จากนั้นชายหนุ่มมอซอก็ยกมือขึ้น ชี้นิ้วไปยังฟ้าเบื้องบน ต่อมาก็ปรากฏแสงพลังสีแดงเข้มหนึ่งพุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่าเบื้องบน ก่อนจะทำปฏิกิริยาอะไรบางอย่างกับพื้นที่มิติ
  ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจดูดรั้งขุมหนึ่ง พุ่งมาจากกำแพงมิติโดยรอบ พริบตาก็ปกคลุมไปทั่วร่างเขา เขาที่ไม่ได้ต่อต้านอะไรพริบตาก็ไปปรากฏตัวยังสถานที่อื่น
  และสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่อันมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้ง 5 เหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป
  เพราะมองไปจะเห็นไข่มุกราตรีเม็ดเขื่องลอยอยู่กลางอากาศ สาดแสงนวลตาส่องสว่างไปทั่วระนาบอิสระเล็กๆทุกแห่งหน มองไปก็พบเห็นเป็นป่าศิลา ที่มีหินรูปทรงแปลกประหลาดมากมายตั้งอยู่ บ้างใหญ่บ้างเล็ก และต้วนหลิงเทียนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้คน
  ‘ดูเหมือนที่นี่จะเป็นระนาบอิสระขนาดย่อมของบันไดสวรรค์ขั้นที่ 2’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
  และไฉนที่เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังซ่อนตัวอยู่
  ต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะออกไปโดยรอบโดยไม่ลังเล ไม่นานนักก็พบร่างที่ซ่อนอยู่หลังก้อนหินไม่ไกล
  อีกฝ่ายเป็นชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่คล้ายคนที่ถูกขังที่นี่มานานปี
  เรียกว่าเมื่อให้เทียบกับชายหนุ่มมอซอที่ต้วนหลิงเทียนพบในพื้นที่ก่อนหน้า สารรูปพวกมันช่างแตกต่างกันราวคนละขั้ว
  ฟุ่บบ!
  ซัววว!!
  …
  ชายหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขึงขังจริงจัง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน เมื่อสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะที่แผ่มาปกคลุม มันก็ไม่รอช้า ชิงลงมือก่อนทันที พอเปิดฉากก็ป้อนกระบวนท่าด้วยเจตนาฆ่าฟัน ทั่วร่างเอ่อล้นไปด้วยพลังเทพที่ผสานรวมเข้ากับความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำหลาประการ
  พอเห็นอีกฝ่ายลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้โดยพลันว่าไฉนมันถึงได้มีเนื้อตัวสะอาดสะอ้านนักทั้งๆที่สมควรถูกคุมขังมานานปี ที่แท้มันเชี่ยวชาญกฏแห่งน้ำนี่เอง
  ผู้ที่ใช้กฏแห่งน้ำ ยามผสานพลังความลึกซึ้งเข้ากับพลังเทพ ยอมสามารถสร้างน้ำขึ้นจากความว่างเปล่าได้โดยง่าย
  นอกจากนั้นทันทีที่ชายหนุ่มเปิดฉากจู่โจม ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าพลังฝีมือของมันกล้าแข็งกว่าชายหนุ่มมอซอในระนาบอิสระขนาดย่อมของบันไดสวรรค์ขั้นที่ 1 มาก…เพราะมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว
  อย่างไรก็ตาม มันยังไม่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแต่อย่างใด
  นอกจากนั้นด่านพลังของมันก็เป็นแค่เทพขั้นกลางเท่านั้น
  ปงงง!
  เผชิญหน้ากดับการเปิดฉากลงมือเข่นฆ่าเข้ามาของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนไม่แม้แต่จะเหลือบแล เพีงยกมือขึ้นโบกส่งๆตามอำเภอใจ ก็ปรากฏพายุมิติโหมกระหน่ำ สลายพลังกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย งซัดกระแทกร่างมันจนปลิวละลิ่วไปไม่เป็นท่า บาดเจ็บไม่ใช่น้อย
  “อั๊คค—!”
  ในขณะที่มันมกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ สองตาที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงความสยดสยองหวาดกลัว จากนั้นคล้ายมันกลัวต้วนหลิงเทียนจะจู่โจมปลิดชีวิต จึงรีบเปิดใช้อาคมส่งตัวต้วนหลิงเทียนให้ออกไปจากที่นี่ทันที
  ต้วนหลิงเทียนก็เลยมาโผล่ในระนาบอิสระขนาดย่อมที่อยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 3…
  และยังคงจัดการผู้เฝ้าด่านอย่างราบคาบ ให้ใช้คำว่าบดขยี้ก็ไม่เกินเลย…
  ศิษย์นิกายหมอกเร้นลับที่ถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 3 ก็ยังคงเป็นเทพขั้นกลาง นอกจากนั้นความลึกซึ้งทุกประการของกฏแห่งทองอีกฝ่าย ก็บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด
  อนิจจาความแข็งแกร่งเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ย่อมไม่อาจนับเป็นอะไรในสายตาต้วนหลิงเทียนได้ จึงแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียนในกระบวนท่าเดียว
  ขั้นที่ 4 ก็เหมือนเดิม…
  ขั้นที่ 5 ก็ไม่ต่างกัน
  จนมาถึงขั้นที่ 6 ต้วนหลิงเทียนก็ต้องลงมืออยู่หลายท่ากว่าจะจัดการได้
  เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดเพราะเขาจงใจปกปิดพลังของตัวเอง หากเขาใช้พลังทั้งหมดก็เกรงว่าคงจะสยบอีกฝ่ายได้ในท่าเดียว!
  พอมาถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 ศิษย์นิกายที่ถูกขังไว้ที่นี่ ไม่เพียงแต่ด่านพลังจะบรรลุถึงเทพขั้นสูงแล้วเท่านั้น แต่มันยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการหลายชุด ความแข็งแกร่งของมันนับว่าพอทำให้ต้วนหลิงเทียนที่จงใจปกปิดพลังเอาไว้ สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเล็กๆ
  “หืม?”
  ต้วนหลิงเทียนที่กำลังแลกกระบวนท่าประมือกับอีกฝ่าอย่างสนุกสนานไม่รีบไม่ร้อน อยู่ดีๆร่างเขาก็ชะงักไป เพราอยู่ๆพลังเทพในร่างก็พุ่งพล่านขึ้นมาปานน้ำเดือด
  หลังจากเร่งโคจรพลังขณะต่อสู้จนมือเป็นระวิง ในที่สุดด่านพลังของต้วนหลิงเทียนก็ทะลวงถึงเทพขั้นสูงได้สำเร็จ
  “ทะลวงด่านพลังขณะสู้?”
  พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลังขณะต่อสู้อยู่ ศิษย์สายในนิกายที่ถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ขั้น 7 ไม่เพียงแต่จะไม่กลัวเท่านั้น สองตายังฉายแววอำมหิต เร่งเร้าพลังชั่วชีวิต โจนร่างทานพร้อมป้อนกระบวนท่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย
  เพราะทันทีที่ทะลวงด่านพลัง จะมากจะน้อยก็ต้องทำการปรับพลังในร่างให้เสถียร ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวกากที่จะใช้พลังได้เต็มประสิทธิภาพ
  ศิษย์สาใมนนิกายหมอกเร้นลับที่ถูกขังคนนี้ จึงคิดปล้นบ้านยามไฟไหม้ หมายเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายในท่าเดียว
  เพราะหากมันลงมือสำเร็จ 9 ใน 10 มันก็จะเป็นผู้ชนะและได้ลดหย่อนโทษ!
  ซัวว!
  อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเหมือนจะเดาได้แต่แรกว่าอีกฝ่ายไม่พ้นต้องฉกฉวยโอกาสนี้แน่ พริบตาร่างเขาก็อันตรธานหายไปในความว่างเปล่าราวภูตผี
  หากทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ถอดใจ เร่งเปลี่ยนทิศทางกลางหาว คนห้อเหยียดเข้ามาสุดตัวหมายฆ่าต้วนหลิงเทียนให้จงได้!
  กว่าต้วนหลิงเทียนจะควบคุมพลังเทพในร่างให้สงบลงและปรับพลังให้เสถียรบางส่วน ก็สายเกินกว่าจะใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติอีกครั้ง
  ทันใดนั้น สองตาเขาก็ฉายประกายเย็นชา และมองไปยังศิษย์เบื้องหน้าที่เข่นฆ่าสังหารเข้ามาด้วยเจตนาฆ่าฟัน “ในเมื่อสวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูดันทุรังมุดมานัก ก็ไปตามทางเสีย!”
  พออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกด้วย 1 ในจตุรวิถีสวรรค์โลกอย่างวิถีควบคุมทันที พลังมิติอันน่าพรั่นพรึงอุบัติขึ้นทั่วอาณาบริเวณรอบร่าง จากนั้นก็ป่นปี้ร่างอีกฝ่ายจนสลายหายไปในความว่างเปล่าทันที!
  มันนับเป็นคนแรกที่ต้วนหลิงเทียนฆ่า หลังจากเข้ามาในบันไดสวรรค์
  ระหว่างทางเขาไม่ได้คิดฆ่าใครเลย
  สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีเรื่องราวบาดหมางกับเขา และเขาเองก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพรากชีวิตผู้อื่นตามอำเภอใจ
  หลังฆ่าศัตรูแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะต้านทานพลังดูดรั้งที่ปรากฏออกมาโดยอัตโนมัติ และเลือกจะนั่งลงเพื่อโคจรปรับพลังเทพในร่างก่อน  ในเวลาเดียวกัน…
  ด้านนอกบันไดสวรรค์ เหล่าศิษย์สายในทั้งหลายไม่เว้นถังอู๋เยียนล้วนจับจ้องมองไปยังจุดแสงแทนตัวต้วนหลิงเทียนบนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 ไม่วางตา นั่นเพราะจุดแสงดวงนี้มันเคลื่อนไหวไต่ระดับเร็วเกินไป!
  ตั้งแต่ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 6 เรียกว่าเสมือนจุดแสงกระโดดโหยงๆไม่หยุดก็ว่าได้!
  มีก็แต่ระหว่างขึ้นจากขั้นที่ 6 ไปขั้นที่ 7 เท่านั้น ที่เริ่มชะลอตัว
  ต่อมาพอจุดแสงมาถึงขั้นที่ 7 แล้ว มันก็นิ่งเงียบไปไม่โดดขึ้นไปขั้นที่ 8 อยู่นาน แต่ทว่าจุดแสงก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด
  “ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะหยุดลงที่ขั้นที่ 7 แล้วล่ะ…”
  ศิษย์สายในหลายคนเริ่มระบายลมหายใจออกมา
  “แต่ไม่พูดไม่ได้ มันอาศัยด่านพลังเทพขั้นกลางจนไปถึงขั้นที่ 7 ได้แบบนี้…นับว่าร้ายกาจยิ่งนัก! สมแล้วที่เป็นสัตว์ประหลาดจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์!!”
  “จริง กระทั่งศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 10 คนในอดีต ตอนที่ด่านพลังรั้งอยู่ในขอบเขตเทพขั้นกลาง ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถไต่ขึ้นไปถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7!”
  “ต้วนหลิงเทียนนั่น ถึงมันจะหยุดอยู่แค่ขั้นที่ 7 ก็สมควรภูมิใจได้แล้ว”
  …
  แม้เสียงสนทนาโดยรอบจะดังเข้าหูระงม แต่ถังอู๋เยียนก็ไม่ได้แยแส เพียงจับจ้องมองไปยังจุดแสงแทนตัวต้วนหลิงเทียนบนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 ไม่วางตา และในแววตานางยังเผยให้เห็นความคาดหวังประการหนึ่ง
  ถึงแม้ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่หลังจากได้ยินเสียงผู้คนโดยรอบที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีสำหรับต้วนหลิงเทียนมากนัก และพากันกล่าวว่าต้วนหลิงเทียนจะหยุดอยู่ที่บันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 แต่นางก็แอบหวังให้ต้วนหลิงเทียนสร้างปาฏิหาริย์ได้
  ถึงแม้นางเองก็รู้ดีว่าปาฏิหาริย์ดังกล่าวไม่ใช่จะสร้างขึ้นง่ายๆก็ตาม  ฟุ่บ!
  ทันใดนั้นเอง ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นจากความว่างเปล่าต่อหน้าต่อตาผู้คน และหากใครสังเกตให้ดีจะพบว่าจุดแสงที่อยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 มาสักพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็หายไป…
  มองไปเห็นเป็นชายหนุ่มมาในชุดคลุมสีน้ำตาล หน้าตาหล่อเหลารูปร่างค่อนข้างสูง พอมันปรากฏตัวก็เรียกว่าดึงดูดสายตาของเหล่าศิษย์สายในที่เป็นสตรีจำนวนมาก แต่ละนางยังออกอาการราวปรารถนาทิ้งตัวลงอ้อมกอดมันอย่างไรอย่างนั้น
  “ศิษย์พี่ฉีอวี่! ศิษย์น้องมาให้กำลังใจท่านเจ้าค่ะ!!”
  “ศิษย์พี่ฉีอวี่ออกมาแล้ว! ถึงแม้จะยังไม่อาจข้ามผ่านขั้นที่ 8 แต่คราวนี้กลับอยู่ในขั้นที่ 8 ได้เนิ่นนาน เห็นชัดว่าสูสีกับศิษย์เฝ้าด่านไม่น้อย ดูท่าครานี้การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์สำหรับศิษย์สายในขอบเขตเทพ ศิษย์พี่ฉีอวี่ต้องคว้าอันดับ 1 มาครองได้แน่!!”
  “ศิษย์พี่ฉีอวี่น่าทึ่งยิ่ง!”
  …
  เหล่าศิษย์สายในขอบเขตเทพจะหญิงก็ดีจะชายก็ดี ต่างพากันมองไปยังฉีอวี่ด้วยตาเป็นประกาย ฟังจากคำพูดแล้วเต็มไปด้วยความชื่นชม แตกต่างจากวาจาตัดรอนต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าคนละโลก
  “ศิษย์น้องหญิงอู๋เยียน”
  หลังจากฉีอวี่ออกมา และได้ยินเสียงกล่าวด้วยความชื่นชมของเหล่าศิษย์สายในโดยรอบ คนก็แลดูจะยืดขึ้นไม่น้อยเห็นชัดว่ามันชมชอบวาจารื่นหูเหล่านี้พอสมควร ใบหน้ายังฉายชัดถึงความเย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา จนกระทั่งเหลือบไปเห็นถังอู๋เยียน สองตามันก็เป็นประกายจ้า ใบหน้าเย่อหยิ่งถือดีเริ่มอ่อนลงทันตาเห็น
  จากนั้นเมื่อฉีอวี่มอบป้ายบันไดสวรรค์ให้อาวุโสและกล่าวลาอาวุโสเฒ่าแล้วเสร็จ มันก็เหินร่างมาหาถังอู๋เยียนด้วยท่าทางที่มันคิดว่าสง่างามที่สุด ยังคลี่ยิ้มบางๆกล่าวถามเสียงอ่อนว่า “ศิษย์น้องหญิงอู๋เยียน เจ้าพึ่งออกมาจากบันไดสวรรค์หรือพึ่งจะมาถึงเล่า?”
  “ศิษย์พี่ ฉีอวี่”
  ถังอู๋เยียนกล่าวทักฉีอวี่ ก่อนจะตอบว่า “ข้ายังไม่ได้เข้าไปในบันไดสวรรค์”
  “ยังไม่ได้เข้าไปหรือ?”
  ฉีอวี่ผงะไปเล็กน้อย ค่อยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “แล้วเจ้าพร้อมจะเข้าไปหรือยัง ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนศิษย์น้องหญิงอู๋เยียนแม้จะยังขึ้นไปไม่ถึงขั้นที่ 8 แต่เจ้าก็สามารถรั้งอยู่ในขั้นที่ 7 ได้นานสองนาน กระทั่งเวลาที่เจ้ารั้งอยู่เกือบทำให้เจ้าติด 1 ใน 10 อันดับแรกของการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ได้แล้ว…”
  “คราวนี้ศิษย์น้องอู๋เยียนต้องมีโอกาสติดอยู่ใน 10 อันดับแรกแน่!”
  ฉีอวี่คลี่ยิ้มยิงฟันขาว กล่าวอวยว่า “ดูเหมือนวันนี้ข้าจะถูกลิขิตไว้ ให้เป็นประจักษ์พยานช่วงเวลาที่ศิษย์น้องหญิงอู๋เยียนเฉิดฉายแล้วแน่แท้…”
  ยามอยู่ต่อหน้าถังอู๋เยียน ฉีอวี่เรียกว่ากลายเป็นคนมากอัธยาศัยและช่างเจรจานัก
  ทำไมน่ะหรือ?
  เพราะเรื่องที่ฉีอวี่ชมชอบถังอู๋เยียนนั้นไม่ได้เป็นความลับในนิกายหมอกเร้นลับฝ่ายใน กระทั่งทั่วทั้งนิกายหมอกเร้นลับก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ศิษย์ชายหลายคนที่แอบชอบถังอู๋เยียนไม่กล้าแสดงตัว
  เนื่องเพราะพวกมันกลัวฉีอวี่ตามราวีกันท่า!
  “ข้ายังไม่คิดจะเข้าไปตอนนี้…ข้าจะรอจนกว่าเพื่อนของข้าจะออกมาก่อน”
  สำหรับฉีอวี่ ถึงแม้ถังอู๋เยียนจะไม่ได้เพิกเฉย แต่ก็ไม่ได้อะไรกับมันมากนัก
  ถึงแม้ว่าฉีอวี่เองก็มีคุณสมบัติดีพอ แต่ชื่อเสียงของฉีอวี่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เพราะเท่าที่นางรู้ มีศิษย์สตรีไม่น้อยกว่า 5 คนในนิกายที่มีสัมพันธ์คลุมเครือกับมัน
  อย่างไรก็ตาม ศิษย์สตรีเหล่านั้นก็ไม่ได้ออกตัวแรงและแสดงความเป็นเจ้าของฉีอวี่แต่อย่างใด ยังไม่คิดจะให้ฉีอวี่เปิดตัวพวกนางอีกด้วย เช่นนั้นนางที่เป็นแค่คนนอกก็คร้านจะออกความเห็นใดๆ
  อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้มีความประทับใจอันดีกับฉีอวี่  “เพื่อนของเจ้าหรือ? เป็นผู้ใดกัน…ข้ารู้จักหรือไม่?”
  ฉีอวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
  “สมควรรู้”
  ถังอู๋เยียนมองลึกไปยังฉีอวี่ “เพราะสุดท้าย ศิษย์พี่ฉีอวี่ก็เอาแต่ท้าทายมันที่ปิดด่านบ่มเพาะมาตลอด 3 เดือน…”
  พอได้ฟัง ลูกตาฉีอวี่ก็หดเล็กลงโดยพลัน ยังถามออกมาด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ “ศิษย์น้องหญิงอู๋เยียน เพื่อนที่เจ้ากล่าวถึง…หรือจะเป็นต้วนหลิงเทียนผู้นั้น?”
  “ไม่ผิด”
  ถังอู๋เยียนพยักหน้า จากนั้นสองตากลมใสของนางก็หันกลับไปจดจ้องยังจุดแสงดวงเล็กๆบนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 อีกครั้ง และไม่ได้เหลือบแลฉีอวี่อีกต่อไป
  ด้านฉีอวี่พอเห็นสายตาวาดหวังแลดูเอาใจช่วยของถังอู๋เยียน สีหน้าของมันยิ่งมาก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก สองหมัดเริ่มกำแน่น ฟันกรามยังขบกันดังกรอดๆ จากนั้นมันก็มองตามสายตาถังอู๋เยียนไปยังจุดแสงดวงเล็กๆบนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 นั่นด้วยความเย็นชา
  หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้มันเพียงเพ่งเล็งหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเพราะคำพูดของถูเฟิงล่ะก็…
  เช่นนั้น นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป มันก็ได้เพ่งเล็งหมายเล่นงานต้วนหลิงเทียนด้วความตั้งใจของมันเอง!
  เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่มันเห็นถังอู๋เยียนเผยท่าทีคล้ายจะห่วงใยแถมคาดหวังผู้ชายคนหนึ่งจากใจ และสิ่งนี้เป็นอะไรที่มัน ฉีอวี่ ไม่เคยได้รับมาก่อน!
  ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…เพราะอะไรกัน!?
  ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าบัดนี้ ฉีอวี่ได้ออกมาจากขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์แล้ว แถมไม่ได้รู้เลยว่าฉีอวี่กำลังเกลียดเขาจับใจ เพราะท่าทีของถังอู๋เยียน…
  “เอาล่ะ…เท่านี้ก็พอได้แล้ว ไปขั้นที่ 8 ต่อดีกว่า…”
  หลังโคจรพลังเทพที่พึ่งยกระดับพัฒนารอบแล้วรอบเล่า จนปรับด่านพลังให้มั่นคงแล้วเสร็จไปบางส่วน ต้วนหลิงเทียนที่สามารถควบคุมใช้พลังเทพได้คล่องกว่าตอนที่พึ่งทะลวงขั้นพลังพอสมควร ก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวขึ้นไปยังขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์…