟิงก็ยิ่งถูกใจต้วนหลิงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ
  หากไม่ใช่เพราะมันได้ลั่นวาจาสาบานเอาไว้ในอดีต ว่าต่อไปจะไม่รับศิษย์อีก มันก็อดไม่ได้ที่จะรับชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นศิษย์…ชายหนุ่มคนหนึ่งที่จับพลัดจับผลูมาถึงดินแดนดาราพิศวง ภูมิหลังความเป็นมาก็มีแต่อัจฉริยะในระนาบเทวโลก ด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจดังกล่าว ตราบใดที่ได้รับโอกาส เกรงว่าคงเป็นดั่งปลาหลีข้ามผ่านประตูมังกร กลับกลายเป็นมังกรทะยานข้ามชั้นฟ้าเป็นแน่…
  ด้านต้วนหลิงเทียนเอง ก็ได้ค้นพบแล้วว่าหลังดื่มสุราเฉวียนเนี่ยงครบ 3 จอกแล้ว พอเริ่มจิบจอกที่ 4 มันก็ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆให้เขาอีก เรียกว่ามีเพียง 3 จอกแรกเท่านั้นที่จะช่วยส่งเสริมพลังฝึกปรือ
  หลังจากคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับมู่หรงสุยเฟิงอีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวอำลามู่หรงสุยเฟิง และเตรียมตัวกลับ  ด้านมู่หรงสุยเฟิงพอเห็นต้วนหลิงเทียนจะกลับ ก็เรียกอวี๋เชียนซานที่อยู่ไม่ไกลให้มารับต้วนหลิงเทียนไปส่งเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาว
  ขณะเดินกลับเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาวระดับสูง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบคุยกันของนักศึกษา 10 ดาวมากมาย ทั้งหมดล้วนคาดหวังกับคะแนนทดสอบที่จะติดประกาศในวันพรุ่งนี้ของเขานัก “โอย ข้าล่ะอยากรู้ยิ่ง…ว่าที่แท้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนได้คะแนนทดสอบเท่าไหร่กันแน่? สมควรทำลายทุกสถิติเลยกระมัง?”
  “ข้าเพียงหวังว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงเร็วหน่อย”