วาจาดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิงได้ดับความคิดอยากขอสุราเฉวียนเนี่ยงสักเหยือกสองเหยือกของต้วนหลิงเทียนไปทันที
“ต้วนหลิงเทียน”
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆสีหน้าของมู่หรงสุยเฟิงก็ฉายความจริงจัง สองตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างลึกล้ำ “การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวครานี้…เจ้าสมควรถูกพวกเดนตายไล่ล่าสังหารกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนมองสบตามู่หรงสุยเฟิงพลางพยักหน้ารับคำ “ไม่ผิด”
“ข้ายังทราบมาว่าคนของนิกายหมื่นจันทราได้ไปตระเตรียมการอยู่ด้านนอกพื้นที่ทดสอบ…ทว่าการทดสอบยยังไม่ทันเริ่มพวกมันก็ถอนตัวจากไป…คงเพราะเจ้าปฏิเสธความช่วยเหลือที่โหวชิ่งหนิงหยิบยื่นให้กระมัง?” มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถามสืบต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอีกครั้ง
“เจ้ามีเหตุผลอันใดถึงต้องปฏิเสธมันรึ?”
มู่หรงสุยเฟิงยังคงกล่าวถามต่อ “ในเมื่อหากมีคนของมันช่วยเหลือ แม้ชนชั้นราชาเทพจักมิอาจเข้ามาได้จนอย่างดีก็มีแต่เทพขั้นสูงเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเจ้า…แต่การมีเทพขั้นสูงคอยช่วยเหลือ ก็ยังดีกว่าเจ้าลงมือเพียงลำพังกระมัง…เช่นนั้นเจ้าไฉนจึงเลือกปฏิเสธเสียเล่า?”
“เป็นเจ้ามั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองหรือมีผู้อื่นช่วยเหลือ?”
ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตอบคำถามแรก มู่หรงสุยเฟิงก็ยิงคำถามที่สองออกมา
“ข้าไม่อยากติดค้างมัน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ไม่อยากติดค้างมัน?”
มู่หรงสุยเฟิงมองลึกไปทางต้วนหลิงเทียน “นี่คงมิใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด…เหตุผลที่สำคัญที่สุด คงเป็นเพราะเจ้ามั่นใจในพลังฝีมือส่วนตัวของเจ้ากระมัง?”
“ในเมื่อท่านคณบดีเองก็ทราบดีอยู่แล้ว ไยต้องถามข้าอีกเล่า…”
ต้วนหลิงเทียนละเลียดจิบสุราอยย่างได้อรรถรส ก่อนจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่ตระกูลราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์ไม่ส่งชนชั้นราชาเทพมาลงมือ…ข้าลองไถ่ถามตัวเองดูก็ตอบได้ว่า ข้าสมควรมีพลังฝีมือมากพอดูแลตัวเองได้”
“แค่ดูแลตัวเองจริงๆ?”
มู่หรงสุยเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “เท่าที่ข้าทราบมา…ตระกูลจ้งไม่เพียงเพาะสร้างพวกเดนตายระดับเทพขั้นสูงไว้มากมาย กระทั่งยังเพาะสร้างเทพขั้นสูงที่มีพลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเดนตาย จนได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำหน่วยเดนตายด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน…และครั้งนี้พวกเดนตายที่ตระกูลจ้งส่งมา สมควรนำโดยผู้นำหน่วยเดนตายคนหนึ่งกระมัง?” “และผู้นำหน่วยเดนตายที่ว่าของตระกูลจ้ง เท่าที่ข้าทราบมาไม่เพียงด่านพลังจักบรรลุถึงเทพขั้นสูงมานาน แต่ความเข้าใจในกฏยังมิใช่ต่ำทราม อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่อะไรที่จะอาศัยเทพขั้นกลางที่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 2 ประการไม่กี่ชุดจะต้านทานรับมือได้…กล่าวได้ว่าอาศัยพลังฝีมือที่เจ้าเผยออกจนเอาชนะหงจวินได้วันนั้น มิน่าจะใช่คู่มือของมัน…”
พูดถึงจุดนี้มู่หรงสุยเฟิงก็หยุดลงเล็กน้อย แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งล้ำลึก “เว้นเสียแต่…การประลองวันนั้นเป็นเจ้ายังซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่บ้าง ที่มู่หรงสุยเฟิงกลับรู้เรื่องพวกเดนตายสกุลจ้งมากถึงขนาดนี้ และยังตัดสินพลังของอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด
แต่พอคิดไปคิดมา ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก สุดท้ายมู่หรงสุยเฟิงก็ไม่ใช่แค่คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับเท่านั้น แต่ยังเป็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอีกด้วย
อาศัยฐานะดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง เรื่องในตระกูลราชาเทพเกรงว่าไม่ยากเกินจะรู้จริงๆ
“ข้ากล่าวถูกกระมัง?”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถามด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
ได้ยินคำถามของมู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะเบาๆ “สายข่าวของคณบดีมู่หรงช่างน่าประทับใจจริงๆ…พวกเดนตายที่ข้าฆ่าทิ้งไปในพื้นที่ทดสอบ ไม่น่าจะมาจากตระกูลจ้งตระกูลเดียวเท่านั้น แต่ยังมีพวกเดนตายจากตระกูลอื่นๆอีกด้วย อย่างไรก็ตามข้าจับเป็นพวกเดนตายกี่คนต่อกี่คน ให้เค้นถามพวกมันเท่าไหร่ก็มีแต่เลือกหนทางตายถ่ายเดียว ไม่มีผู้ใดยอมจำนนปริปากกล่าวคำสักคน…”
“กล่าวได้ว่าข้าไม่มีทางรู้ได้ด้วยซ้ำว่าพวกมันเป็นคนของใคร” “แต่ท่านคณบดีกลับรู้เรื่องพวกมันกระจ่างนัก”
กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ดูเหมือนเจ้าจะยอมรับแล้ว…”
มู่หรงสุยเฟิงเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ที่ข้าถามเจ้าเรื่องนี้มิใช่อะไร ข้าเพียงต้องการยืนยันให้แน่ชัดเท่านั้น…เพราะข้าตั้งใจจะแนะนำเจ้าให้เข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับก่อนกำหนด และยังจะเสนอชื่อให้เจ้าเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ”
“เจ้าสนใจหรือไม่เล่า?”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถาม
เข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้า?
เสนอชื่อให้เป็นศิษย์หลักนิกาย?
พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวขอบคุณยกใหญ่ “ต้องขอขอบคุณท่านคณบดีแล้ว” ศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับหมายถึงอะไร และเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้ามีความหมายอย่างไร ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง
เมื่อกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ ไม่เพียงฐานะในนิกายหมอกเร้นลับจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชนชั้นผู้อาวุโสสายในเท่านั้น กล่าวไปฐานะยังถือว่าสูงกว่าอีกด้วย
เพราะหลังจากดำรงตำแหน่งศิษย์หลักจนอายุถึงเกณฑ์แล้ว หากไม่เลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เหนือนิกายหมอกเร้นลับ ก็สามารถดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหลักของนิกายหมอกเร้นลับได้ทันที ถึงตอนนั้นกล่าวได้ว่าจะกลายเป็น ‘เสาหลัก’ คนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับอย่างจริงจัง แต่ถ้าเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังเบื้องหลัง แม้สถานะในขุมกำลังดังกล่าวจะไม่สูง แต่เนื้อแท้แล้วยังสูงส่งกว่าอาวุโสหลักนิกายหมอกเร้นลับมาก!
ชนชั้นอาวุโสทั่วไปของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ ยามออกไปด้านนอก ในแง่สถานะแล้ว…ต่อให้เป็นชนนั้นอาวุโสหลักของขุมกำลังจอมราชันเทพก็ยังด้อยกว่ามาก!
แน่นอนว่าหากคิดเป็นผู้อาวุโสของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพต่อให้เป็นแค่ผู้อาวุโสทั่วไป ถึงจะถูกนิกายหมอกเร้นลับแนะนำมา ก็ยังต้องผ่านการทดสอบบางอย่างอยู่ดี…มีเพียงผ่านการทดสอบแล้วเท่านั้น ถึงจะได้สถานะผู้อาวุโสทั่วไป แต่ถ้าไม่ผ่านก็ทำได้แค่รั้งอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับสืบต่อ
“อย่างไรก็ตามเรื่องแนะนำให้เจ้าเข้านิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้า กับเสนอชื่อเจ้าให้เป็นศิษย์หลักนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน อย่างแรกไม่มีปัญหา ทว่าอย่างหลังนั้นเจ้าจำต้องผ่านการทดสอบที่นิกายหมอกเร้นลับจัดเตรียมไว้เสียก่อน…มีเพียงผ่านการทดสอบดังกล่าวเจ้าถึงจะขึ้นเป็นศิษย์หลักได้”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อว่า “หากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบดังกล่าว แม้เจ้าจะเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับล่วงหน้าได้อยู่ แต่เจ้าจักเป็นได้แค่ศิษย์สายในเท่านั้น…วันหน้าหากเจ้าคิดจะเป็นศิษย์หลักอีกครั้ง ก็ต้องไปสมัครเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ”
“เข้าใจแล้ว”
สิ่งที่มู่หรงสุยเฟิงกล่าวมา ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจได้ไม่ยาก ลักษณะมันก็เหมือนๆกับศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับคิดจะเข้าสู่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดคือการแนะนำเท่านั้น…
และการแนะนำของนิกายหมอกเร้นลับก็เป็น ‘โอกาส’ เท่านั้น เรื่องจะเข้าสู่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพในฐานะชนชั้นอาวุโสทั่วไปได้หรือไม่ ยังต้องดูพลังฝีมือส่วนตัว
“ช่วงนี้เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ…หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ข้าจะแจ้งไปยังนิกายหมอกเร้นลับให้ส่งคนมารับเจ้า”
มู่หรงสุเฟิงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันก็รินสุราเติมจอกของต้วนหลิงเทียน “ขอบคุณท่านคณบดี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
หลังจากนั้นมู่หรงสุยเฟิงก็ชวนต้วนหลิงเทียนคุยไปเรื่อย เมื่อสุราในจอกต้วนหลิงเทียนหมดลงก็คอยรินเติม คุยไปคุยมาก็เริ่มกล่าวถามถึงความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน
ต่อหน้ามู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเล่าเรื่องปั้นแต่งอย่างที่เคยใช้ในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้กับเมืองหลินซานออกไป เพราะมู่หรงสุยเฟิงนั้นเป็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ ที่เข้าถึงข้อมูลของนิกายฟ้าจรัสแสงได้
นอกจากนั้นเขาเองก็กำลังจะเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับ ให้บอกว่าเป็นศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงก็เหลวไหลใหญ่แล้ว
“ท่านคณบดี กล่าวไปข้าเองก็พึ่งมาถึงดินแดนดาราพิศวงได้ไม่นาน…อีกทั้งข้าไม่เคยบอกความเป็นมาที่แท้จริงของข้ากับผู้ใด”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งค่อยกล่าวต่อ “คณบดีดูแลข้ามากแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจโกหกท่านได้…อันที่จริงข้าไม่ใช่คนของดินแดนดาราพิศวง”
“หืม? ไม่ใช่คนของดินแดนดาราพิศวงรึ?!”
มู่หรงสุยเฟิงอึ้งไปอยู่บ้าง ยังเอ่ยถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“แล้วที่แท้เจ้ามาจากที่ใดกัน?”
มู่หรงสุยเฟิงถามต่อด้วยความสนใจ
“ข้ามาจากระนาบเทวโลก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
“ระนาบเทวโลก?”
พอได้ยินมู่หรงสุยเฟิงก็คลี่ยิ้มทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…อย่างไรก็ตามด้วยวัยเช่นเจ้า แต่กลับบรรลุถึงความสำเร็จระดับนี้ได้ ในระนาบเทวโลกเจ้าสมควรไม่ใช่ตัวตนธรรมดาๆกระมัง?”
ในสายตาของมู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนอย่างไรก็มีอายุมากกว่า 2,000 ปีแล้ว จึงเชื่อเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมาจากระนาบเทวโลกโดยไม่สงสัย เพราะสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็มีโอกาสมายังดินแดนดาราพิศวงก่อนที่ระนาบเทพคู่ขนานจะโคจรมาบรรจบกันถมเถ
“เช่นนั้นกล่าวได้ว่าเจ้ามายังดินแดนดาราพิศวงเป็นพันปีแล้ว?”
มู่หรงสุเฟิงเลิกคิ้วขึ้น พลางถาม
“พันปี?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
“หืม? หรือเจ้าพึ่งจะขึ้นมายังดินแดนดาราพิศวงก่อนที่ระนาบเทพคู่ขนานจะโคจรมาปะทะกันไม่นาน เช่นนั้นก็ยังขึ้นมาไม่ถึง 700 ปีกระมัง?”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวคาดเดาเพิ่ม
“ไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง” ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “อันที่จริงข้าพึ่งมาถึงดินแดนดาราพิศวงได้ไม่กี่ปีเท่านั้น”
“ไม่กี่ปี?”
คราวนี้มู่หรงสุยเฟิงถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ ยังกล่าวพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว “ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกมันปิดอยู่ไม่ใช่หรือไร…เช่นนั้น ไฉนถึงขึ้นมายังดินแดนดาราพิศวงเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้เล่า?”
“เรื่องนี้กล่าวไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับข้ากันแน่…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางคลี่ยิ้มเหยเก “เดิมทีข้าไปฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองอู่ในดินแดนแห่งความตายที่เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก แต่อยู่ดีๆเบื้องหน้าข้าก็อุบัติรอยแยกมิติขึ้น จากนั้นมันก็ดูดข้าเข้ามา…พอรู้ตัวอีกทีข้าก็มาปรากฏตัวในสถานที่แปลกตา ทั้งบรรยากาศยังผิดแปลกไปจากที่ๆข้าเคยไปมาก…” “หลังจากพลัดหลงอยู่ในสถานที่แห่งนั้นได้ไม่กี่เดือน ในที่สุดข้าก็รู้ว่าข้ามาโผล่ในระนาบสมรภูมิที่เกิดจากการโคจรมาบรรจบกันของระนาบเทพคู่ขนาน…”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ มู่หรงสุยเฟิงก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง “ที่แท้เจ้าถูกห้วงมิติผันผวนสุ่มปรากฏดูดเข้าไป จนมาโผล่ในระนาบสมรภูมิ…ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก มันมีอันตรายยิ่งนัก แต่ข้าไม่คิดเลยว่าห้วงมิติที่นั่นจะไร้เสถียรภาพถึงขนาดนี้…”
มู่หรงสุยเฟิงไม่ได้สงสัยคำพูดของต้วนหลิงเทียน
“อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า การที่สามารถรอดกลับออกมาจากระนาบสมรภูมิจนมาถึงดินแดนดาราพิศวงของเราได้ทั้งยังมีชีวิต ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“อันที่จริงโชคข้าก็ไม่เลวจริงๆ ข้าบังเอิญพบเจออาวุโสท่านหนึ่งในระนาบสมรภูมิ และอาวุโสท่านนั้นก็เมตตาบอกกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า จากนั้นอาวุโสท่านนั้นยังพาข้ามาส่งถึงค่ายทหารของดินแดนดาราพิศวง สุดท้ายก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจนมาปรากฏในดินแดนดาราพิศวง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“เจ้ายังบอกว่าโชคเจ้าแค่ ‘ไม่เลว’ อีก?”
มู่หรงสุยเฟิงหัวเราะ “ไม่ใช่ทุกคนในระนาบสมรภูมิที่จะใจดีเช่นนั้น”
“ข้าเองก็คิดเหมือนกัน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจังว่า “ข้าก็เลยตัดสินใจแล้ว ว่าวันหน้าข้าจะหาทางตอบแทนอาวุโสท่านนั้นให้จงได้”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สองตามู่หรงสุยเฟิงก็เป็นประกายจ้าขึ้นมาทันที มันย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าต้วนหลิงเทียนได้กล่าวออกมาจากก้นบึ้งของใจ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเพียงเพราะอยู่ต่อหน้ามัน ด้วยเหตุนี้ยิ่งมามู่หรงสุยเฟิงก็ยิ่งถูกใจต้วนหลิงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่ใช่เพราะมันได้ลั่นวาจาสาบานเอาไว้ในอดีต ว่าต่อไปจะไม่รับศิษย์อีก มันก็อดไม่ได้ที่จะรับชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นศิษย์…ชายหนุ่มคนหนึ่งที่จับพลัดจับผลูมาถึงดินแดนดาราพิศวง ภูมิหลังความเป็นมาก็มีแต่อัจฉริยะในระนาบเทวโลก ด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจดังกล่าว ตราบใดที่ได้รับโอกาส เกรงว่าคงเป็นดั่งปลาหลีข้ามผ่านประตูมังกร กลับกลายเป็นมังกรทะยานข้ามชั้นฟ้าเป็นแน่…
ด้านต้วนหลิงเทียนเอง ก็ได้ค้นพบแล้วว่าหลังดื่มสุราเฉวียนเนี่ยงครบ 3 จอกแล้ว พอเริ่มจิบจอกที่ 4 มันก็ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆให้เขาอีก เรียกว่ามีเพียง 3 จอกแรกเท่านั้นที่จะช่วยส่งเสริมพลังฝึกปรือ
หลังจากคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับมู่หรงสุยเฟิงอีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวอำลามู่หรงสุยเฟิง และเตรียมตัวกลับ ด้านมู่หรงสุยเฟิงพอเห็นต้วนหลิงเทียนจะกลับ ก็เรียกอวี๋เชียนซานที่อยู่ไม่ไกลให้มารับต้วนหลิงเทียนไปส่งเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาว
ขณะเดินกลับเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาวระดับสูง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบคุยกันของนักศึกษา 10 ดาวมากมาย ทั้งหมดล้วนคาดหวังกับคะแนนทดสอบที่จะติดประกาศในวันพรุ่งนี้ของเขานัก “โอย ข้าล่ะอยากรู้ยิ่ง…ว่าที่แท้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนได้คะแนนทดสอบเท่าไหร่กันแน่? สมควรทำลายทุกสถิติเลยกระมัง?”
“ข้าเพียงหวังว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงเร็วหน่อย”