ตอนที่ 3673 ผู้เฝ้าด่าน บันไดสวรรค์ขั้นที่ 9

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ตั้งแต่ก่อนที่จะมาถึงนิกายหมอกเร้นลับ หลายๆคนก็เริ่มได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของต้วนหลิงเทียนกันแล้ว
  กล่าวได้ว่าในนิกายหมอกเร้นลับนั้น เว้นเสียแต่จะเป็นผู้ที่ปิดด่านบ่มเพาะมาอย่างยาวนาน หรือไปทำภารกิจด้านนอก ปกติล้วนเคยได้ยินชื่อเขากันทั้งนั้น…
  นอกจากนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะฉีอวี่ 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับ ได้มาท้าประลองต้วนหลิงเทียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้จะมากจะน้อยทุกคนก็หันมาให้ความสนใจต้วนหลิงเทียน และบังเกิดความอยากรู้ผลลัพธ์ ว่าผลการประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฉีอวี่จะเป็นอย่างไร
  เป็นธรรมดาว่าศิษย์ส่วนใหญ่ให้ภาษีฉีอวี่เหนือกว่า
  ถึงแม้จะมีคนกล่าวกันหนาหูแล้วว่าต้วนหลิงเทียนเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ แต่ฉีอวี่ก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการเช่นกัน ทว่าฉีอวี่เป็นเทพขั้นสูงในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงเทพขั้นกลาง
  ในกรณีที่ความเข้าใจในการผสานรวมความลึกซึ้งพอๆกัน แม้กฏที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจจะเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดอย่างกฏมิติ ทว่าการจะให้ต้วนหลิงเทียนเอาชนะฉีอวี่โดยแบกด่านพลังเป็นขั้น ก็ไม่ต่างจากเรื่องเรื่องเพ้อฝัน
  มาวันนี้พอต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวในสถานที่แข่งขันไต่บันไดสวรรค์ เดิมทีก็มีไม่กี่คนที่สังเกตเห็น จนเมื่อถังอู๋เยียนมาถึงและมาคุยกับเขาราวสนิทสนมกัน ย่อมทำให้เขาสะดุดตาผู้คนขึ้นมา และพอเขาเข้าสู่บันไดสวรรค์ ก็เลยดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์ทั้งหลายทันที ทั้งหมดยย่อมอยากรู้ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน
  เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์ ศิษย์ทั้งหลายก็ตกใจมากแล้ว ด้วยไม่มีใครคิดมาก่อนว่าต้วนหลิงเทียนจะขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 ได้
  ทุกคนจะไม่แปลกใจเลยหากต้วนหลิงเทียนขึ้นไปถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 ถ้ามีด่านพลังเทพขั้นสูง
  แต่ปัญหาก็คือต้วนหลิงเทียนยังเป็นเพียงเทพขั้นกลาง ไม่ใช่เทพขั้นสูง
  เทพขั้นกลางขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 จะให้พวกมันพูดอย่างไร?
  ด้วยเหตุนี้ พอฉีอวี่ออกมาและเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 ได้ มันก็ตะลึงไม่น้อย
  “ต้วนหลิงเทียนคนนี้ หากสามารถทนอยู่ในขั้นที่ 8 ได้สักครู่ก็หรูแล้ว…สุดท้ายมันก็ใช้เวลาในขั้นที่ 7 อยู่นานสองนาน ยากที่มันจะไปได้ไกลกว่านี้”
  และนี่ก็คือสิ่งแรกที่ฉีอวี่คิด หลังเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปถึงขั้นที่ 8
  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ก็ทำให้มันถึงกับนิ่งอึ้งไปราวตัวโง่งม
  เพราะมันพบว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 ได้ไม่ทันไร อยู่ๆก็ขึ้นไปถึงขั้นที่ 9 เสียอย่างนั้น!
  ต้องทราบด้วยว่า มีเพียงแต่เอาชนะหรือเข่นฆ่าผู้เฝ่าด่านในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 เท่านั้น ถึงจะสามารถขึ้นไปยังขั้นที่ 9 ต่อได้ หาไม่แล้วก็ไม่มีทางที่จะขึ้นไปยังขั้นที่ 9 ได้เลย
  และความยากของการผ่านบันไดขั้นที่ 8 ให้กล่าวว่ายากกว่าการผ่านขั้นที่ 7 คนละโลกก็ไม่เกินเลย
  “บ้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียน…มันขึ้นไปถึงขั้น 9 เหรอนั่น!? ได้อย่างไรกัน! มันผ่านขั้นที่ 8 ในเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจรึ!?”
  หลายคนได้แต่โพล่งออกมาด้วยความตกใจ
  กระทั่งถังอู๋เยียนเอง ตอนนี้ใบหน้างามหมดจดของนางก็ฉายชัดถึงความตกใจให้เห็น “มัน…มันผ่านขั้นที่ 8 ได้จริงๆ?”
  ถึงแม้ตัวถังอู๋เยียนเองจะไม่เคยขึ้นไปถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 สักครั้ง แต่นางรู้ดีว่าต้องเจอกับคู่ต่อสู้ระดับใดในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7…แถมอย่างน้อยๆนางก็ไม่ใช่คู่มือของศิษย์ที่ถูกขังอยู่ในนั้น
  หาไม่แล้ว นางคงสามารถขึ้นไปดิ้นรนยังขั้นที่ 8 เหมือนฉีอวี่ได้แต่แรก  ทว่าตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 ได้สำเร็จ กระทั่งยังขึ้นไปถึงขั้นที่ 9!
  สิ่งนี้บ่งบอกว่าเขาสามารถผ่านขั้นที่ 8 ไปได้!
  “เอ่อ…พวกเจ้าว่าจักเป็นไปได้หรือไม่ ที่ผู้เฝ่าด่านในขั้นที่ 8 จะปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนผ่านไปเฉยๆ…หรือไม่ต้วนหลิงเทียนก็ติดสินบนอะไรบางอย่าง?”
  มีศิษย์สายในคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปทำนองดังกล่าว “พวกเจ้าเองก็เห็นนี่ ว่าต้วนหลิงเทียนติดอยู่ในขั้นที่ 7 นานขนาดไหน กล่าวได้ว่าแทบจะไม่ผ่านขั้นที่ 7 ด้วยซ้ำ…เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะสามารถผ่านขั้นที่ 8 ได้ในเวลาอันสั้น”
  “ผู้เฝ้าด่านที่ 8 ปล่อยไปเฉยๆ? ติดสินบน? มันจะเป็นไปได้หรือ…ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าเหล่าผู้เฝ้าด่านนั่น เป็นศิษย์นิกายที่ทำผิดร้ายแรงเลยโดนจับไปขังไว้ และมีแต่สามารถปกป้องด่านสำเร็จเท่านั้น ถึงจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ…กล่าวได้ว่าแต่ละคนล้วนหวังให้ถูกลดโทษจนเป็นอิสระทั้งนั้น จะไปปล่อยต้วนหลิงเทียนหรือโดนซื้อง่ายๆได้อย่างไร?”
  “นั่นก็ไม่แน่นักหรอก เพราะในนิกายหมอกเร้นลับเราก็ไม่ใช่มีกรณีผู้เฝ้าด่านปล่อยคนให้ผ่านไปเฉยๆหรือรับสินบนนี่นา…กระทั่งยังมีผู้เฝ้าด่านหลายคนที่จิตใจแตกสลาย เลือกจะยอมแพ้ หรือบางทีก็ไม่ทำอะไรปล่อยให้ผู้อื่นฆ่าตายก็มี…”
  …
  ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘3 คนกลายเป็นเสือ’ เมื่อมีศิษย์สายในคนหนึ่งเปิดประเด็นขึ้นมา หลายๆคนที่พอฟังไปฟังมาก็เริ่มรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนอาจผ่านขั้นที่ 8 เพราะผู้เฝ้าด่านปล่อยผ่าน ไม่ก็ติดสินบน หรือมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่นอน
  “หึ! ถึงได้อันดับ 1 เพราะสาเหตุนี้ ยังจะนับเป็นอะไรได้ ผู้ใดจะยอมรับมัน!”
  ฉีอวี่กล่าวเย้ยเยาะ
  “ศิษย์พี่ฉีอวี่…”
  ถึงแม้ว่าถังอู๋เยียนเองก็คิดว่าสมควรมีปัญหากับผู้เฝ้าด่านที่ 8 ไม่ว่าจะปล่อยไปก็ดี โดนติดสินบน หรือจิตใจผิดเพี้ยนก็ดี แต่พอนางได้ยินคำพูดของฉีอวี่ ไม่ทราบเพราะอะไรนางกลับบังเกิดความไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “ท่านแน่ใจได้อย่างไร? มิใช่ว่าก็มีโอกาสที่มันจักผ่านขั้นที่ 8 ด้วยพลังฝีมือของตัวเองอยู่หรือไร?”
  “ศิษย์น้องหญิงอู๋เยียน เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว…”
  ฉีอวี่ คลี่ยิ้มพลางกล่าว “กับคนที่เสียเวลาไปเป็นชาติในขั้นที่ 7…เจ้าคิดว่าหลังมันขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 เช่นนั้น มีหรือจะผ่านด่านด้วยพลังฝีมือของตัวเอง?”
  พอถึงอู๋เยียนได้ยินคำปรามาส คิ้วปานกิ่งหลิวของนางก็ขดย่นเป็นปม “หรือว่าหลังผ่านขั้นที่ 7 มันบังเอิญทะลวงขั้นพลังได้พอดี…เช่นนั้นจึงเสียเวลารวบรวมด่านพลังเทพขั้นสูงอยู่ในขั้นที่ 7 สักพัก ค่อยขึ้นไปขั้นที่ 8?”
  “ทะลวงขั้นพลัง? ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ได้?”
  ฉีอวี่ตะลึงกับความคิดของถังอู๋เยียนไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาเป็นการปฏิเสธ เพราะมันเชื่อว่าเรื่องพรรค์นี้มีความเป็นไปได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก
  แต่เป็นธรรมดาว่า ในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นๆขึ้นมา
  ต้วนหลิงเทียนนั้น หากเป็นแค่เทพขั้นกลางมันก็ยังมีพลังมากพอจะสะกดข่มอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายทะลวงถึงเทพขั้นสูงขึ้นมาจริงๆ เกรงว่ามันจะสูญเสียความได้เปรียบทั้งหมดไป
  …
  ด้านต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
  ในปัจจุบัน หลังจากที่เขาเอาชนะเชวียไห่ซานได้แล้ว เขาก็ผ่านขั้นที่ 8 และมาถึงระนาบอิสระย่อยแห่งหนึ่งในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ได้สำเร็จ
  ระนาบอิสระแห่งนี้ กลับมีทิวทัศน์งดงามพอสมควร เพราะมันมีพร้อมไปด้วภูเขาและลำน้ำ
  มีร่างหนึ่งในชุดคลุมสีขาวยืนเด่นหราอยู่บนยอดเขา สองมือไพร่ไว้ด้านหลัง ลักษณะท่วงท่าแลดูสง่างามไม่ใช่ชั่ว  หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังร่างดังกล่าวทันที
  เป็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตนักศึกษา ถึงแม้หน้าตาจะแลดูธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกยากหยั่งถึง ยากนักที่ใครจะละเลยมองข้ามมัน เรียกว่าต่อให้เดินปะปนในฝูงชน ก็โดดเด่นจนสังเกตเห็นได้แน่ๆ
  “เจ้าสามารถขึ้นมาถึงที่นี่ได้ทั้งๆที่เป็นเพียงเทพขั้นสูง นับว่าความแข็งแกร่งของเจ้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว…”
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะหนึ่งกวาดผ่านร่างเขาไป เสียงชายวัยกลางคนที่แลคล้ายบัณฑิตก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน และน้ำเสียงยังฉายชัดถึงความไม่แยแส เผยให้เห็นถึงความมั่นใจอันล้นปรี่
  ทว่าตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะผงะไป “หืม? เจ้าเองก็เป็นเทพขั้นสูงรึ?”
  ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบชายวัยกลางคนในชุดราวบัณฑิตนักศึกษาเช่นกัน จึงพบว่าอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนเขา…เทพขั้นสูง!
  พอนึกถึงเรื่องที่เชวียไห่ซานในขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์บอกเขาไว้ก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเสียจริง ที่สุ่มมาปรากฏในระนาบอิสระย่อยของบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 อันมีศิษย์ด่านพลังเทพขั้นสูงเป็นผ็เฝ้าด่าน!
  จากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนทบทวนในใจ ‘ฟังจากที่เชวียไห่ซานพูดมา…ดูเหมือนศิษย์สาในที่ถูกขังในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 สมควรมีเทพขั้นสูงแค่ส่วนเดียว…ทว่าเทพขั้นสูงเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการ 2 ชุดทั้งสิ้น…’
  ‘ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ก็เป็นเช่นนั้น…’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
  “แปลกใจรึ ที่พบว่าข้าเป็นเทพขั้นสูงเช่นกัน?”
  ชายวัยกลางคนย่อมสังเกตเห็นท่าทีแปลกใจของต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามใบหน้ามันยังฉายยิ้มเฉยเมยไม่เปลี่ยน “อย่างไรก็ตาม ข้าแตกต่างจากเทพขั้นสูงที่เจ้าเคยพบมา…ในบันไดขั้นที่ 8 ที่เจ้าพึ่งผ่านมา ปกติแล้วสมควรเป็นเทพขั้นสูงที่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏได้ 3 ประการชุดหนึ่งกระมัง?”
  “กับเทพขั้นสูงเช่นนั้น ข้าสามารถบดขยี้มันให้ย่อยยับ! ไม่ว่าจะเอาชนะก็ดี หรือเข่นฆ่ามันให้ตายก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ!”
  ฟังจากคำพูดของชายวัยกลางคน เห็นชัดว่าความมั่นใจของมันพุ่งสูงทะลุหลอดเลยทีเดียว
  “ข้าก็เชื่อว่าเจ้าทำได้…”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในเมื่อเจ้าสามารถเป็นผู้เฝ้าด่านของระนาบย่อยในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ได้ บ่งบอกว่าพลังฝีมือของเจ้าร้ายกาจกว่าคนที่อยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 มาก…”
  “ข้าเพียงแค่อยากรู้เรื่องหนึ่ง…”
  ต้วนหลิงเทียน ที่พอจะเดาพลังฝีมือของชายวัยกลางคนเบื้องหน้าออกได้ ย่อมไม่สงสัยในวาจาของมัน เพียงแต่กลับสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง “ว่าไฉนตัวตนเช่นเจ้า นิกายหมอกเร้นลับถึงเต็มใจจะกักขังเอาไว้ที่นี่เช่นนี้?”
  “ด่านพลังเทพขั้นสูง แต่กลับบเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการได้ถึง 2 ชุดหรืออาจจะมากกว่านั้น…เท่าที่ข้ารู้มา ในประวัติศาสตร์ของนิกายหมอกเร้นลับ ตัวตนเช่นเจ้าก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
  หลังกล่าวถามจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษาไม่วางตา รอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้
  “เจ้าหนู…ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องราวมาไม่น้อยทีเดียว…”
  ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษามองลึกไปทางต้วนหลิงเทียนครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวว่า “หากเป็นความผิดทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด อาศัยพรสวรรค์กับความเข้าใจของข้า นิกายหมอกเร้นลับไม่ควรขังข้าไว้เช่นนี้จริงๆ…”
  “แต่เจ้าทราบหรือไม่…ว่าข้าทำอะไรมา?”
  ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษาย้อนถาม  “อะไรหรือ?”
  ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วด้วยความสนใจ
  “ข้าฆ่าอาจารย์ของข้าเอง ยังเป็นประมุขนิกายในรุ่นนั้น!”
  ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตคลี่ยิ้มกว้าง เผยให้เห้นฟันขาวราวหิมะสองแถวเรียงชิดติดกัน อย่างไรก็ตามพอวาจาของมันดังเข้าหู พาลให้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้าน
  ฆ่าประมุขนิกายหมอกเร้นลับ?
  นอกจากนั้นประมุขนิกายหมอกเร้นลับที่ว่า ยังเป็นอาจารย์ของคนผู้นี้เอง?
  จังหวะนี้ สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองชายวัยกลางคน เริ่มฉายชัดถึงความรังเกียจขยะแขยง เพราะจากระดับพลังอีกฝ่าย การที่จะฆ่าตัวตนระดับประมุขได้เห็นได้ชัดว่าต้องใช้วิธีสกปรก และอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจแน่นอน
  “อะไร? เจ้ารังเกียจทั้งดูแคลนข้าอยู่รึ?”
  ชายวัยกลางคนชักสีหน้าบึ้งตึง ราวกับมองทะลุความคิดและจิตใจของต้วนหลิงเทียนได้ออก “แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าไฉนข้าถึงต้องฆ่ามัน…เพราะเจ้านั่น เพียงเพราะต้องการผูกมัดข้าไว้กับนิกาย หวังให้ข้าสืบทอดตำแหน่งประมุขต่อจากมันในอนาคต มันถึงกับส่งคนไปฆ่าล้างตระกูลข้าจนสิ้น!”
  “ไม่เพียงครอบครัว แต่คนทั้งตระกูลข้านับพันกว่าชีวิต…ตกตายในชั่วข้ามคืน! ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงผู้เฒ่าผู่แก่ แม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่เหลือรอด!!”
  พอชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษากล่าวถึงจุดนี้ มันก็กัดฟันดังกรอด จิตสังหารอำมหิตและความดุร้ายบ้าคลั่งเริ่มพวยพุ่งออกมาทั่วร่าง จากนั้นไอพลังที่ปั่นป่วนราวสายลมวิปริตก็เริ่มพัดวนไปรอบตัว
  กระทั่งเสียงพลังที่พัดวนดั่งมหาพายุเกรี้ยวกราดนั่น ยังดังสนั่นครืนๆ กึกก้องไปทั่วระนาบอิสระเล็กๆ
  “เจ้าแน่ใจหรือ ว่ามันทำเช่นนั้นจริง?”
  ต้วนหลิงเทียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ เป็นเรื่องยากนักที่เขาจะจินตนาการได้ออก ว่าประมุขนิกายหมอกเร้นลับคนหนึ่งถึงกับฆ่าล้างตระกูลศิษย์ของตัวเองเพียงเพราะเรื่องแค่นี้
  ใช่มีความเข้าใจผิดอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?
  “ไม่ผิดพลาดแน่”
  ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมั่นเหมาะว่า “เพราะในยามที่คนลงมือกลับมารายงานเรื่องราวให้มัน ข้าบังเอิญได้ยินเข้าพอดี…ในเมื่อข้าได้ยินมากับหู เช่นนั้นจะผิดพลาดได้อย่างไร”
  “ก่อนเกิดเรื่องข้าบอกมันไปว่า ในอนาคตข้าไม่คิดจะรับช่วงต่อประมุขนิกายหมอกเร้นลับ…ข้าเพียงอยากกลับไปยังตระกูลข้า เพื่อนำพาตระกูลข้าให้กลายเป็นตระกูลระดับราชาเทพ…แม้แต่ตระกูลระดับจอมราชันเทพ!”
  “มันที่เห็นว่าข้าไม่มีทางรั้งอยู่นิกายหมอกเร้นลับดั่งใจ…จึงบังเกิดจิตคิดฆ่าล้างตระกูลข้า!”